โจวชิงหวากำไข่มุกราตรีในมือแน่น พลางนึกยินดี ที่ตัดสินใจซื้อมันมาให้หนีเจียเอ๋อร์ในวันนั้น
พอเห็นสีหน้าเบิกบานเป็พิเศษของอีกฝ่าย ต้วนอวิ๋นหลานก็อดมิได้ที่จะถามด้วยความกังขา “พี่ชิงหวา ในมือของท่านนั่น มันคืออะไรหรือ?”
เมื่อโจวชิงหวาแบมือให้ดู ก็พบว่าเป็ไข่มุกราตรีทรงกลมสีขาวขุ่น ซึ่งทอแสงเรื่อเรือง ดูแวววาวสมเป็อัญมณีน้ำงาม
“นี่คือสิ่งที่หนีเจียเอ๋อร์ทิ้งเอาไว้”
ต้วนอวิ๋นหลานเลิกคิ้วทำหน้านิ่ว “นางจะทิ้งเอาไว้เพื่ออันใด?”
โจวชิงหวานั่งลง และชี้ไปที่กิ่งไม้แห้งขนาดเล็ก ซึ่งมีลักษณะเหมือนลูกศรบนพื้น “แม่ทัพต้วน ดูตรงนี้สิ นี่เป็เครื่องหมายลูกศรของเสี่ยวเอ๋อร์”
เขาลุกขึ้น แล้วชี้นิ้วไปยังทิศใต้ของูเาสือเหลียน “เมื่อไปถึงที่นั่น เราจะต้องพบเครื่องหมายบอกทางอีกเป็แน่”
ต้วนอวิ๋นหลานเหลือบมองไปยังูเาสือเหลียนในยามค่ำคืน แล้วมุ่นคิ้ว “คงไม่ง่ายนัก หากจะค้นหาเครื่องหมายเล็กๆ เช่นนี้ในความมืด อย่าหาว่าพูดมากเลย บางทีเราอาจจะเผลอไปทำลายมันโดยไม่ตั้งใจ หรือต้องหลงทางเพราะของเหล่านี้ก็เป็ได้ เช่นนั้นแล้ว จะมิเท่ากับได้ไม่คุ้มเสียหรอกหรือ?”
โจวชิงหวาใช้ปลายนิ้วขาวราวกับกระเบื้องเคลือบ ลูบไล้ไข่มุกราตรีที่ทอประกายล้อแสงไฟ แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “แม่ทัพต้วน ไข่มุกบนสร้อยข้อมือของเสี่ยวเอ๋อร์มีทั้งหมดสิบแปดเม็ด ดังนั้นบนเส้นทางที่เราจะไป ย่อมต้องมีไข่มุกราตรีอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็แน่ ขอแค่เห็นแสงของมัน เราก็ไม่หลงทางแล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลานเรียกสือหู่มา และบอกให้เขากระจายคำสั่งให้ออกค้นหาไข่มุกราตรีและสัญลักษณ์ชี้บอกเส้นทาง โดยเน้นไปยังทิศใต้ ขณะเดียวกันก็ต้องระวัง อย่าให้พลาดทางแยกใดบนเส้นทางอย่างเด็ดขาด
หลังจากสั่งการเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็หันมาถามทันที “พี่ชิงหวา ท่านเป็คนมอบสร้อยข้อมือที่ทำจากไข่มุกราตรีให้กับเสี่ยวเอ๋อร์ ใช่หรือไม่?”
แม้ว่าคำถามนี้จะฟังดูธรรมดามาก หากแต่น้ำเสียงและแววตา กลับบ่งบอกว่าเขาใจจดใจจ่อกับคำตอบเพียงใด
โจวชิงหวากำลังวิตกกังวล จนไม่ทันสังเกตความนัยที่แฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย เขาจึงตอบสั้นๆ “ใช่!”
จากนั้นก็เข้าร่วมกลุ่ม รีบออกไปค้นหาเครื่องหมายบอกทาง
ด้านต้วนอวิ๋นหลานก็มิได้ยึดติดกับฐานะแม่ทัพจนทำตัวสูงส่ง หากแต่ร่วมมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาและโจวชิงหวา ทำการออกค้นหาไปตามทุ่งหญ้าอย่างไม่ละความพยายาม จนมาถึงทางแยกแรกบนถนน
เป็อย่างที่โจวชิงหวาคาดเอาไว้ พวกเขาพบไข่มุกราตรีเม็ดที่สองจริงๆ แม้ว่าคราวนี้เครื่องหมายจะเป็ก้อนหินที่มีขนาดต่างกันมาวางเรียงราย แต่พวกเขาก็สามารถมองเห็นทิศทางที่ชี้ไปได้อย่างชัดเจน
ทุกคนเดินไปตามเส้นทางนั้น จนในที่สุด ก็มองเห็นความหวังในสองชั่วยามต่อมา
เมื่อพบจวนซึ่งจุดโคมสว่างไสว ระหว่างทางขึ้นูเา
บุรุษที่เคยไปเยือนหอเฟิงเยวี่ย ล้วนเคยได้ยินเื่ราวเกี่ยวกับจวนหลังหนึ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่บริเวณนี้ ในนามหอเฟิงเยวี่ยแห่งที่สองของเมืองหลวง!
แค่เห็นสถานที่แห่งนี้จากระยะไกล สีหน้าของโจวชิงหวาก็ยิ่งดูน่ากลัว ใบหน้าอันหล่อเหลาเ็าดุจรูปสลัก มืดครึ้มประหนึ่งพายุลูกใหญ่ ซึ่งพร้อมจะโหมกระหน่ำเข้าใส่ทั้ง์และพื้นพิภพ จนทำลายล้างทุกสรรพสิ่งไปหมดสิ้น
แม้แต่ต้วนอวิ๋นหลาน ซึ่งถูกเคี่ยวกรำในสนามรบมานาน ก็ยังอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มผู้มีสายตาวาวโรจน์ ดั่งจะฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
แม่ทัพหนุ่มนึกฉงน แม้บุรุษผู้นี้จะชอบสวมหน้ากาก ทว่าหาใช่คนเลวร้ายอย่างที่คิด ภายใต้หน้ากากสุภาพใจดี ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซุกซ่อนความแข็งแกร่งไว้มากมายเพียงใด และหากทุกสิ่งปะทุขึ้นมาแล้ว มันจะเป็เช่นไร? ซึ่งแน่นอนว่า เื่นี้ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้...
โจวชิงหวาััได้ถึงสายตาของต้วนอวิ๋นหลานอยู่นานแล้ว แต่กระนั้น ก็ยังคงใจจดใจจ่อกับจวนใหญ่ตรงหน้า เขาจับจ้องมันด้วยความกังวลและเคร่งเครียด “แม่ทัพต้วน ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?”
ต้วนอวิ๋นหลานตั้งใจจะทดสอบความสามารถของชายหนุ่ม จึงแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนย้อนถาม “แล้วตามความเห็นของพี่ชิงหวา คิดว่าเราจะฝ่าคนเฝ้ายามภายนอกเข้าไปอย่างเงียบๆ และลอบช่วยเหลือคนด้านในได้ด้วยวิธีใด?”
โจวชิงหวาเหลือบไปมองแม่ทัพหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ดวงตามืดมนและล้ำลึกไร้ก้นบึ้งของเขานั้น นอกจากความกังวลแล้ว ก็มองไม่เห็นร่องรอยของอารมณ์อื่นใดอีก “แม่ทัพต้วน ชิงหวาย่อมไม่รู้วิธีการโจมตีใดๆ ท่านน่าจะคิดแผนการช่วยคนอย่างปลอดภัยและรวดเร็วได้ดีกว่า”
พูดจบ ก็ค้อมตัวคำนับ ต้วนอวิ๋นหลานมองท่าทางจริงใจและร้อนรนของชายหนุ่มนิ่งๆ พลางหรี่ตาลง ยังคงสงสัยว่าคนผู้นี้ซ่อนตัวตนได้ดีเกินไป หรือคิดไม่ออกจริงๆ กันแน่...
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนเช่นนี้มิควรประมาทเป็อย่างยิ่ง!
“ท่านแม่ทัพ คงจะดีกว่าหากท่านเป็ผู้วางแผนจู่โจม แต่ตอนนี้ข้าร้อนใจนัก ขอล่วงหน้าไปหาเสี่ยวเอ๋อร์ก่อนก็แล้วกัน” เอ่ยจบ โจวชิงหวาก็ทะยานออกไป
เมื่อมองดูร่างที่หายลับไปในความมืด ต้วนอวิ๋นหลานก็ไพล่มือไปข้างหลังอย่างครุ่นคิด
สือหู่ก้าวเข้ามา แล้วมองไปด้านหน้าที่ไร้เงาผู้คน “ท่านแม่ทัพ จะติดตามเขาไป แล้วค่อยให้คนของเราบุกไปสมทบหรือไม่ขอรับ?”
จากนั้น แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้ลงมือทันที สือหู่จึงโค้งกายรับคำสั่ง ก่อนนำคนจำนวนหนึ่งไปจัดการกับกลุ่มคนที่เฝ้าอยู่หน้าจวน
ต้วนอวิ๋นหลานดึงกระบี่ออกจากฝัก ก่อนตามไปสมทบกับพวกเขา “คนที่เหลือมากับข้า!”
ทันใดนั้น เสียงของการต่อสู้ก็ดังขึ้น
พอต้วนอวิ๋นหลานเข้ามาสมทบ สถานการณ์ที่กำลังเข้าขั้นวิกฤตก็พลิกผัน กลายมาเป็ฝ่ายได้เปรียบอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็สามารถจับคนเฝ้ายามนอกจวนได้จนหมดสิ้น
...
ข้างในจวน
โจวชิงหวาได้พบหนีเจียเอ๋อร์และปกป้องนางเป็อย่างดี ส่วนหนีจวิ้นหว่านซึ่งอยู่ข้างๆ น้องสาว กลับตัวสั่นดั่งลูกกวางตระหนกมาจนถึงตอนนี้
ที่ด้านหลังพวกเขา ยังมีเด็กสาวซึ่งถูกลักพาตัวมาด้วยกัน พวกนางล้วนมีท่าทีหวั่นผวา
นอกจากนี้ ยังมีบรรดาหญิงสาวที่ถูกกักขังมานาน บนใบหน้าของทุกคนไร้ซึ่งความพรั่นพรึง มีแต่ความเกลียดชังอย่างล้ำลึก
ชีวิตของพวกนางถูกคนเลวทรามเหล่านี้ทำลาย แม้จะได้รับความช่วยเหลือกลับไป แต่วันหน้าคงไม่อาจคาดหวังว่าจะได้ออกเรือนกับบุรุษใดได้อีก ต้องตกนรกทั้งเป็ และตายไปอย่างโดดเดี่ยว
สายตาของทุกคนจึงไม่ต่างจากมีด ที่พร้อมจะทิ่มแทงคนพวกนั้นอย่างดุเดือด
คนเหล่านี้ล้วนเป็สุนัขรับใช้ของขุนนางในราชสำนัก นำโดยโย่วเซียง ขุนนางขั้นหนึ่งของราชวงศ์
ใต้เท้าโย่วเซียงพูดด้วยความตื่นตะลึง “โจวชิงหวา... เ้ากับข้าล้วนเป็คนคุ้นเคยกัน มิได้มีความบาดหมาง หรือหนี้แค้นต่อกัน เหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของผู้อื่นยามวิกาลเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวันหลังจะเดือดร้อนหรืออย่างไร!”
คำตอบของโจวชิงหวา คือการใช้มือข้างที่เหลือ กระแทกใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
ร่างขุนนางชั้นสูงล้มลง และร้องโหยหวนด้วยความเ็ป
เหล่าสตรีรวมถึงหนีเจียเอ๋อร์ พากันยกยิ้ม บรรยากาศผ่อนคลายลง
ขุนนางขั้นสองและขั้นสามที่อยู่ด้านหลัง เกรงว่าพวกตนจะเป็รายต่อไป จึงยกมือขึ้นมาป้องกันใบหน้าในทันใด ทั้งยังมีบางคนพยายามยื่นข้อเสนอ เพื่อซื้อโจวชิงหวาด้วยเงิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้