“เดิมทีข้าอยากตั้งใจหาเงินอีกสองเดือน รอจนอวี้หลันคลอดลูกแล้วจะพานางกับฉีซื่อและลูกๆ กลับไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านสามสิบลี้ แม้ว่าคนอื่นจะบอกว่าข้ามีอนุ ข้าก็จะยอมรับไว้ จะบอกว่าข้าเลว อาศัยกินใช้ของภรรยา หรือจะบอกว่าไปหาผู้หญิงนอกบ้าน ความผิดเหล่านี้ข้าขอรับไว้ทั้งหมด ข้าไม่้าเห็นอวี้หลันคลอดลูกและถูกคนอื่นรังแก อย่างน้อยในหมู่บ้านสามสิบลี้ก็มีข้าช่วยดูแล แม้ว่าฉีซื่อจะไม่สบายใจ ข้าคิดว่า ขอเพียงไม่รังแกก่อกวนอวี้หลัน ก็คงทำให้นางเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่อย่างปลอดภัยสงบสุข ไม่ว่าเื่อะไรข้าก็จะรับไว้เอง”
หลิวต้าฟู่หยิบกาเหล้าขึ้นมาป้อนใส่ปากโดยตรง ความเผ็ดร้อนของเหล้าแผดเผาลำคอจนรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่เท่ากับหัวใจของเขา
“ข้าไม่ควรลากไปยืดยาว ควรกลับมาเร็วสักหน่อย ข้าไม่อาจเชื่อได้จริงๆ ว่าคนตระกูลฉีนั้นใจเหี้ยมอำมหิต ตอนนั้นอวี้หลันใกล้จะคลอดและท้องโต พวกเขายังใจร้ายลงมือผลักนางล้มกับพื้น หากไม่ใช่เพราะข้าได้ยินข่าวและกลับไปทันเวลา เกรงว่าคงต้องสูญเสียไปถึงสองชีวิต”
หลิวต้าฟู่ร้องไห้เหมือนเด็กจนน่าสงสาร ร้องอย่างเ็ป และร้องเพราะการกล่าวโทษตนเอง
“นี่ล้วนเป็ความผิดของข้า เพราะข้าปกป้องอวี้หลันไว้ไม่ได้”
“ดังนั้นแล้ว ท่านแม่ของซานกุ้ยเสียชีวิตแล้วหรือ?” เสียงของเกาจิ่วฟังดูเ็าเล็กน้อย แต่เขาไม่สามารถตําหนิชายที่ร้องไห้อย่างเศร้าโศกคนนี้ได้
“เพราะข้าใช้ไม่ได้ นี่เป็ความผิดของข้า ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าความหวังดีของข้าจะเป็การทำร้ายอวี้หลัน”
เกาจิ่วคิดว่าคนที่ชื่อกัวอวี้หลันน่าจะไม่รู้ว่าบ้านมารดาของฉีซื่ออยู่ในจวนตระกูลหวง อีกทั้งยังมีอำนาจมาก
“แล้วท่านพ่อแท้ๆ ของซานกุ้ยเล่า? ท่านเอาทั้งสองไปฝังด้วยกันหรือ?”
ใบหน้าชราของหลิวต้าฟู่อาบไปด้วยน้ำตา เมื่อได้ยินคำถามของเกาจิ่วก็ถึงกับนิ่งค้างไป
“พ่อแท้ๆ ของซานกุ้ย ข้าได้ยินอวี้หลันบอกว่าพ่อแท้ๆ ของเขาตายไปแล้ว ตอนนั้นนางกับสามีของนางไปทำค้าขายที่ชายแดน ต่อมาเจอกับกลุ่มโจรอาชา สามีของนางตายเพราะช่วยนาง”
โกหกใครกัน ยี่สิบกว่าปีก่อนแม้ว่าชายแดนจะวุ่นวาย แต่นั่นก็มีเพียงชาวหมานที่มักจะปล้นเสบียงอาหารในฤดูหนาวเท่านั้น
เกาจิ่วมองลงมาที่หลิวต้าฟู่ซึ่งเหมือนแก่ลงไปสิบปี ชายชราตรงหน้าก็เป็คนโง่เขลาอยู่แล้ว
คำโกหกของนางที่ใช้ไม่ได้เช่นนี้ เขาก็ยังเชื่อ!
ควรรจะบอกว่าเขาใสซื่อหรือโง่บริสุทธิ์ดี!
เกาจิ่วรู้สึกว่าหลิวซานกุ้ยอาจเป็บุตรชายของตระกูลผู้ดี และเป็ไปได้ว่าจะเป็บุตรนอกสมรสอะไรเทือกนั้น
แม้ชาวบ้านทั่วไปจะไม่ได้มีเื่เช่นนี้ แต่ในบรรดาคนสูงศักดิ์มักชื่นชอบอะไรแบบนี้
“ครอบครัวสามีของกัวอวี้หลันอยู่ที่ใด?”
หลิวต้าฟู่นึกอยู่นานครึ่งค่อนวัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากัวอวี้หลันเคยหลุดปากอย่างไม่ตั้งใจครั้งหนึ่ง นางเคยกล่าวว่าบ้านเกิดของสามีอยู่ที่อี้โจว
เกาจิ่วพูดไม่ออก ในเมื่อบ้านฝั่งสามีไม่ได้อยู่ในชิงโจว แล้วเหตุใดนางจึงไม่กลับไปที่บ้านสามี หากแต่กลับมาที่บ้านฝั่งมารดาทางนี้ ทั้งที่บ้านฝั่งมารดาก็ไม่ได้มีผู้ใดอยู่แล้ว
เขาไม่รู้จะพูดกับหลิวต้าฟู่อย่างไรดี
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกว่า “คือว่า ท่านลุงหลิว หลายปีมานี้ท่านก็มองดูภรรยาของท่านรังแกซานกุ้ยอย่างนั้นหรือ? ข้าเป็สหายรักของเขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมนัก”
ในความเป็จริง เขาอยากจะพูดอย่างตรงไปตรงมา เหตุใดท่านไม่บอกหลิวฉีซื่อที่ชั่วร้ายว่าหลิวซานกุ้ยไม่ใช่เชื้อสายของท่านเลย
“หรุ่ยเอ๋อร์เป็คนร้ายกาจ หากนางรู้ว่าซานกุ้ยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า นางต้องปล่อยมือไม่สนใจดูแลแน่นอน ข้ารับปากกับอวี้หลันว่าจะเลี้ยงดูอุ้มชูซานกุ้ยให้เติบโต”
ความลับที่อยู่ในใจมานานหลายปี ทันใดนั้นก็มีโอกาสได้พูดออกมาจนหมดเปลือกอย่างไร้กังวล
หลิวต้าฟู่เริ่มสาธยายออกมา “ตอนนั้นก่อนที่อวี้หลันจะจากไป นอกจากสั่งเสียเื่ที่อย่าให้ซานกุ้ยรู้ถึงสถานะของตนเองแล้ว ก็ยังทิ้งเงินไว้หนึ่งก้อน ข้าจึงนำเงินก้อนนี้ไปซื้อที่นาดีในหมู่บ้านสามสิบลี้จำนวนห้าไร่ ที่ดินแห้งสิบไร่ แล้วยกโฉนดเหล่านี้ให้หรุ่ยเอ๋อร์ ข้าอยากบอกนางว่า แม้ว่าจะเลี้ยงดูซานกุ้ย แต่เด็กชายคนนี้ก็จะไม่ใช้เงินของนางแม้แต่แดงเดียว”
เกาจิ่วฟังแล้วพลันเกิดความโมโหในใจ ในเมื่อคนอื่นเขากินของตนเอง ใช้ของตนเอง แล้วเหตุใดหลิวฉีซื่อยังใช้งานเขาเยี่ยงวัวเยี่ยงควาย
“แต่หรุ่ยเอ๋อร์ไม่เชื่อ” คงเพราะความโกรธที่แสดงออกบนใบหน้าของเกาจิ่วเห็นได้ชัดเจน หลิวต้าฟู่จึงเอ่ยอีก “นางมักจะคิดว่าข้าแอบเก็บเงินส่วนตัว และคิดว่าพ่อแม่ข้าล้วนเก็บสมบัติไว้ให้ซานกุ้ย จึงรู้สึกมีความไม่ยุติธรรมในใจ”
เกาจิ่วเยาะเย้ย “ข้าฟังที่ท่านเล่ามา คาดคะเนว่าตอนนั้นการแต่งกายของกัวอวี้หลันคงไม่ได้ย่ำแย่มากนัก”
หลิวต้าฟู่พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ บ้านสามีของนางทำการค้าขาย ตอนนั้นพบเจอกับโจรอาชา แต่สามีของนางเก็บซ่อนสมบัติไว้ดี บนตัวนางจึงยังมีสมบัติส่วนตัวอยู่บ้าง อ้อ น่าจะห่อกระดาษมันและเย็บติดไว้ใต้คอเสื้อ”
ในความเป็จริง เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่เล่าเื่นี้ออกมาก็เพราะอยากบอกเล่าเื่ราวทุกอย่าง ไม่้าให้หลิวฉีซื่อทำให้บุตรชายสามของเขาลำบากใจอีก
“ฮึ ท่านคิดว่าหลิวฉีซื่อสงสัยจริงหรือว่าท่านเก็บเงินส่วนตัว?” เกาจิ่วโมโหที่หลิวต้าฟู่ถูกปั่นหัว
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?
ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ประหลาดใจ!
“การที่กัวอวี้หลันไม่ได้แต่งกายย่ำแย่ ในมือย่อมพอมีเงินใช้จ่าย ที่หลิวฉีซื่อพูดเช่นนั้น ก็เพียงแค่หาข้ออ้างเท่านั้น”
ข้ออ้างคือการยึดที่นาดีห้าไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่ที่มารดาของหลิวซานกุ้ยเก็บไว้ให้เขา
......
หลังจากที่ทั้งห้องฟังการสาธยายของเกาจิ่วแล้ว ต่างก็ตกตะลึง!
หลิวเต้าเซียงอ้าปากเหวอเล็กน้อย ที่แท้ครอบครัวของนางไม่ใช่คนยากจนั้แ่แรก!
ที่นาดีห้าไร่ ที่ดินแห้งอีกสิบไร่ นับว่าเป็คนมั่งคั่งย่อมๆ ในหมู่บ้านสามสิบลี้แล้ว
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าในสมองนั้นมีเสียงดังกระหึ่ม ไม่กล้าเชื่อว่าข้อเท็จจริงจะเป็เช่นนี้
“ท่านพ่อ ท่านไม่ใช่...”
เมื่อมองไปที่หลิวต้าฟู่ซึ่งดูชราตัวไปมากกว่าสิบปี ทั้งยังเรียกขานเขาว่าพ่อมาหลายสิบปี กลับพบว่าตนเองมิอาจเอ่ยออกมาได้
เสียงแหลมของหลิวฉีซื่อดังขึ้น “ต้าฟู่ เ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร ที่นาดีห้าไร่ ที่ดินแห้งสิบไร่ เป็ของที่ใช้สินเ้าสาวของข้าซื้อมา ข้ารู้แล้ว เ้าโทษที่ข้าลำเอียงเกินไป จึงอยากแบ่งของให้เ้าสามมากกว่านี้ แต่เหตุใดเ้าไม่คิดดูว่า เ้ายังมีลูกชายอีกสามคนกับลูกสาวหนึ่งคน คนเหล่านี้ไม่ต้องใช้จ่าย ไม่ต้องกินข้าวแล้วหรือ?”
หลิวต้าฟู่มองไปที่นางด้วยแววตาที่หม่นหมองมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะด้อยความรู้ แต่ก็รู้ว่าในมือของหลิวฉีซื่อมีจวงจื่อ ส่วนสาเหตุที่ต้องรีบแยกครอบครัวสาม เพราะกลัวว่าหลังจากที่หลิวซานกุ้ยรู้เข้าจะถูกแบ่งไปด้วยส่วนหนึ่ง
“หรุ่ยเอ๋อร์ เ้าเลิกอาละวาดเสียที ตอนนั้นข้าเคยบอกไว้ว่า เงินที่ซื้อที่นาคือความตั้งใจของอวี้หลันที่จะเก็บไว้ให้ซานกุ้ย ข้าไม่อยากให้เขาใช้จ่ายสูญเปล่า จึงตัดสินใจซื้อที่นานั้นเอง ก็เพื่อให้เขาใช้ตอนที่มีเมียและลูก จะได้ไม่ลำบากเกินไป”
ขณะเดียวกัน เขาก็ยิ่งเจ็บแปลบในใจ และยิ่งเกลียดชังความเห็นแก่ตัวกับความละโมบของหลิวฉีซื่อ
“อะไรคือการที่ข้าอาละวาด!” หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็เดือดดาล ความโมโหพุ่งจู่โจมหัวใจ เ้าหลิวต้าฟู่สมองทึบและไม่เคยคิดคดเคี้ยว ตนเองพูดจาได้ชัดเจนเช่นนี้ แต่กลับไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของครอบครัวแม้แต่น้อย
“หุบปาก!” เสียงของซูจื่อเยี่ยเหมือนน้ำแข็งเย็นะเืตกลงสู่พื้น!
“เอามา!”
หลิวฉีซื่อผู้ซึ่ง้าปลุกเร้าเื่นี้ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
คิ้วคมเข้มดุจหมึกของซูจื่อเยี่ยขมวดเป็ปม เกาจิ่วที่อยู่ข้างๆ รู้ว่านายน้อยรำคาญหญิงบ้าคลั่งที่เอาแต่พ่นน้ำลาย “ฮูหยินหลิว ยกโฉนดของซานกุ้ยคืนให้เขา”
เมื่อซูจื่อเยี่ยพูดออกมา หลิวฉีซื่อไม่กล้าทำให้ขุ่นเคือง ส่วนเกาจิ่วบังคับขอโฉนดกับนาง หลิวฉีซื่อไม่มีทางยอมแน่นอนอยู่แล้ว แต่นางก็ไม่กล้าใช้ลูกไม้แพรวพราวกับซูจื่อเยี่ย
ดังนั้นนางจึงแกล้งเหลือกตาแล้วล้มหงายไปด้านหลัง
หลิวเหรินกุ้ยเหยียดมือออกไปช่วยพยุง พร้อมกับก้มหน้าร้องโอดครวญ “ท่านแม่ ท่านแม่ เป็อะไรไป น้องสาม ดูเ้าสิ ทำให้ท่านแม่เป็ลมไปแล้ว”
จิตใจของหลิวซานกุ้ยสับสนวุ่นวาย วันนี้เขาได้รับแรงกระทบกระเทือนจากเื่ราวเหล่านี้อย่างจัง
ชั่วขณะหนึ่งจึงตกอยู่ในภวังค์แห่งความโศกเศร้า ยากที่จะเชื่อคำพูดเหล่านี้ได้
“อ้าว ท่านยาย ท่านย่าเป็ลมไปแล้ว คราวที่แล้วข้าได้ยินท่านบอกว่า คนเป็ลมต้องรีบช่วยให้ทันการโดยการใช้เข็มแทงปลายนิ้ว”
หลิวเต้าเซียงกล่าวในขณะที่รีบค้นกระเป๋าเงินเล็กๆ ของตนเอง พร้อมกับหยิบเข็มเย็บปักที่เลื่อมเป็ประกายออกมา “ลุงรอง พยุงท่านย่าไว้ ข้าจะฝังเข็มปลายนิ้วให้นาง”
เด็กรับใช้แอบมองนาง ใครก็ได้บอกพวกนางทีว่า เหตุใดคุณหนูของพวกนางจึงพกเข็มไว้กับตัว
เฉินซื่อเองก็มีไหวพริบ เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อเป็เช่นนี้ก็รู้ว่าแกล้งเป็ลม
“โอย เด็กดีของยาย เื่แบบนี้เ้าจะทำเป็ที่ไหนกัน มาเถิด ให้ยายทำเอง”
หลิวเต้าเซียงหันไปมองตาปริบๆ ท่านยาย ท่านมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นจะดีหรือ?
เฉินซื่อรับเข็มเย็บปักมาจากมือของนาง จับมือข้างซ้ายของหลิวฉีซื่อและเอ่ย “เฮ้อ มือข้างนี้ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งอ่อนและนุ่ม ไม่ว่าข้าจะทิ่มไปที่นิ้วไหนก็คงมีเืออกมาแน่ โอย ช่างคิดหนักเหลือเกิน หากไม่ทิ่มก็กลัวว่าจะไม่ฟื้น แต่พอทิ่มไป ปลายนิ้วทั้งสิบเชื่อมถึงใจ คงเจ็บน่าดู”
หลิวเต้าเซียงเบิกตากว้างและมองดูหนังตาของหลิวฉีซื่อกระตุก ท่านยาย ท่านเยี่ยมยอดจริงๆ!
“อืม เลือกเป็นิ้วชี้ก็แล้วกัน นิ้วชี้เล็บสั้นหน่อย จะได้ทิ่มเข้าไปในเล็บได้ง่าย”
“เอ่อ ท่านแม่ของกุ้ยฮัว ข้าว่าไม่ดีกว่า แม่ข้ากลัวเจ็บที่สุด ข้าว่าพยุงนางไปนอนพักที่เตียงก่อนดีกว่า แล้วให้หมอมาดู” หลิวเหรินกุ้ยรู้ดีแก่ใจว่ามารดาของตนแกล้งเป็ลม
เฉินซื่อพูดอย่างเคร่งขรึม “เหรินกุ้ย ต้องทำ ที่แม่เ้าเป็ลมไป ข้าคิดว่าน่าจะเป็เพราะอัดอั้นในใจเกินไป กว่าจะไปหาหมอมาต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม รีบฝังเข็มที่ปลายนิ้วก่อนเถิด ปล่อยเืออกมานิดหน่อยให้ลมที่จุกในอกได้คลายออกมา มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้”
หลิวซุนซื่อไม่เคยลืมที่จะสร้างตัวตน จึงะโออกมาแล้วเอ่ย “ใช่ สามี รีบฝังเข็มปลายนิ้วให้ท่านแม่เถิด จะได้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว”
เฉินซื่อยิ้มและมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน ช่างเป็ผู้หญิงที่ดีจริงๆ!
เฉินซื่อหยิบเข็มและบีบนิ้วชี้ของหลิวฉีซื่อ ขณะกำลังเตรียมจะแทงเข็มลงไป ก็ได้ยินเสียงหลิวฉีซื่อกรนในลำคอ จากนั้นพ่นลมหายใจแล้วค่อยๆ ลืมตา
“โอ้ ท่านแม่ ท่านตื่นเสียที!” หลิวเหรินกุ้ยมองหลิวฉีซื่อด้วย ‘ความประหลาดใจ’
“อ้าว เหรินกุ้ย เหตุใดข้าถึงรู้สึกเวียนหัวนัก?” หลิวฉีซื่อไม่อยากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และยิ่งไม่อยากนึกถึงเื่ที่จะเอาโฉนดออกมา
อย่างไรก็ตาม มีใครบางคนไม่ยอมปล่อยนางไปแน่นอน
“โฉนดที่ดิน!” ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเย็นะเื ใบหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างกายนาง จากนั้นยื่นมือออกมา “เอามา”
ช่างเป็เด็กป่าเถื่อนนัก ไม่มีวิสัยทัศน์เสียเลย
หลิวฉีซื่อตัดพ้อในใจ แต่ซูจื่อเยี่ยไม่รู้
เพียงแค่จ้องมองนางนิ่งๆ ด้วยดวงตาที่เ็า
ฮึ กล้ามาเล่นตุกติกต่อหน้าคุณชายอย่างข้า!
หากวันนี้ไม่มอบโฉนดมา เขาจะไม่ยอมจบกับนางแน่นอน
หลิวฉีซื่อตอบด้วยแววตาเป็ประกายว่า “โฉนดที่ดินอะไร ที่ดินและบ้านของนางก็แบ่งให้เขาไปหมดแล้ว”
ซูจื่อเยี่ยเอียงศีรษะพินิจ แล้วตอบ “ก็ใช่”
-----