เฟิ่งสือจิ่นยันโต๊ะลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า นางใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำลายที่มุมปาก จากนั้นก็มองเขม็งไปที่ซูกู้เหยียน “ตอนนี้พอใจเ้าหรือยัง พรุ่งนี้เช้า ข่าวลือเกี่ยวกับอาจารย์แห่งวิทยาลัยหลวงต้องลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองแน่” ยิ่งไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขามากแค่ไหน เขากลับยิ่งแทรกตัวเข้ามาเสียอย่างนั้น
ซูกู้เหยียนกำมือเบาๆ เขามองตามร่างใต้ตะวันอัสดงของเฟิ่งสือจิ่นที่วิ่งพรวดพราดออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง จากนั้นก็ก้มหน้ามองฝ่ามือที่ตนใช้จับคางของเฟิ่งสือจิ่น “ข้าเป็อะไรไป” เขาพูดอย่างสับสน
พระราชวังในยามวิกาล แสงไฟส่องสลัว เมื่อทอดมองออกไป ตำหนักที่สว่างที่สุดในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่ตำหนักอันเป็ที่ประทับของฮ่องเต้อย่างที่เคยเป็ แต่เป็ตำหนักขององค์หญิงเจ็ดต่างหาก
ซูเหลียนหรูอยู่กับความหวาดผวามาหลายวัน ทำให้อารมณ์หุนหัน ทั้งยังมีสติไม่สู้ดีนัก พระสนมเต๋อเห็นว่าเื่นี้รุนแรงมากขึ้นทุกที จึงเชิญราชครูเข้ามาตรวจดูกลางดึก
ทั้งที่ตำหนักมีไฟส่องสว่างไปทั่ว แต่ซูเหลียนหรูกลับเอาแต่ชี้นิ้วไปเรื่อยเปื่อย แล้วบอกว่าตนเห็นิญญาตามมาหลอกหลอนและจะเอาชีวิตนาง คล้ายกำลังตกอยู่ในฝันร้ายเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเข้าไปในตำหนัก จู่ๆ จวินเชียนจี้ก็ชะงักฝีเท้าลง เขาหันไปมองอีกด้านด้วยสายตาราบเรียบ แสงสีนวลจากตะเกียงแก้วทรงหกเหลี่ยมส่องลงที่เฉลียงริมตำหนัก ตรงนั้นมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ดอกไม้เพียงไม่กี่ดอกในนั้นบานสะพรั่งงดงาม ไม่นาน จวินเชียนจี้ก็เดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
จวินเชียนจี้ทำพิธีขับไล่ิญญาในตำหนักขององค์หญิงเจ็ดตามที่พระสนมเต๋อ้า แม้ยันต์ที่แปะอยู่บนประตูจะไม่มีผลทางรูปธรรม แต่มันช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้คนได้เป็อย่างดี การที่พระสนมอวี๋รอดพ้นจากิญญาร้ายแถมยังมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็ตัวอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ซูเหลียนหรูกลับไม่รับน้ำใจ นางเบิกตากว้าง พลางจ้องไปที่จวินเชียนจี้แล้วร้องะโราวกับคนบ้า “นี่ต้องเป็ฝีมือของเฟิ่งสือจิ่นแน่ๆ ั้แ่นางกลับมา ข้าก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกเลย! เ้าเองก็ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งเป็คนดีต่อหน้าข้า!”
จวินเชียนจี้ไม่ได้โกรธอะไร เขาวางยาสามเม็ดที่ช่วยให้จิตใจสงบทั้งยังช่วยถอนพิษในร่างกายลงบนโต๊ะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบ “องค์หญิงเจ็ดมีมารในใจ หากดื้อรั้นที่จะคิดเช่นนี้ต่อไป กระหม่อมก็จนปัญญา เฟิ่งสือจิ่นเป็ศิษย์เอกของกระหม่อม ต่อไป กระหม่อมจะควบคุมพฤติกรรมและการกระทำของนางอย่างเคร่งครัด แต่ถึงกระนั้น กระหม่อมก็ยอมให้นางถูกใส่ความอย่างไม่ยุติธรรมไม่ได้เด็ดขาด” เขาหันไปบอกกับพระสนมเต๋อที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนคล้ายอยากจะพูดอะไร “กระหม่อมขอทูลลา คืนนี้ ให้องค์หญิงเสวยยาบนโต๊ะครั้งละเม็ดสามครั้ง พรุ่งนี้เช้าอาการจะดีขึ้นเอง”
“ท่านราชครู ช้าก่อน...”
จวินเชียนจี้ไม่แม้แต่จะหันกลับไป เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูตำหนัก เขาหันไปมองกระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่ริมเฉลียงแวบหนึ่ง พลางสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยเข้ามาพร้อมกับลมราตรีไปด้วย ไม่นาน เขาก็เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งออกไปอย่างแเี
พระสนมเต๋อมองซูเหลียนหรูอย่างจนปัญญาระคนลังเล นางถอนหายใจออกมาเบาๆ “นี่มันเวรกรรมอันใดกันหนอ นอกจากราชครูก็ไม่มีผู้ใดรักษาเ้าได้อีกแล้ว”
ซูเหลียนหรูะเิโทสะและเริ่มอาละวาดบนเตียง พระสนมเต๋อไม่มีวิธีอื่น นอกจากสั่งให้คนเข้ามาล็อกตัวและป้อนยาเม็ดที่หนึ่งเข้าไปในปากของนาง เมื่อซูเหลียนหรูเริ่มสงบลงแล้ว พระสนมเต๋อจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากตำหนัก
เมื่อจวินเชียนจี้กลับมาถึงก็ดึกมากแล้ว เฟิ่งสือจิ่นกำลังรอให้เขากลับมาอย่างใจจดใจจ่อ นางยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าถนนที่แสนเงียบเหงามีร่างสูงโปร่งโผล่ขึ้นลิบๆ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปต้อนรับจวินเชียนจี้อย่างตื่นเต้น “อาจารย์ หลังเลิกเรียน ข้าก็ได้ยินว่าท่านถูกเรียกเข้าไปขับไล่ิญญาให้องค์หญิงเจ็ดในวัง เป็อย่างไรบ้าง องค์หญิงเจ็ดดีขึ้นหรือยัง?”
จวินเชียนจี้ยังคงก้าวเดินต่อไป เขาปรายตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านหน้านางไปอย่างไม่ไยดี โคมไฟที่ห้อยอยู่ไม่ไกลส่องแสงอ่อนๆ ลงบนโครงหน้าของคนทั้งสอง จวินเชียนจี้มีสีหน้านิ่งเรียบ ยากจะคาดเดาความรู้สึก เมื่อเดินเข้าไปในจวนราชครูเขาจึงหยุดลงในสวนที่ไร้ผู้คน แล้วหันกลับมามองเฟิ่งสือจิ่นที่เดินตามมาติดๆ “เ้ากลัวว่าจะถูกจับได้ใช่หรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะแห้งๆ “ศิษย์กลัวอะไรที่ไหนเล่า?”
จวินเชียนจี้ชูมือขึ้น ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำลังจับดอกหลิงเซียวสีแดงสดเอาไว้ เมื่อได้เห็นสิ่งนั้นชัดๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นก็ค่อยๆ จางลง จนท้ายที่สุดนางก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“เ้ามอบเมล็ดพันธุ์ของดอกหลิงเซียวให้ใคร?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบตามความจริง “พระสนมอวี๋”
“เป็อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ” จวินเชียนจี้พูดด้วยเสียงราบเรียบ “นี่เป็ความผิดที่ร้ายแรงจนต้องถูกปะา หากเื่นี้แดงขึ้นมา ผลที่ตามมาจะรุนแรงจนไม่อาจประเมินได้ ตอนที่เ้าลงมือทำเื่เหล่านี้ เคยคิดแทนพวกเขาบ้างหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ตอนที่ช่วยพวกเขา ศิษย์ก็ยอมเสี่ยงต่อการถูกปะาเหมือนกัน ตอนนั้น ข้าไม่้าให้พวกเขาคิดแทนข้า เพราะทั้งหมดที่ทำลงไป ล้วนเป็ความสมัครใจของข้าทั้งนั้น ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ข้าไม่ได้บังคับพวกเขาเสียหน่อย พวกเขาสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ หากเื่นี้จบสิ้นลง ข้ากับพวกเขาก็ไม่ติดค้างกันอีก”
“แล้วถ้าถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ ในวังไม่มีเมล็ดพันธุ์ของดอกหลิงเซียว แต่จวนราชครูมี” จวินเชียนจี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ภายใต้แสงจันทร์ เสียงของเขาเย็นเฉียบจนน่าใ
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น นางฉีกยิ้มกว้าง “แต่ข้ารู้ว่าอาจารย์ต้องไปที่นั่นแน่ เมื่ออาจารย์ไปถึง ท่านต้องสังเกตเห็นมัน และช่วยทำลายดอกหลิงเซียวดอกนั้นอย่างแน่นอน กลิ่นหอมของดอกหลิงเซียวมีฤทธิ์แค่กล่อมประสาท และขยายความหวาดกลัวในใจของพวกเขาเท่านั้น คงไม่มีใครไปสงสัยดอกไม้ในกระถางหรอก ข้าพูดถูกหรือไม่ อาจารย์?”
“เพราะฉะนั้น เ้าวางแผนโดยใช้ข้าเป็เครื่องมือสินะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นจางลงเรื่อยๆ จู่ๆ นางก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา นางพยายามทุเลาบรรยากาศที่กดดันจนแทบจะหายใจไม่ออกนี้โดยการส่ายหน้าแรงๆ “เปล่า ข้าแค่อยากให้อาจารย์ช่วยเก็บกวาดให้นิดหน่อยเท่านั้น”
“เก็บกวาดงั้นหรือ? เ้ากระทำการวู่วามโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเช่นนี้ หากเื่แดงขึ้นมา เ้าคิดว่าข้าจะช่วยเก็บกวาดต่ออย่างไร? เ้าอยากให้คนนับร้อยในจวนราชครูเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อเก็บกวาดเื่นี้ร่วมกับเ้าใช่หรือไม่?” เขายืนอย่างสงบ กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายยังคงเย็นะเืเฉกเช่นทุกวัน แต่วินาทีนี้ จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูกดำ ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นในค่ำคืนของปลายฤดูใบไม้ผลิ และต้นฤดูร้อนเช่นนี้เลย “มีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง ครั้งแรก เ้าทำหูทวนลมกับคำพูดของข้า ครั้งนี้ เ้าก็ทำทุกอย่างโดยไม่คิดปรึกษาข้าสักคำ เ้าเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?”
จวินเชียนจี้โกรธแล้วจริงๆ เฟิ่งสือจิ่นหวาดกลัวจนแทบจะหายใจไม่ออก ร่างบางสั่นเทา และเอนถอยกลับไปด้านหลังเล็กน้อย
จวินเชียนจี้เคยโมโหใส่นางแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น นอกจากครั้งก่อน นี่เป็ครั้งที่สองที่เขาโกรธขนาดนี้ ่เวลาหกปีที่อยู่บนเขาจื่อหยาง ไม่ว่านางจะยิงนกตกปลา ะเิห้องหลอมสมุนไพร เผาหลังคา หรือก่อกวนแค่ไหน จวินเชียนจี้ก็ไม่เคยโกรธขนาดนี้สักครั้ง
เฟิ่งสือจิ่นรู้ดีว่าเมืองหลวงไม่เหมือนที่เขาจื่อหยาง
“อีกนานแค่ไหน เ้าถึงจะเรียนรู้โลกใบนี้ใหม่ และเผชิญหน้ากับมันได้อย่างแท้จริงเสียที?” เฟิ่งสือจิ่นคิดว่าขณะที่จวินเชียนจี้พูดประโยคนี้ออกมา เขาต้องผิดหวังในตัวนางมากแน่ๆ เขาบอก “ข้าควรส่งเ้ากลับไปที่เขาจื่อหยาง และไม่ให้เ้ากลับมาที่นี่อีกเลยใช่หรือไม่?”
เขาเสียใจที่พานางกลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้งสินะ?
เฟิ่งสือจิ่นยังคงนิ่งเงียบ จวินเชียนจี้เห็นดังนั้นจึงเตรียมจะหมุนตัวแล้วเดินจากไป “ลองไตร่ตรองเองเถิด”
ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกไปจากสวน จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็พูดขึ้น เสียงของนางทั้งแหบพร่า แถมยังเต็มไปด้วยความสลดหดหู่ ทว่าท่าทีของนางยังคงสงบและราบเรียบ “อาจารย์หมายความว่า ท่านเสียใจที่พาข้าลงมาจากเขาหรือ?”
จวินเชียนจี้ชะงักฝีเท้าลง
“สิ่งเดียวที่ศิษย์คิดอยู่เสมอ คือต้องเชื่อในสิ่งที่อาจารย์บอก เพราะมีแค่อาจารย์เท่านั้นที่ข้าจะพึ่งพิงได้ อาจารย์เคยบอกว่า ต่อให้ข้าจะพึ่งพาท่านทุกเื่ ก็ไม่ใช่เื่ผิดอะไร แต่ดูจากเื่ในตอนนี้ ศิษย์คงจะคิดผิด ความจริงแล้ว อาจารย์แค่กลัวว่าคนนับร้อยในจวนราชครูจะเดือดร้อนเพราะข้าเท่านั้น” เฟิ่งสือจิ่นก้าวถอยหลัง นางส่ายหน้า “ไม่ว่าข้าจะใช้เวลาไตร่ตรองนานแค่ไหน หรือพยายามมากเพียงใด สุดท้ายเฟิ่งสือจิ่นก็ยังเป็เฟิ่งสือจิ่นคนเดิม เป็เฟิ่งสือจิ่นที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง และเร่ร่อนไปทั่วด้วยร่างกายที่เจ็บช้ำเมื่อหกปีก่อน เป็เฟิ่งสือจิ่นที่ไม่มีแม้แต่ที่ให้หลบฝน โลกของนางเอนเอียงมาั้แ่แรกแล้ว ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายก็ยังต้องเอนเอียงหัวใจ เอนเอียงร่างกายให้บิดเบือนไปจากเดิม แบบนั้น โลกของนางจึงจะกลับมาตรงอีกครั้ง! ไม่ว่าจะหกปี หรือหกสิบปี สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่วันเปลี่ยนแปลง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้