ตอนที่หลิ่วเฉิงเฟิงพาทุกคนกลับมาถึงชิงหลิ่วถังก็พลบค่ำแล้ว ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกตะลึง เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ พอเห็นเช่นนั้นหลิ่วกังพ่อบ้านของชิงหลิ่วถังก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา
“คุณชายรอง ท่านไม่ได้รับาเ็ใช่ไหมขอรับ” หลิ่วกังมองไปยังหลิ่วเฉิงเฟิงด้วยความกังวล พินิจพิจารณาราวกับกลัวว่าเขาจะได้รับาเ็สาหัส
หลิ่วเฉิงเฟิงโบกมือแล้วพูดว่า “ข้าไม่เป็อะไร”
เขาหันไปหาผู้ติดตามด้านหลังแล้วสั่งว่า “พวกเ้าไปรักษาอาการาเ็ก่อนเถิด”
เหล่าจอมยุทธ์ฟังคำสั่งแล้วล่าถอยไป
หลิ่วกังถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็ไรก็ดีแล้วขอรับ ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว... คุณชายใหญ่ได้รับาเ็กลับมา หากคุณชายรองาเ็อีกคน ข้าน้อยก็ไม่รู้จะอธิบายกับท่านผู้นำเช่นไรเมื่อท่านกลับมา”
หลิ่วเฉิงเฟิงชะงักไปชั่วขณะแล้วรีบซักถามโดยไม่ได้สนใจสภาพสะบักสะบอมของตนเอง “หลิ่วไป๋เจ๋อกลับมาแล้วหรือ ั้แ่เมื่อไร”
หลิ่วกังถอนหายใจ “ก่อนคุณชายจะกลับมาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น สภาพคุณชายใหญ่ไม่สู้ดีนัก ใบหน้าซีดเซียวจนน่ากลัว ข้าจะตามหมอมาให้ แต่คุณชายใหญ่... อ้าว คุณชายรอง ช้าลงหน่อยขอรับ…”
หลิ่วเฉิงเฟิงวิ่งไปยังสวนหลังเรือน เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของหลิ่วไป๋เจ๋อก็ทุบเรียกอย่างแรง
“หลิ่วไป๋เจ๋อ เปิดประตูให้ข้าด้วย หลิ่วไป๋เจ๋อ บอกข้ามาให้ชัดเจนว่าท่านออกไปทำอะไรข้างนอก เปิดประตู…”
เสียงของหลิ่วเฉิงเฟิงดังจนคนทั้งชิงหลิ่วถังได้ยินชัดเจน ทั้งเหล่าจอมยุทธ์ ผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่คนรับใช้ในบ้าน เมื่อได้ยินเสียงนี้ต่างก็ปวดขมับไปตามๆ กัน คุณชายรองเริ่มอีกแล้ว คุณชายใหญ่ของพวกเขาจะต้องปวดหัวอีกแน่
เสียงประตูเปิดออก หลิ่วไป๋เจ๋อหมุนกายหลีกทางให้
“เข้ามาคุยกัน”
ทันทีที่ก้าวเข้าไป หลิ่วเฉิงเฟิงก็ตั้งใจจะอ้าปากพูด แต่ถูกหลิ่วไป๋เจ๋อหยุดเอาไว้
“ปิดประตูก่อน!”
“เ้า!”
หลิ่วเฉิงเฟิงโกรธจัด กระแทกประตูปิดดัง ปัง! หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แล้วชงชาด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ดูไม่เหมือนคนที่ได้รับาเ็แต่อย่างใด
หลิ่วเฉิงเฟิงพึมพำอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านเฒ่าผู้นั้นอายุมากจนตาฝ้าฟางแล้วหรือ คนตรงหน้าไม่เหมือนได้รับาเ็เลยสักนิด เขาเงยหน้ามองหลิ่วไป๋เจ๋อ ก่อนจะก้มมองตนเอง อย่างน้อยสภาพภายนอกก็ดูดีกว่าตัวเขาเสียอีก
ขณะกำลังจะนั่งลง หลิ่วเฉิงเฟิงก็ถูกหลิ่วไป๋เจ๋อดึงขึ้นพร้อมขมวดคิ้วใส่
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาใหม่ สกปรก!”
รู้กันดีว่าหลิ่วไป๋เจ๋อรักสะอาด ไม่ชอบให้ฝุ่นแม้สักนิดเกาะติดตัว หลิ่วเฉิงเฟิงพลันทำตัวไม่ถูกขึ้นมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ใต้หน้าผาอันมืดมิดก่อนหน้าก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
เขาชี้หลิ่วไป๋เจ๋อและเอ่ยว่า “ท่านรออยู่นี่ อย่าไปไหน อีกเดี๋ยวกลับมาข้ามีเื่มากมายจะถามท่าน”
เมื่อเห็นหลิ่วเฉิงเฟิงรีบวิ่งออกไปราวกับสายลมพริ้ว หลิ่วไป๋เจ๋อก็ส่ายหัว เขาหยิบขวดลายครามออกมาจากแขนเสื้อ เทยาหนึ่งเม็ดแล้วยัดเข้าไปในปาก เดินไปนั่งขัดสมาธิที่เตียงและปรับจังหวะหายใจ ผ่านไปไม่นานสีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย เขาจึงรู้สึกโล่งใจ
ไม่ถึงสองเค่อ หลิ่วเฉิงเฟิงก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งยังคงเป็สีฟ้าเช่นเดิม ตัวเขาชื่นชอบสีฟ้าเป็อย่างมาก เช่นเดียวกับหลิ่วไป๋เจ๋อที่มักจะสวมเสื้อผ้าสีขาวเสมอ
ผมสีดำเงาของอีกฝ่ายยังมีน้ำหยดลงมาเป็ครั้งคราว หลิ่วไป๋เจ๋อเดินไปข้างหน้าพร้อมกับผ้าผืนหนึ่ง เช็ดหยดน้ำออกจากเส้นผมของเขา
หลิ่วเฉิงเฟิงก้มศีรษะลง ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดงเล็กน้อย
“เ้า เ้าหายไปไหนมา”
“ูเาอูอิน”
“ูเาอูอิน? นั่นไม่ใช่ที่ตั้งสำนักมิ่งเก๋อหรอกหรือ”
หลิ่วเฉิงเฟิงเงยหน้ามองพี่ชาย ในใจสั่นสะท้านขึ้นมา หลิ่วไป๋เจ๋อสูงกว่าเขาเกินครึ่งศีรษะ อีกฝ่ายก้มหน้าเช็ดผมให้เขาด้วยแววตาจริงจัง
ผ่านไปนานเพียงใดแล้วนะที่พี่ชายดูแลเขาด้วยความใส่ใจเช่นนี้ รวมทั้งผ่านไปนานเพียงใดที่ช่องว่างระหว่างพวกเขายิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลิ่วไป๋เจ๋อก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หรืออาจเป็เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ในใจของเขารู้สึกว้าวุ่นมากกว่าเดิม เขาอยากให้หลิ่วไป๋เจ๋อต่อสู้แย่งชิงกับเขา แม้แต่ดุด่า ทุบตี และสอนบทเรียนต่างๆ ให้ ซึ่งเขายอมรับได้ เพียงแต่พี่ชายผู้นี้ตามใจเขามากเกินไป ถ่อมตัวเกินไป และในสายตาของเขาคนคนนี้สมบูรณ์แบบมากเกินไป ความรู้สึกที่ดูไม่เหมือนจริงนั้นทำให้เขาทั้งกังวลทั้งกลัวั้แ่ยังเป็เด็ก กลัวว่าวันหนึ่งพี่ชายจะหายวับไปจนหาตัวไม่เจอ...
“ข้าไม่ได้พบท่านพ่อ” หลิ่วไป๋เจ๋อวางผ้าที่เปียกโชกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
หลิ่วเฉิงเฟิงจับเส้นผมที่แห้งแล้วของตน นั่งลงฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อจะกลับมาเมื่อใด”
“่นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในเมือง ท่านพ่อไม่อยู่ เ้าก็ไม่อยู่ ข้า...ข้ารู้สึกไร้อำนาจ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อจะกลับมาเมื่อใด แต่เ้าทำได้ดีมาก!” คำพูดของหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ใช่คำหลอกลวง เฉิงเฟิงเป็ผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
“จริงหรือ แต่…”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิ่วไป๋เจ๋อ หลิ่วเฉิงเฟิงก็ไม่เคยมั่นใจในตนเอง หากเปรียบเทียบกับคนเบื้องหน้า เขามักจะรู้สึกว่าตนเองยังไม่ดีพอ หลิ่วไป๋เจ๋อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าน้องชายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงลอบถอนหายใจ เฉิงเฟิงรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่ามาก แต่มักแสดงความแข็งแกร่งออกมาเสมอ เขาเป็คนมีความรับผิดชอบมากจริงๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ หลิ่วไป๋เจ๋อก็รู้สึกว่าจำเป็ต้องให้น้องชายเข้ามาดูแลชิงหลิ่วถังต่อโดยเร็วที่สุด แม้จะกระทันหัน ทว่าเวลาก็บีบคั้นให้ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้อีก
“ตอนที่กลับมา ข้าได้ยินเื่ราวภายในเมืองคร่าวๆ จากผู้อารักขาภายในแล้ว เพราะเกิดเหตุใกล้ชิงหลิ่วถัง พวกเราจึงต้องรับผิดชอบดูแล”
หลิ่วเฉิงเฟิงเล่าเื่ราวตอนพบกับฝูงงูที่หน้าผาอันมืดมิด เขาเงยหน้ามองหลิ่วไป๋เจ๋อเงียบๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเฉยชาและมีสีหน้าปกติ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบผิดหวัง
หลังจากฟังจบ หลิ่วไป๋เจ๋อจึงพูดว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน หลังจากนี้จะรับมืออย่างไร เ้าคิดไว้หรือยัง”
หลิ่วเฉิงเฟิงชะงัก มองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ
“เ้ากำลังถามข้าอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ที่นี่ยังมีใครอีกอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วเฉิงเฟิงลอบดีใจและรีบตอบ “ตอนนี้เหล่าคนที่หายตัวไปได้รับการยืนยันแล้วว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ข้าตั้งใจจะส่งคนไปปลอบโยนครอบครัวของพวกเขา และให้คนไปติดประกาศตามหาในเมืองเพื่อช่วยส่งข่าว ระยะนี้ให้ชาวเมืองระมัดระวังในการออกไปข้างนอก หากไม่มีกิจธุระอะไร ทางที่ดีอย่าเข้าใกลู้เาชุ่ยอวิ๋นจะดีกว่า ด้วยวิธีนี้ อาจป้องกันไม่ให้ผู้คนหายไปอย่างไรร่องรอยได้อีก นอกจากนี้ ข้า้าส่งคนไปคอยเฝ้ารักษาการณ์รอบนอกูเาชุ่ยอวิ๋นและบริเวณหน้าผาอันมืดมิดด้วย แบบนี้คงรับประกันความปลอดภัยของผู้คนในเมืองได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าเงียบๆ มาตรการของเฉิงเฟิงละเอียดถี่ถ้วนมาก แต่เขามองข้ามไปจุดหนึ่ง
“การจัดการกับภัยในครั้งนี้ต้องจัดการที่ต้นเหตุ การป้องกันเช่นนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว เพราะอีกฝ่ายหลบอยู่ในความมืด เกาทัณฑ์ในที่ลับ ยากจะป้องกัน[1] เ้าไม่เข้าใจความจริงในข้อนี้ใช่หรือไม่”
หลิ่วเฉิงเฟิงพยักหน้า เขามองข้ามประเด็นนี้ไปจริงๆ
“ยังมัวทำอะไรอยู่ที่นี่อีกล่ะ”
“หือ?”
เขาไม่รู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อหมายถึงสิ่งใด แต่หลังจากครุ่นคิดอีกครั้งก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ความรู้สึกมีความสุขก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนหลิ่วเฉิงเฟิงจะหมุนตัวออกจากห้องไป
“ข้าจะไปจัดการทันที!”
ขณะกำลังจะเปิดประตูออกไปก็หันกลับมาเอ่ยถามอีกว่า
“เ้า เ้าเป่าขลุ่ยดินใช่หรือไม่”
มือที่ถือถ้วยชาของหลิ่วไป๋เจ๋อชะงักกึก
“ไม่ได้เป่า!”
เฉิงเฟิงยังรู้สึกสงสัย “จริงหรือ เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินเ้าเป่า! อูิโยวก็เคยได้ยินว่าเ้าบรรเลงมัน”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ข้าไม่ได้แตะมันมานานแล้ว!”
“อ๋อ!”
หลิ่วเฉิงเฟิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป
หลังน้องชายกลับไป หลิ่วไป๋เจ๋อก็เดินเข้าห้องส่วนใน ขลุ่ยดินเผาทรงไข่สีม่วงวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเช่นเคย ทว่าหากสังเกตดีๆ จะพบคราบเืบนขลุ่ยตัวนั้น...
กลิ่นคาวเืปะปนอยู่ในสายลม คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นเงียบๆ บริเวณสถานที่ที่เพิ่งเกิดการนองเื เสื้อคลุมสีดำบนร่างทำให้ดูลึกลับ เขาเผชิญหน้ากับซากศพโดยไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด หลังจากนั้นไม่นานก็ออกจากจุดเดิมและเดินลึกเข้าไปในหน้าผาอันมืดมิด
คนคนนั้นมุ่งไปอย่างรวดเร็ว เขาคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็อย่างดี ในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าถ้ำซึ่งซ่อนอยู่ในที่ลับ
ถ้ำแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกิ่งเถาวัลย์หนาทึบ หากไม่สังเกตดีๆ ก็ยากต่อการพบเห็น
“ใคร” จู่ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านใน คนที่อยู่นอกถ้ำไม่โต้ตอบอะไร เพียงยืนรอคนผู้นั้นออกมา
ราวกับว่าคาดเดาตัวตนของบุคคลที่อยู่ด้านนอกได้ เขาผลักกิ่งเถาวัลย์ให้พ้นทางแล้วเดินออกมา
ชายผู้อยู่ในถ้ำมีรูปร่างผอมเพรียวราวกับท่อนฟืน สวมใส่เสื้อคลุมสีเข้ม และดูเหมือนว่าเขาจะได้รับาเ็สาหัส เมื่อเห็นผู้มาเยือน คนผู้นั้นก็รีบก้าวไปเบื้องหน้าสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งเสียงดังลั่น
“ิหนูไม่รู้ว่าเป็นายท่าน ข้าน้อยน้อมรับความผิด!”
ผู้เป็เ้านายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เอ่ยอะไร นิ้วมือเรียวยาวราวกับหยกขาวยื่นออกมาจากเสื้อคลุมสีดำ ในมือถือแส้ยาวเอาไว้ เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ ก็ทำให้แส้อันแข็งแกร่งฟาดไปยังชายผู้นั้นอย่างแรง เขากลั้นเสียงเอาไว้ แม้ว่าจะเจ็บแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา
่เวลาที่เหวี่ยงแส้กลับ รัศมีแสงสีม่วงจางๆ บนแส้ก็ทำให้เขาคนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกาย
“ขอบพระคุณนายท่าน!”
ในเวลานั้นเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังมาจากใต้เสื้อคลุมสีดำ
“เ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงได้ตีเ้าด้วยแส้นี้”
ิหนูก้มศีรษะลง อดทนต่อความเ็ปแล้วกัดฟันนิ่งเงียบ
“เ้าเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควร”
ิหนูทรุดเข่าทั้งสองข้างลงจนเกิดเสียงดังกรอบ ร่างกายสั่นสะท้าน
“นายท่าน ข้าน้อยรู้แล้วขอรับว่าตนเองผิด!”
หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ก่อนจะเหวี่ยงแส้ในมืออีกครั้ง ทว่าคราวนี้แส้ฟาดออกไปไม่ไกลจากคนผู้นั้นนัก ก่อนที่เสือดำซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดจะส่งเสียงร้องคร่ำครวญแล้วสิ้นใจตาย
เมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักถูกเฆี่ยนตีจนตาย แววตาของิหนูก็ฉายประกายโหดร้ายขึ้นมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีตรงหน้า เขากลับเกิดความหวาดกลัวอย่างมากมายในใจ
“ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”
“ิ ิหนูไม่รู้ว่านายท่าน้าสิ่งใด”
ผู้หญิงคนนั้นยกแส้ยาวขึ้น ก่อนจะฟาดลงไปอีกครั้ง
“หากเ้าไม่เข้าใจ ข้าจะทวนความจำเ้าให้ ใครกันที่สอนวิธีดูดซับิญญาให้กับเ้า”
“ิหนูไม่รู้…โอ๊ยยย!”
เพี๊ยะ! แส้สีม่วงถูกเหวี่ยงอีกครั้ง ทำให้มันเปื้อนไปด้วยรอยเื
“ยังไม่พูดความจริงอีกหรือ!”
ิหนูนอนอยู่บนพื้น พลังชีวิตครึ่งหนึ่งได้สูญสลายไปแล้ว แต่เขาก็ยังกัดฟันสู้
“ิหนูไม่รู้ว่าตนเองมีความผิดอะไร เผ่าเก้าหางเดิมทีก็อาศัยการดูดซับพลังจิติญญาเพื่อพัฒนาการฝึกฝนของตนเองอยู่แล้ว วิธีการดูดซับิญญานี้ิหนูได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านผู้นำเผ่าก่อนจะเดินทางมาดินแดนเจ๋อ”
หญิงสาวผู้สวมเสื้อคลุมสีดำกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธว่า
“ผู้นำเผ่าอย่างนั้นหรือ ฮึ! เ้าอาศัยการสนับสนุนของท่านผู้นำแล้วทำสิ่งที่ไร้ศีลธรรมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ในเมื่อท่านผู้นำสอนวิธีดูดซับิญญาให้แก่เ้า ข้าก็จะไม่ถามถึงมันอีก แต่อย่างไรเ้าก็มีความผิด ไม่ควรลงมือกับผู้คนแดนเจ๋อง่ายๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะคนจากเมืองเฟิ่งเทียน”
ในที่สุดิหนูก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นาย
“นายท่านโปรดใจเย็น ิหนูคิดไม่รอบคอบเองขอรับ”
—----------------------------
[1] เกาทัณฑ์ในที่ลับ ยากจะป้องกัน หมายถึง ภัยในที่มืด ยากที่จะป้องกันเพราะมองไม่เห็น
