มาถึงเดือนหก ตอนที่ลมฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะพัดผ่าน พวกจางจ้าวฉือเดินทางไปกับแม่นมลู่แล้วก็องครักษ์อีกสิบคน รวมทั้งหลี่เหยียนเซี่ยกับหลี่เจียเหลียง บวกกับรถม้าอีกสิบสองคัน ขบวนรถม้าเดินทางมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
เพราะว่าไม่ต้องรีบร้อน ตลอดการเดินทางจึงว่างมาก ในเวลานี้เองที่บนท้องฟ้ามีเมฆบางๆ ฝนเองก็ไม่ตก ถึงแม้พระอาทิตย์จะยังส่องมาเล็กน้อย แต่นั่งอยู่บนรถม้า เปิดผ้าม่านทั้งสองฝั่งออกอากาศก็เย็นมาก
รถม้าที่จางจ้าวฉือนั่งอยู่เป็รถม้าที่นางจ้างให้คนทำขึ้นมา ห้องในรถม้ากว้างขวางเป็อย่างมาก ด้านในล้วนสร้างตามความ้าของจางจ้าวฉือทั้งหมด ปูด้วยเบาะนุ่นหนาๆ ้าเบาะนุ่นก็ปูด้วยผ้าฝ้ายหนาๆ อีกหนึ่งชั้น นั่งไปแล้วสบายมาก
จางจ้าวฉือ แม่นมลู่ สวี่จือ กับสวี่ไป่นั่งอยู่ในรถม้าคันนี้ กลับเป็สวี่ตี้ที่ยุ่งหน้ายุ่งหลัง ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยแล้วก็หลี่เหยียนเซี่ยนั่งอยู่ด้านหลังรถม้า บวกกับหีบใส่ของอีกหลายคันรถ ของขวัญอีกหลายคันรถ ยังมีทหารรับจ้างสิบกว่าคนที่มาช่วยขนหีบสัมภาระ
สวี่ไป่ถูกจางจ้าวฉือจับนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกด้วยท่าทางสนอกสนใจ แม่นมลู่รู้สึกว่าลมมันแรงไปหน่อยจึงรีบรับเด็กมา พร้อมเอ่ย “ลมด้านนอกแรงไปหน่อยนะ พวกเรามาพักกันก่อนเถิด”
สวี่ไป่ยังมองไม่พอจึงอยากจะปีนหน้าต่างดูอีก ซึ่งสวี่ตี้ขี่ม้ามาเทียบข้างรถพอดี เห็นสวี่ไป่ดื้อปีนหน้าต่างรถม้า จึงถลึงตาใส่เขา ทำเอาสวี่ไป่ใรีบปล่อยมือ
สวี่จือถอนหายใจ “เหตุใดน้องชายถึงได้กลัวพี่ชายขนาดนั้น แค่พี่ชายถลึงตาใส่เขาก็กลัวเสียแล้วเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ทุกคนในครอบครัวพวกเราต่างโอ๋เด็กคนนี้ จะต้องมีคนหนึ่งที่สามารถคุมเขาได้ ไม่เช่นนั้นโตขึ้นไปแล้วเขาจะฟังใครหรือ? เด็กคนนี้ยิ่งดื้อมากเสียด้วย”
สวี่จือเอ่ย “ข้าอยู่ที่นี่ชินแล้ว ไม่อยากจะกลับไปที่เมืองหลวงเลยเ้าค่ะ ท่านแม่เ้าคะ พวกเราอยู่ที่เมืองหลวงหนึ่งปีกว่าถึงจะสามารถกลับไปได้หรือเ้าคะ?”
จางจ้าวฉือตอบ “เื่นี้แม่เองก็ไม่แน่หรอกนะ พี่ชายของเ้าจะสอบ แม่คิดว่าพวกเราอยู่ข้างเขาจะดีกว่า แต่ว่าก็ไม่ปฏิเสธว่าจะมีเื่อื่นใดหรือไม่ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้กลับไวก็ได้นะ”
สวี่จือเอ่ย “ที่นี่ฟ้าสูงแผ่นดินหนาเป็อิสระ ยามอยู่ในจวนแบบนี้ก็ทำมิได้แบบนั้นก็ทำมิได้ เคร่งครัดเกินไปเ้าค่ะ อีกทั้งพี่สาวสกุลหลี่เองก็ไม่สามารถตามเข้าไปได้ด้วย ข้าไม่มีใครให้พูดคุยด้วยเลยเ้าค่ะ”
แม่นมลู่เอ่ย “คุณหนูเก้า เ้าคิดเช่นนี้ไม่ถูกนะ ในจวนโหวนั้นยังมีพี่สาวน้องสาวของเ้าอยู่ พวกเ้าล้วนเป็คนของสกุลสวี่ที่มีความเกี่ยวพันทางสายเื ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่คุ้นเคย อยู่ด้วยกันดีๆ จะค่อยๆ คุ้นเคยกันไปเอง รอต่อไปพวกเ้าประสบความสำเร็จมีกิจการแล้ว ก็จะเป็ญาติที่คอยดูซึ่งกันและกัน”
สวี่จือรู้สึกว่าที่แม่นมลู่พูดมานั้นมีเหตุผล แต่ว่าสวี่จือก็คิดถึงเื่เมื่อชาติที่แล้ว ตนเองที่เป็เด็กกำพร้าคนหนึ่งอยู่ในเรือนเล็กถูกคนหมางเมิน พี่ชายอยู่ในเรือนหน้าก็ถูกคนรังแก สองพี่น้องไม่มีใครเลยที่มีจุดจบที่ดี แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว บิดามารดาของตนเองยังอยู่ พี่ชายเองก็ไม่ได้รับาเ็ อีกทั้งพี่ชายยังเรียนวิชาการต่อสู้กับเหล่าอาจารย์ พี่ชายเรียนหนังสือเก่งมาก ต่อไปจะต้องสามารถทำเื่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน
จางจ้าวฉือเอ่ย “แม่นมพูดถูกนะลูก จือเอ๋อร์ เ้าควรจะผูกมิตรกับเหล่าพี่สาวน้องสาวให้ดีๆ ตอนที่เป็เพื่อนกันนั้นยังไม่คิดอะไร รอจนเ้าแต่งงานแล้ว ก็จะรู้ถึงประโยชน์ของพี่สาวน้องสาว ไม่พูดถึงเื่อื่น พูดแค่ตอนเ้าได้รับความไม่ยุติธรรมจากบ้านแม่สามี อยากจะหาคนมาบ่นสักสองสามคำ ก็ยังมีที่ให้เ้ามาบ่นได้นะ”
แม่นมลู่ฟังแล้วก็หัวเราะแล้วเอ่ย “เ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้นะ จะพูดกับลูกเช่นนี้ได้อย่างไร คุณหนูเก้า ยามที่คนอื่นมองจวนโหวของพวกเรา ที่มองนั้นมิใช่มองแค่คนใดคนหนึ่ง แต่มองเป็พวกเ้าทั้งสกุล หากความสัมพันธ์ของพวกเ้าพี่น้องดีแล้ว คนอื่นก็จะบอกว่าจวนโหวของพวกเรานั้นสั่งสอนดี พวกเ้าพี่น้องอยู่ด้านนอกก็จะทำให้คนมองพวกเ้าสูงขึ้น พอตอนที่คุยกันเื่แต่งงานก็จะทำให้มองเราดี”
สวี่จือถอนหายใจ “แม่นม ข้าเพิ่งจะอายุแปดขวบนะเ้าคะ พูดเื่แต่งงานมันยังเร็วไปหน่อย”
แม่นมลู่เอ่ย “ถึงแม้จะไวไปหน่อย แต่ว่าก็ควรจะต้องดูตัวเอาไว้ก่อน รักชอบใครก็ต้องดูชาติตระกูลด้วย แล้วก็ต้องไปถามคนข้างตัว เื่ที่จะต้องทำเยอะมาก หลายคนต่างจะต้องพูดเื่แต่งงานกันเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆ ดูว่ามีผู้ใดที่เหมาะสม”
จางจ้าวฉือรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย หากเป็ยุคปัจจุบัน แม่นางตัวน้อยอยู่ปอสองปอสามคนหนึ่ง สนใจแค่ความรู้ที่ตนเองต้องเรียน สามารถสอบได้คะแนนดีก็พอแล้ว ไม่เพียงแค่เื่แต่งงานจะเป็เื่ที่ไกลมากๆ แล้ว แม้แต่เื่หาแฟนก็ยังเป็เื่ที่มองไม่เห็นเงา ตอนนี้เป็อย่างไร กลับต้องดูตัวกันั้แ่ตอนนี้ แล้วเตรียมสินเดิมเอาไว้
สวี่จือเอ่ย “แต่ว่าข้ากับพวกพี่สาวน้องสาวต่างไม่รู้จักกัน ข้าออกมาหลายปีแล้ว เื่ตอนเด็กๆ ก็ลืมไปเกือบหมดแล้วเ้าค่ะ แม่นม ข้ารู้สึกว่ากับพวกนางยังไม่สู้สนิทกับพี่สาวของสกุลหลี่ ท่านว่าต่อไปข้าจะอยู่กับพวกนางอย่างไรเ้าคะ?”
แม่นมเอ่ย “ดูจากนิสัยของพวกเขา จากนั้นก็คิดว่าจะอยู่ด้วยอย่างไร พวกเราไม่สามารถมาถึงก็มอบความเป็มิตรได้ในทันทีหรอก”
จางจ้าวฉืออุ้มสวี่จือเข้ามาในอ้อมกอดของตนเอง ยิ้มแล้วเอ่ย “ดูจากที่เขากินอาหารไงล่ะ”
แม่นมลู่หัวเราะแล้วถลึงตาใส่จางจ้าวฉือ “เ้าเอาแต่พูดจาอันใดที่คนเขาไม่ค่อยพูดกัน แต่ว่าก็มีเหตุผล ถึงแม้จะเป็พี่สาวน้องสาวในจวน แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่เดียวกัน รู้สึกว่าเข้ากันได้ก็ผูกมิตรเอาไว้ รู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้เช่นนั้นก็แค่ผูกมิตรแค่เปลือกนอก คุณหนูเก้า จวนโหวใหญ่มาก คนถึงมากตามไปด้วย อีกทั้งความสัมพันธ์ของคนในจวนก็ยุ่งเหยิง พวกเราไม่ได้อยู่ในจวนมาหลายปี ถึงแม้จะอยากแสดงความเป็มิตรกับเขา ก็ต้องทำให้ความสัมพันธ์มันราบรื่นเข้าไว้ถึงจะดี”
สวี่จือพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นตอนข้ากลับไปก็จะผูกมิตรกับพวกพี่สาวน้องสาวเ้าค่ะ แม่นม ข้าจะเอากระเป๋าที่ข้าปักเป็ของขวัญเจอหน้าดีหรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่เอ่ย “ดีสิ เหตุใดจะไม่ดี ถึงแม้จะบอกว่าของปักมือจะไม่สามารถให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ แต่ว่าระหว่างพี่สาวน้องสาวนั้นไม่ต้องใส่ใจ”
สวี่จือนับงานปักพวกนั้นที่ตนเองเคยทำก่อนจะเอ่ย “ข้าเตรียมผ้าคาดหน้าผากเอาไว้ให้ท่านทวด ทำมาจากขนจิ้งจอก ข้าปักดอกไม้เอาไว้้า ตอนอากาศหนาวจะได้ใส่ได้พอดีเ้าค่ะ”
แม่นมลู่หัวเราะแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าคาดว่าจะดีใจมาก นางชอบที่เด็กๆ ให้ของเล็กๆ กับนาง”
หลายปีมานี้สวี่จือเรียนทักษะมากมายกับแม่นมลู่ ถึงแม้ปักดอกไม้จะไม่ได้ดีมาก แต่ว่าทำกระเป๋า ปักผ้าเช็ดหน้า ทำผ้าคาดหัวนั้นไม่เลว
จางจ้าวฉือเอาสวี่ไป่มาวางบนตักตัวเอง “ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าชอบเ้ามากที่สุด เหลนในจวนของพวกเรา ฮูหยินผู้เฒ่าชอบมากที่สุดก็คือเ้ากับพี่ชายเ้าสองคน”
สวี่จือฟังแล้วในใจใมาก ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าชอบนางกับพี่ชายมากที่สุด แต่ตอนมีเื่เกิดขึ้นในเรือนเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าไม่ช่วยนางกับพี่ชายกัน? ไม่พูดเื่อื่น แค่รับตนเข้าไปอยู่ข้างกายนาง ก็สามารถทำให้ตนมีเส้นทางรอดชีวิต
ใช่แล้ว เกิดเื่ได้ไม่นาน ก็ได้ยินคนใช้ในจวนบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็โรคหลอดเืออกในสมอง นอนอยู่บนเตียงมานานหลายปี ตอนที่ไปคำนับนาง สวี่จือยังจำได้ว่าในตาของฮูหยินผู้เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงมีน้ำตา แบมือใส่นางแต่กลับพูดไม่ออกสักประโยค
สวี่จือคิดถึงเื่ในอดีตพวกนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ
เห็นสีหน้าทุกข์ใจของสวี่จือ จางจ้าวฉือก็ถอนหายใจ “นี่ล้วนเป็เื่เก่าแล้ว เด็กๆ อย่างพวกเ้าก็ไม่ได้รู้เยอะ ตอนนั้นข้าแต่งงานกับพ่อเ้า ก็เป็ฮูหยินผู้เฒ่าที่ตกลงกับท่านปู่ของข้า ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูข้าเติบโตั้แ่ยังเป็เด็ก พอรู้ว่าครอบครัวพวกเราเจอกับความลำบาก หลังจากปรึกษากับท่านพ่อของข้าแล้ว ให้แต่งข้าเข้าสกุลสวี่ จากนั้นคนของสกุลจางถึงได้ไปที่ทางใต้ ข้ากับพ่อของเ้าจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นเรื่อยมา”
สวี่จือถาม “ท่านแม่ เื่ที่ท่านกับท่านพ่อแล้วก็ท่านพี่ไปจุดธูปไหว้พระแล้วเจอเื่นั้น ผู้ใดเป็คนทำท่านก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
จางจ้าวฉือส่ายหน้า “ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร แล้วก็ไม่ได้มีอารมณ์อะไร พูดกันตามเหตุผลแล้ว พ่อของเ้าก็แค่บุตรของอนุในจวนคนหนึ่ง ถึงแม้จะสอบติดจิ้นซื่อ แต่ส่งผลกระทบอย่างไรนั้นมีจำกัด ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ใดมีความแค้นกับพวกเราขนาดนี้ จากการวางแผนของคนพวกนั้น พวกเราจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
แม่นมลู่เอ่ย “เช่นนั้นพวกเ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “พวกเราโชคดี ที่ที่ตกลงไปห่างจากแม่น้ำเส้นนั้นไม่ไกล หลังจากพวกเราตื่นขึ้นมาเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็รีบหนี วิ่งหนีมาได้ไม่ไกล ก็เห็นคนชุดดำมาทางนี้ หากพวกเราช้าไปอีกแค่นิดเดียวคาดว่าจะกลายเป็ศพไปแล้ว ต่อมาก็โชคดีที่ไปบ้านสวนของซื่อจื่อสกุลเว่ย ข้ารักษาแผลให้กับเว่ยซื่อจื่อ เขาจึงปกป้องพวกเรากลับไปที่จวนโหวเ้าค่ะ”
แม่นมลู่ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วคิดอยู่นาน “ในเมื่อเป็เช่นนี้ กลับไปครั้งนี้คาดว่าจะไม่สงบเท่าไหร่ พวกเราจะต้องให้ความสำคัญกับคนที่ยังอยู่ โดยเฉพาะคุณชายเจ็ดของพวกเรา เด็กเล็กขนาดนี้ หากพลาดไปหาไม่เจอ ไม่แน่ว่าจะถูกคนอุ้มไปแล้ว”
จางจ้าวฉือมองเด็กน้อยเหมือนก้อนข้าวเหนียวที่นั่งอยู่เงียบๆ ในอ้อมแขนของตัวเองแล้วเอ่ย “แน่นอนสิเ้าคะ นี่คือหัวใจของพวกเราทั้งครอบครัว จะไม่มีทางมีผู้ใดมาลักพาไปได้ พวกเรากลับไปที่จวนแล้วก็ต้องจัดคนของตนเองถึงจะวางใจได้ พวกเรามีไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปเรือนในได้ ความคิดของข้าก็คือ รอถึงเมืองหลวงแล้วก็ไปดูที่สกุลจาง ว่าทางนั้นมีคนที่เหมาะสมหรือไม่ พวกเราจะได้พาเข้าจวนไป ใช้คนของตัวเองวางใจกว่าจริงๆ”
แม่นมลู่พูดเอ่ย “เ้าอย่ารังเกียจสิ ข้าจะไปหาคนมาให้เ้า ในเมืองหลวงข้ายังมีพี่น้องอยู่หลายคน ปกติแล้วพวกเขาจะช่วยชี้แนะลูกๆ ของคนอื่นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากท้องกันทั้งนั้น พวกเราจ่ายเงินราคาสูงหน่อย เขาก็ยินดีมาช่วยเราอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
จางจ้าวฉือรู้อยู่แล้วว่าแม่นมลู่นั้นเป็คนอย่างไร ถึงแม้แม่นมจะไม่ได้พูดออกมาโต้งๆ แต่ว่าก็ได้แอบสื่อกับจางจ้าวฉือหลายรอบ ว่าองครักษ์ที่แม่นมพานั้นล้วนออกมาจากในวัง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวสวี่ เหตุใดถึงต้องปกป้องคนของครอบครัวสวี่ ก็เพื่อวิธีการปลูกผักบางชนิดที่ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไปในมือของครอบครัวสวี่ ถึงแม้ผักจะสู้ธัญพืชไม่ได้ แต่ว่าผักบางอย่างก็สามารถกินแทนข้าวได้
จางจ้าวฉือรีบเอ่ย “ไอ๊หยา แม่นม เช่นนั้นก็ดีมากเลยเ้าค่ะ ข้าก็กลัวว่าเขาจะไม่เห็นครอบครัวเราอยู่ในสายตาแล้วไม่ยอมมานี่เ้าคะ”
แม่นมลู่ปรายตามององครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรถม้าแล้วเอ่ย “เื่นี้เ้าวางใจได้ หน้าแก่ๆ อย่างข้าบางครั้งก็ยังใช้ได้นะ กลับไปแล้วพวกเราวางของกันเสร็จแล้ว ข้าจะไปหาคน แต่ว่าพวกเราจะต้องไปพูดกับเหล่าฮูหยินให้ชัดเจนก่อน อย่าให้พอถึงตอนนั้นพวกนางไม่ยอมให้คนพวกนี้เข้ามาในเรือนหลัง”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “พวกเราจ่ายเงินเดือนเอง ปกติแล้วก็ดูแลแค่ในเรือนของพวกเรา พวกนางจะยอมหรือไม่ยอมก็ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วก็ไม่ต้องให้พวกนางจ่ายเงินนะเ้าคะ”
แม่นมลู่เอ่ย “จะอย่างไรก็เป็คนครอบครัวเดียวกัน จะทะเลาะกันจนมองไม่ติดก็ไม่ดี”
จางจ้าวฉือเอ่ย “แม่นม จวนใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะอาศัยกันอยู่ในเรือนเดียวกัน แต่ว่านางจะสามารถควบคุมได้กี่ครอบครัวกัน? ครอบครัวใหญ่แล้วอย่างไร คนเยอะแล้วอย่างไร พวกเราสนใจแค่จิตใจของเราก็พอแล้ว ไม่ต้องไปคนอื่นสนใจให้มากความ”
แม่นมลู่ถอนหายใจ “ก็ใช่นะ ครอบครัวใหญ่แล้วอย่างไร ลูกหลายเยอะแล้วอย่างไร ส่วนมากก็จะวางแผนดูแลแค่ครอบครัวตัวเอง ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในส่วนใหญ่ก็เพียงพอแล้ว”
จางจ้าวฉือเอ่ย “นิสัยของข้าท่านเองก็รู้ ข้าก็ไม่ใช่คนที่สามารถยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ เ้าดีมาข้าดีตอบ เช่นนี้พวกเราทุกคนก็จะอยู่ร่วมกันได้ เ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีแล้ว ข้าก็จะทำให้เ้าอารมณ์ดีเช่นกัน เ้าทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี เหตุใดข้าจะต้องทำให้เ้าอารมณ์ดีด้วยงั้นหรือ? ต่อหน้าจือเอ๋อร์ของพวกเราข้าก็พูดเช่นนี้ ชีวิตของลูกสาวเราน่ะ เดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องไปเก็บความรู้สึกของคนอื่นมาใส่ใจด้วย?”
แม่นมลู่ฟังถึงตรงนี้ก็รู้ว่า สำหรับจากจ้าวฉือแล้วจวนโหวไม่ใช่ที่ที่ทำให้นางมีความสุข แต่เพราะว่าที่นั่นมีฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวเย่อยู่ หากไม่มีสองคนนี้อยู่แล้ว คาดว่าคงจะย้ายออกไปนานแล้ว
จางจ้าวฉือพูดอยู่นานถึงได้เอ่ยขอโทษออกมา “ข้าก็แค่อยากจะพูดความในใจของข้าให้กับท่านฟัง แม่นม พวกเรากลับไปแล้วควรจะทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ไม่ต้องไปให้ความสนใจ ล้วนเป็ลูกหลานของจวนโหวกันทั้งนั้น คนอื่นๆ สามารถอยู่ในเรือนได้อย่างสบาย พวกเราก็ไม่จำเป็ที่จะไปทำตามกฎพวกนั้นที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่พยักหน้า สวี่ไป่ที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของจางจ้าวฉือ ก็ได้วางแผนสำหรับการใช้ชีวิตในจวนที่จะต้องเผชิญเรียบร้อยแล้ว อายุของตนเองในตอนนี้ก็เป็่วัยที่ต้องเรียนรู้เอาไว้
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนที่น่านับถือที่สุดในเรือนหลัง อย่าเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ค้ำจุนครอบครัวนี้ โหวเย่เป็คนที่กตัญญู ในหลายๆ เื่มักจะเอาความเห็นของฮูหยินผู้เฒ่ามาอ้างอิง หากเอาใจสองคนนี้ให้ดีแล้ว ยังจะไม่มีเื่ดีๆ เกิดขึ้นกับตนเองอยู่หรือ?
คิดมาถึงตรงนี้ สวี่ไป่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ฉับพลันน้ำลายในปากจึงไหลยืดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ สวี่จือที่นั่งอยู่ด้านข้างก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายละเอียดออกมาเช็ดปากให้กับเขา “ท่านแม่ เหตุใดน้ำลายของน้องชายถึงไหลออกมามากขนาดนี้กันเ้าคะ”
จางจ้าวฉือจับแขนทั้งสองข้างของสวี่ไป่ ให้สวี่ไป่หันมามองตนเอง แล้วมองไปที่ปากของเขา “ฟันจะงอกแล้วนี่ รอฟันงอกออกมาก็หายแล้ว”
สวี่จือพยักหน้า “ท่านแม่ ท่านว่าเมื่อไหร่น้องชายถึงจะเดินได้เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือตอบ “เด็กซนขนาดนี้ แทนที่จะเดินแล้วล้มสู้เดินไม่เป็ดีกว่า ตอนนี้เดินไม่เป็พวกเราดูแบบนี้ก็ดีแล้ว รอเขาเดินได้ เผลอครู่เดียวก็หาตัวคนไม่เจอแล้ว”
สวี่จือเอ่ย “เช่นนั้นถึงตอนนั้นข้าจะดูน้องชายดีๆ จะไม่ให้น้องชายหายแน่นอนเ้าค่ะ ท่านแม่ เช่นนั้นน้องชายมีฟันงอกออกมาแล้วก็สามารถกินอาหารได้มากมายแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือตอบ “ไม่ถึงกับกินอาหารได้มาก ฟันงอกออกมาแล้วก็สามารถกัดของกินเองได้แล้ว ไม่เหมือนกับตอนนี้ อะไรก็ต้องบดเละๆ ให้เขากิน แต่หากจะให้ใช้ฟันตัวเองกินอาหารได้ ข้าคาดว่าจะต้องรออีกครึ่งปี”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้