ไม่นับเทพาโยวเยี่ยนลู่เฉาเกอแล้ว ั์ใหญ่ทั้งหกของด่านโยวเยี่ยนคือแม่ทัพใหญ่ทัพหน้าหลังซ้ายขวา หัวหน้าฝ่ายพลาธิการ รวมทั้งหัวหน้าหอบัญชาการ ยอดพลทหารทั้งหกของกองทัพโยวเยี่ยนนี้ เป็ยอดสุดของภูผาแห่งสิทธิและอำนาจ
และในบรรดาทั้งหกนี้ หลิวสุยเฟิงคือคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามมากที่สุด
หากมองเพียงรูปลักษณ์เป็ชายร่างอ้วนผิวขาวสะอาดท่าทางอ่อนโยนคนนี้ คงยากจะปักใจเชื่อว่าเขาคือผู้บัญชาการทัพหน้าที่สังหารเผ่าปีศาจเกือบล้านชีวิต ถูกขนานนามว่านักฆ่าแห่งอาณาจักรเสวี่ย นามหลิวสุยเฟิงหากถูกเอ่ยขึ้นในราชสำนักปีศาจ อยู่ระดับเดียวกันกับมัจจุราช าามาร ปีศาจร้าย ทำให้เผ่าปีศาจต้องหน้าถอดสี
ทัพหน้าของสี่ทัพนั้น ทำการเผ็ดร้อน กฎระเบียบเคร่งครัด ฮึกเหิมไม่ทดท้อ เสียงข่าวว่าเป็ผลมาจากหลิวสุยเฟิง
หลายสิบวันก่อนหน้านี้ ตอนพิธีแต่งตั้งฐานันดรโหว เ่ิูได้เห็นหลิวสุยเฟิงเป็ครั้งแรก เขาไม่อาจห้ามความตกตะลึงได้ ยากจะเชื่อถือว่าบุรุษร่างท้วมผิวขาวสะอาดผู้นี้จะเป็คนเดียวกันกับแม่ทัพใหญ่ทัพหน้าผู้ลงมือสังหารอย่างดุร้ายและโเี้คนนั้นได้
ทั้งสองสื่อสารกันสั้นๆ ง่ายๆ ในพิธีแต่งตั้งนั้น ทำให้ล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน
ครั้นเห็นหลิวสุยเฟิงเดินเข้ามา เวินหว่านกับหลิวจงหยวนก็ยืนทำความเคารพเช่นทหาร
หลิวสุยเฟิงพยักหน้าอย่างใจดี เขาสั่งให้คนไม่ต้องพิธีรีตองแล้วจึงระบายยิ้มบนใบหน้า “วันนี้ข้ามาตามนัดที่หอนี้ พอดีได้ยินว่าเสี่ยวโหวเหย่ก็มาด้วย ดังนั้นจึงเดินมาดูเสียหน่อย”
เ่ิูไม่กล้าเอื้อนเอ่ย
ตัวเขาแม้จะได้รับแต่งตั้งเป็โหว แต่พอเทียบกับกำลังหลักของกองทัพเฉกเช่นหลิวสุยเฟิงผู้นี้แล้ว ไม่ว่าจะฐานันดรหรือผลงานวรยุทธ์ล้วนห่างกันเกินไป
ยังไม่นับเื่คำวิพากษ์วิจารณ์ทุกด้านเกี่ยวกับผู้บัญชาการทัพหน้าผู้นี้ นอกจากจะคร่าชีวิตปีศาจในสมรภูมิอย่างโเี้แล้ว ยังมีด้านของผลงานเพื่อกองทัพอย่างแท้จริง เ่ิูไม่กล้ายึดตนเองเป็ศูนย์กลาง
ความจริงแล้ว ตอนที่เ่ิูยังอยู่สำนักกวางขาว เขาก็เคยอ่านระเบียนหนังสือเื่แม่ทัพผู้นำกองทัพของอาณาจักรในยุคปัจจุบันมาบ้าง ภายในนั้นมีประวัติของหลิวสุยเฟิงอยู่ด้วย ประโยคสั้นๆ ในวันนั้นแต่เ่ิูยังจดจำขึ้นใจมาจนถึงวันนี้ “ปราการโยวเยี่ยนพิทักษ์ประตูสู่ทิศอุดร ห้าสิบส่วนคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ลู่เฉาเกอ สามสิบส่วนคือทัพหน้าหลิวสุยเฟิง อีกยี่สิบส่วนที่เหลือเป็ความตรากตรำของผู้อื่นในด่านโยวเยี่ยน...”
บัดนี้เห็นได้ว่า หลิวสุยเฟิงมีความหมายสำคัญต่อเขตชายแดนเหนือของอาณาจักรและกองทัพโยวเยี่ยนถึงเพียงไหน
เมื่อเห็นเื่ราวชีวิตอันเรียบง่ายของหลิวสุยเฟิงแล้ว เ่ิูยิ่งหวังจะไปให้ถึงเช่นเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธ
เขายกหลิวสุยเฟิงเป็แบบอย่างที่ยกย่องและบูชา บัดนี้เมื่อได้มาเจอตัวจริง แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนแบบอย่างของเขาถูกหักหลังด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ว่าเ่ิูรู้ดีว่า ไม่อาจมองคนที่ภายนอก ชายผู้ภายนอกสุดแสนจืดชืด แต่กลับมีชื่อเสียงและเกียรติยศเหนือชั้น ย่อมต้องมีจุดที่เหนือคนสามัญทั่วไป
“พิธีแต่งตั้งฐานันดรโหวในวันนั้น ดำเนินการเร่งรีบไปบ้าง ยังไม่ได้พูดหมดทุกอย่าง” หลิวสุยเฟิงยิ้มพลางเล่นลูกเหล็กสีเงินในมือ เขาหมุนวนมันอย่างมีชีวิตชีวา มีกลิ่นอายประหลาดดั่งตะวันและจันทราโคจรอยู่ “วันนั้นเสี่ยวโหวเหย่เคยพูดไว้ ว่าจะมารับหน้าที่ในค่ายทัพหน้าของข้า ไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ ตัดสินใจดีแล้วหรือยัง?”
เป็การถามแผ้วทางอย่างดี
ในถ้อยคำนั้น มีรสชาติแห่งการอดรนทนรอไม่ไหวอีกด้วย
หลิวจงหยวนและเวินหว่านลอบสบตากัน เห็นความประหลาดใจในดวงตาอีกฝ่าย
ผู้บัญชาการหลิวเป็คนเลื่องชื่อในความหัวสูง มีความคาดหวังต่อพลทหารและแม่ทัพในค่ายทัพหน้าอย่างเคร่งครัด เคยมีตระกูลชนชั้นสูงทรงอำนาจอยากจะจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อฝากฝังเข้าทัพหน้า แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย หลายปีมานี้ มีแต่คนขอร้องเขา ไม่มีใครเคยถูกเขาเชื้อเชิญให้เข้าทัพหน้าด้วยตนเองเช่นนี้มาก่อน
แม้ว่าเื่ของน้องเย่ที่ถูกประกาศสรรเสริญในกองทัพมาหลายวัน กลายเป็แนวโน้มของแบบอย่างแห่งพลทหาร แต่ด้วยนิสัยของแม่ทัพใหญ่หลิว ไม่ควรจะสนใจเื่จัดฉากขึ้นเช่นนี้ ตลอดมาคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะฟ้าประทานหรือผู้มีพร์อย่างแท้จริงนั้น ล้วนถูกแม่ทัพใหญ่หลิวหัวเราะขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยันจนหมดทุกคน...
ทำไมวันนี้ ถึงได้ชื่นชอบเ่ิูนักนะ?
เ่ิูยินคำแล้วก็รีบบอก “แม่ทัพใหญ่โปรดปราน ข้าไม่กล้ารับ ชิงหยูตัดสินใจดีแล้ว ปรารถนาจะเข้าทัพหน้า ฟังคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ”
หลิวสุยเฟิงหัวเราะร่า “เยี่ยม เสี่ยวโหวเหย่เลือกทางอันชาญฉลาดแล้ว คราวนี้ข้าจะได้วางใจเื่นี้เสียที” เอ่ยพลางตบบ่าเ่ิูเบาๆ พลาง “ข้าบัญชาการทหารมาหลายสิบปี รู้จักคนมานับไม่ถ้วน คนที่ถูกเรียกว่าฟ้าประทานนั้นข้าพบเจอไม่ไม่น้อย แต่คนที่ทำให้ข้านิยมชมชอบได้ อยากรับมาชุบเลี้ยงเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง มีเพียงเสี่ยวโหวเหย่ท่านคนแรก”
พอเขาพูดเช่นนั้น เ่ิูนอกเหนือจากความคาดไม่ถึงแล้วยังรีบแย้ง “แม่ทัพใหญ่ชมข้าเกินความจริงแล้วขอรับ”
เวินหว่านและหลิวจงหยวนด้านข้างกลับไม่รู้สึกใอะไรมากมาย
หลิวสุยเฟิงเป็คนที่พูดคำไหนคำนั้น วาจาตามสัตย์จริงมาโดยตลอด จะเอ่ยปากหรือกระทำการอันใดล้วนไม่เคยอ้อมค้อม และน้อยนักที่จะเก็บเื่ทัพไว้ในใจคนเดียว ในเมื่อเขาเอ่ยปากเช่นนี้ออกมาแล้ว ย่อมหมายความว่าเป็ความจริงแท้ ไม่ใช่การยกยอปอปั้นจอมปลอมอะไรเลย
เพียงแต่พอแม่ทัพใหญ่หลิวประเมินเ่ิูสูงถึงเพียงนี้ กลับทำให้คนทั้งสองทั้งยินดีและตะลึง
ก่อนหน้านี้ที่เ่ิูทำผิดต่อจางซานหัวหน้าฝ่ายพลาธิการเป็อย่างมาก เป็เื่ที่ทำให้เกิดศัตรูในกองทัพมากมาย ภายหลังอาจประสบกับการแก้แค้นและความลำบากยากเข็ญเอาได้ แต่ตอนนี้แม่ทัพใหญ่หลิวพูดเช่นนี้ออกมาไม่ปิดบัง นั่นย่อมหมายความว่าเ่ิูกำลังพึ่งภูผาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าจางซาน ไม่จำเป็ต้องกังวลมากนักอีกแล้ว
สนทนาจนจบ ได้รับคำตอบอันแน่นอนจากเ่ิูแล้ว หลิวสุยเฟิงก็อารมณ์ดี
เขาพูดอยู่มาก เวินหว่านและหลิวจงหยวนทำฮึดเชิญเขาร่ำสุรากล้าหาญ เขาก็ไม่ปฏิเสธ ชนแก้วแล้วถึงหันกายเดินจากไปตามนัด
ก่อนหน้าจะไป ชายร่างอ้วนยังได้กำชับเ่ิู ว่าอีกไม่นานจะมีคนจากทัพหน้ามาเตรียมของจำพวกตราประทับทหารให้เ่ิูโดยเฉพาะ
เ่ิูและอีกสองคนยืนขึ้นส่งแขก
รอจนหลิวสุยเฟิงจากไปจริงแล้ว ทั้งสามจึงกลับมานั่งประจำที่ มองหน้ากันแล้วะเิหัวเราะ
“ข้าเพิ่งเคยเห็นท่าทีรีบร้อนขนาดนี้ของแม่ทัพใหญ่ ฮ่าๆ อดหัวเราะไม่ได้จริงแท้ เหมือนว่าอีกหน่อย น้องเย่ก็จะถูกคนอื่นชิงไปเสียแล้ว” หลิวจงหยวนหัวเราะอย่างอดไม่ได้
เวินหว่านเอ่ยอย่างตื่นเต้น “อย่างนี้ก็ดีแล้ว แม่ทัพใหญ่หลิววาดหวังเ้าเด็กเวรนี่ วันหลังจะได้ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แค่เอ่ยชื่อเด็กเวรนี่ในค่ายทัพหน้า ดูซิจะมีใครกล้ามาแหยมกับพวกเราอีก”
เ่ิูไปไม่เป็
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก นิสัยท่านแม่ทัพใหญ่ เ้าก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจนี่ ยิ่งคาดหวังและให้ความสำคัญกับคนผู้ไหน ยิ่งจะมีมาตรฐานและความเข้มงวดต่อคนผู้นั้นสูง จากที่ข้ามอง ที่แม่ทัพใหญ่เมตตากับน้องเย่ในคราวนี้เป็เพราะเขายังไม่ได้เป็คนของทัพหน้า รอจนน้องเย่สวมชุดศึกของทัพหน้าก่อนเถอะ พอถึงตอนนั้น แม่ทัพใหญ่จะปฏิบัติต่อเขาเช่นเดียวกับทหารธรรมดา แต่น่าจะเข้มงวดกวดขันกว่าด้วยซ้ำ” หลิวจงหยวนส่ายหน้า
พอเขาพูดถึงตรงนี้ ก็ยังกำชับเ่ิู ตักเตือนไม่ให้เขาพึงพอใจจนลืมตนเพราะเื่วันนี้ ในหมู่ทหาร ต้องพึ่งเอาความดีความชอบทางการทหารเป็หลัก ไม่อาจอัตตาเพราะได้รับความเชื่อใจและโปรดปรานจากผู้บังคับบัญชา หรือละเมิดกฎหมายทัพ
“เ้านี่บ่นเป็ผู้หญิงจริงๆ” เวินหว่านถลึงตามองหลิวจงหยวนอย่างไม่แยแส เขาเอ่ยดูถูก “เ้าพูดเช่นนี้ ทำไมไอ้เด็กเวรมันจะไม่รู้? สติปัญญามันเฉียบแหลม ไม่ต้องเป็ห่วงมันนัก เื่แบบเดียวกัน เ้านี่ทำได้ดีกว่าเ้ากับข้าเสียอีก เด็กคนนี้มีกึ๋น ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นในใต้หล้านี้”
“เ้าก็พูดถูก” หลิวจงหยวนกลับไปทบทวนเื่ราวของเ่ิู พลันรู้ซึ้งว่าการที่เขาเป็ห่วงและตักเตือนไปมากนั้นช่างเกินความจำเป็ เพราะความเหนืุ์ของเ่ิู ใช้หลักการสามัญทั่วไปคงไม่มีประโยชน์
เ่ิูฟังสองคนนี้ปะทะฝีปากกันแล้วก็หัวเราะออกมา
เขาสวาปามทุกอย่างที่ขวางหน้าจนไม่เหลือแม้ซาก มีแค่เหล้าเท่านั้นที่ยังอยู่
“แม่ทัพใหญ่บอกว่าท่านมาตามนัด” เวินหว่านถามอย่างสงสัย “เ้าลองทายดูสิ ว่าคนที่นัดเขามาคือใคร?”
เ่ิูสงสัยเช่นกัน
หลิวจงหยวนเสนอความคิด “ในด่านโยวเยี่ยนนี้ คนที่มีคุณสมบัติพอนัดพบแม่ทัพใหญ่ได้มีแค่หกคน เ้าด่านลู่น้อยครั้งจะออกจากสำนักเ้าด่าน เช่นนั้นก็เหลือแค่ห้า จะให้ทายนั้นลำบากอยู่บ้าง...”
พูดไม่ทันขาดคำ
โครม!
หอลมฝนปรอยพลันสั่นไหวน้อยๆ
ผนัง พื้น โต๊ะเก้าอี้ ฉากกั้น พลันมีริ้วแสงกระบวนอักขระวิ่งพล่านเหมือนเขียดะโ รูปร่างอักขระเสริมความแกร่งที่ปรากฎขึ้น ทำให้ทั้งหอลมฝนปรอยสงบลงชั่วคราว พลังงานไร้รูปร่างเข้าปกป้องทั้งโรงเตี๊ยมไว้ในอาณัติ
ขณะเดียวกัน ไอปีศาจแรงกล้าก็ตลบคลุ้งท้องฟ้า
“มีไอปีศาจ”
“ยอดฝีมือเผ่าปีศาจปรากฏตัวหรือ?”
“เผ่าปีศาจรวมพลหรือ?”
หลิวจงหยวนกับเวินหว่านยืนขึ้นพร้อมกัน สีหน้าพลันเปลี่ยนครั้งมโหฬาร
ทั้งสองกระตุ้นกำลังภายในเต็มอัตราเหมือนคันธนูที่น้าวพร้อมแล้ว เตรียมลงมือทันทีที่้า
นี่คือความสามารถของนักยุทธ์
ในกายเ่ิูมีพลังปราณกำลังหลั่งไหลราวแม่น้ำฉางเจียงเช่นกัน
สีหน้าของทั้งสามเคร่งขรึมในพริบตา
นักรบเกราะสี่นายเดินเข้ามา
ด้านหลังมีไป๋หย่วนสิงทาสกระบี่อาชาขาวผู้ตื่นตระหนกอยู่ด้วย
“ในด่านโยวเยี่ยนมีไอปีศาจระดับนี้อยู่ได้ด้วยหรือ? หนำซ้ำยังไม่หยุดเข้ามาใกล้ค่ายทัพหน้านี่อีก...เผ่าปีศาจพวกนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? ถึงได้กล้าปรากฏตัวหาเื่ตาย” หลิวจงหยวนก้าวพรวดพราดไปหน้าบานหน้าต่าง เขาเงยหน้ามองด้านนอก
“ตะวันออกมีไอปีศาจสามจุด อย่างน้อยต้องมีแม่ทัพปีศาจสามตน! ตะวันตกก็มี...” เวินหว่านตรวจสอบพักหนึ่งก็แยกแยะออกแล้ว ว่านอกหอลมฝนปรอยมียอดฝีมือเผ่าปีศาจปรากฏกายอยู่รอบทิศ จำนวนแม้จะน้อย ไอปีศาจอบอวลแต่มืดฟ้ามัวดิน ทำให้คนหายใจไม่ออก
ด่านโยวเยี่ยนไม่เคยปรากฏยอดฝีมือเผ่าปีศาจพร้อมกันมากขนาดนี้มาก่อน
“สังหารเผ่าปีศาจไม่ได้ง่ายดาย พวกเราต้องรีบลงมือ ไม่งั้นแล้วในด่านต้องเกิดจลาจลแน่” หลิวจงหยวนเตรียมพร้อม
เวินหว่านพยักหน้ารับ
เ่ิูขมวดคิ้ว เขาส่งเสียงประหลาดใจเหมือนพบเจออะไรบางอย่าง “ในหอลมฝนปรอยแห่งนี้มียอดฝีมือปีศาจ...อืม อยู่ชั้นสี่ แม่ทัพปีศาจสามตน ข้าจะไปจัดการมัน”
เอ่ยพลางกายวาบหายพังบานหน้าต่างออกไป
“เ้าระวังตัวด้วย” หลิวจงหยวนและเวินหว่านตามหลังเขาไป
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจโผล่มาไม่ให้ทันตั้งตัว ถือเป็เื่ผิดสามัญ แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ต้องทำก่อนคือฆ่ายอดฝีมือพวกนั้นให้สิ้นซาก หาไม่แล้วจะทำความสูญเสียต่อประชาชนในด่านนี้ แล้วก็อาจรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างทางการทหารของด่าน ที่หากพวกมันทำลาย ย่อมต้องเกิดความโกลาหลอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่ทั้งสามตอบสนองนั้นเอง ที่แห่งอื่นในด่านก็มีผู้แข็งแกร่งวรยุทธ์ออกปฏิบัติการตามกันเป็พรวน
เวลานั้น ไอปีศาจบดบังดวงตะวันและฟากฟ้า
มนุษย์มากมายถูกห่อหุ้มไว้ด้วยไอปีศาจ กลายเป็หมอกโลหิตอันเป็อาหารอันโอชะ สิ่งปลูกสร้างมากมายล้มครืน ไฟปีศาจแผดเผา จุดประกายเขตขัณฑ์ส่วนมาก ลมปีศาจกรรโชกแรง เศษทรายและหินละลานเต็มฟ้า มนุษย์ธรรมดาร่ำร้องน่าสังเวช กระทั่งบ้านคนยังถูกพัดไปลอยอยู่กลางอากาศ
ชั้นสี่ของหอลมฝนปรอย มีเสียงอุทานและโอดครวญร้องลั่น