เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ผู้มีสีหน้าเบิกบานยิ่งกว่าทุกวันก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์ กล่าวขอบคุณเหล่าขุนนางด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ตรงข้ามกับซูหยากุ้ยเฟย ซึ่งลูบศีรษะโอรสน้อยอย่างแ่เบา แววตาเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่ผุดขึ้นในใจ
‘หลังจากนี้ ความสงบสุขที่ดำเนินมายาวนานนับสิบปี คงไม่ราบรื่นดังเดิมอีกแล้ว’ สายตาของนางเลื่อนไปยังหยวนเฟิงอ๋อง ผู้จิบชาอย่างสงบนิ่งในชุดสีดำ
‘หากในตอนนั้นข้าไม่ลังเล ยอมกำจัดเขาไปเสีย วันนี้ข้าคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้’ แม้ใบหน้าของนางจะแสดงออกถึงความอ่อนโยน แต่ภายใต้หน้ากากนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความคิดที่ยากหยั่งถึง กระทั่งหยวนเฟิงอ๋องหันมาสบตา นางก็เพียงแค่ยิ้มตอบ ด้วยท่าทีเมตตา ประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในใจ
“หลังจากนี้ เ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกัน อย่าคิดหักหลังข้า จำไว้ว่าน้ำลึกขนาดนี้ มีข้าเพียงคนเดียวที่ตัดสินใจได้ว่า เ้าจะได้ขึ้นฝั่งหรือจมหายไป” หยวนเฟิงอ๋องกระซิบกับจางเหยียนหลิงเบา ๆ นางหันมองใบหน้าราบเรียบของเขา ก่อนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แล้วทอดสายตาไปยังเหล่าขุนนางที่กำลังร่วมโต๊ะเสวยอย่างสำราญ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นแววตาของซูหยากุ้ยเฟยที่จับจ้องหยวนเฟิงอ๋องอย่างไม่วางตา หัวใจของนางก็สะท้อนความคิดบางอย่าง
‘สายตาเช่นนี้ เป็สายตาเดียวกับที่หลี่ชิงหลีมองข้า ต่างตรงที่นางมีอำนาจมากมายล้นมือ แล้วยังไง?’ นางครุ่นคิดขณะเอื้ะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างแ่เบา
‘ที่ข้าสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้ นั่นเพราะบารมีของหยวนเฟิงอ๋อง ข้าลงเรือลำเดียวกับเขา ต่อให้สุดท้ายแล้ว ข้าต้องจมอยู่ก้นทะเลลึก เพื่อแลกกับการได้เห็นป้ายสกุลหลี่ถูกปลด มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ?’ สายตาของนางจึงเหลือบไปยังหลี่ชิงหลี หญิงชราเ้าเล่ห์ผู้พรากชีวิตลูกในครรภ์ หากชาตินี้ไม่ชำระแค้น ก็อย่าหวังว่าตายตาหลับ
“หยวนเฟิง ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว เจ๋อหานก็ยังเด็กเกินไป เข้าวังหลวงมาช่วยงานราชการของข้าดีหรือไม่ ข้าจะสั่งให้สร้างตำหนักใหม่สำหรับเ้าโดยเฉพาะ”
“ตำหนักของท่านแม่!” ชายหนุ่มวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยขึ้นทันที เสียงของเขาทำให้ทุกคนชะงัก หันมองด้วยสายตาฉงน
“ข้า้าตำหนักของหลัวอินกุ้ยเฟย ตำหนักของท่านแม่”
“ตกลง ข้าจะให้คนเข้าไปทำความสะอาด” ใบหน้าของฮ่องเต้ฉายแววแห่งความหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ทันสิ้นรอยยิ้ม ชายหนุ่มในชุดดำก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดึงสายตาของเหล่าขุนนางให้หันมามองเป็จุดเดียว
“เขาจะทำอะไรอีก!” ไป๋ฮูหยินหรี่ตาแล้ววางตะเกียบในมือลงช้า ๆ พร้อมจ้องมองไปยังร่างของชายหนุ่มชุดดำ ที่ทำเหมือนราชสำนัก เป็พื้นที่ไร้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์
“แค่ตำหนักของท่านแม่อย่างเดียวคงไม่พอ” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหันไปสบตาฮ่องเต้อย่างแน่วแน่
“เช่นนั้น เ้า้าสิ่งใด? ข้ายินดีมอบให้ทุกอย่าง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้า้า....ตำแหน่ง” ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ แววตาแน่วแน่ไม่หวั่นเกรงผู้ใด เมื่อสิ้นคำกล่าว ซูหยากุ้ยเฟยค่อย ๆ ดึงโอรสน้อยเข้าหาตัวช้า ๆ ก่อนหันไปกล่าวกับฮ่องเต้พร้อมรอยยิ้มละมุน
“ตำแหน่งในราชสำนักมีอยู่มากมาย เช่นนั้นให้เขาเริ่มต้นที่ตำแหน่งเสมียนหลวงดีหรือไม่เพคะ”
“ฐานะอย่างข้า เหมาะสมกับตำแหน่งต่ำต้อยเช่นนั้นหรือ?” เขาตอบโต้ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่กรีดลึก ซูหยากุ้ยเฟยถึงกับชะงักคำ นับแต่ได้รับตำแหน่งสูงสุดแห่งวังหลัง ยังไม่เคยมีใครกล้าหักหน้าเช่นนี้ต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก
“ข้าเป็ใคร? ท่านจึงเห็นว่าเหมาะกับตำแหน่งเสมียนหลวง? ตำแหน่งนี้…เก็บไว้ให้โอรสของท่านจะดีกว่า” เป็คำพูดที่สงบนิ่ง แต่กรีดลึก เหล่าขุนนางที่ได้ยิน ถึงกับก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง
“หยวนเฟิงอ๋อง! ขอโทษซูเหยากุ้ยเฟย เ้ากำลังล่วงเกินนาง” ฮ่องเต้นิ่วหน้าเอ่ยปราม ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยสายตาไหววูบ
“ขอโทษงั้นเหรอ ในโลกใบนี้ ยังมีคนทำผิดแล้วไม่เอ่ยคำขอโทษอีกมาก ข้า..ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดต้องขอโทษนาง” ฮ่องเต้เงียบไปชั่วขณะ รู้ดีว่าคำกล่าวนั้น ไม่ได้มุ่งไปยังกุ้ยเฟย หากแต่มุ่งตรงมายังพระองค์ ราชบิดาที่ไม่เคยเอ่ยคำขอโทษแก่โอรสผู้นี้ ผู้ที่สูญเสียมารดาั้แ่วัยเยาว์
“การกลับมาวังหลวงของข้าครั้งนี้ ข้าเพียงหวังว่าอะไรจะดีขึ้นบ้าง แต่ดูเหมือนทุกอย่างเหมือนเดิม เช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องกลับมาอีก” ชายหนุ่มกล่าวพลางหันไปทางจางเหยียนหลิง ทำท่าจะเดินออกจากท้องพระโรง ฮ่องเต้หลับตาลง ราวชั่งน้ำหนักในใจ แล้วตรัสเสียงแ่เบา
“เ้า้าตำแหน่งใด” หยวนเฟิงอ๋องหันกลับมาช้า ๆ แววตามั่นคงไร้ความลังเล
“ตำแหน่งที่ข้า้า...ไม่มากเกินไปหรอก เป็ตำแหน่งที่เหมาะสมกับข้าแต่แรกอยู่แล้ว ตำแหน่งรัชทายาท!” เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วทั้งท้องพระโรง เหล่าขุนนางพากันอ้าปากค้าง
“ตำแหน่งรัชทายาท? ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็ของโอรสเจ๋อหานไม่ใช่หรือ? หยวนเฟิงอ๋องออกจากวังไปนานนับสิบปี ไม่มีผลงาน ไม่มีความดีความชอบ จะคู่ควรกับตำแหน่งนั้นได้อย่างไร” เสียงหนึ่งดังแว่วจากกลุ่มขุนนางด้านหลัง ไป๋ฮูหยินลอบยิ้ม พลางมองหยวนเฟิงอ๋องที่ยังคงนิ่งเงียบ แต่แล้ว ชายหนุ่มในชุดดำก็หันมามองตรงไปยังผู้พูดด้วยสีหน้าเรียบเย็น
“เ้า...ออกมา!” ขุนนางผู้นั้นสะดุ้งโหยง รู้ทันทีว่าตนเผลอพูดดังเกินไป เขาก้าวออกมาอย่างหวาด ๆ ก่อนจะก้มศีรษะลง
“ขะ..ข้าน้อย” เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดดังเกินไปจนถูกจับได้ จึงตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะก้าวเท้าออกมาแล้วน้อมกายลงอย่างอ่อนน้อม
“เ้าบอกว่าข้าไม่มีความดีความชอบ เช่นนั้น…ใครเล่าที่มี?” ขุนนางคนดังกล่าวหันมองไปยังเจ๋อหาน อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เด็กตัวแค่นี้ สร้างความดีความชอบใดไว้มากมายแล้วเหรอ? ลองบอกข้าสักสามอย่างสิ…เคยจับกระบี่นำทัพ? แก้ไขปัญหาบ้านเมือง? หรือมีดำริสร้างสถานศึกษายิ่งใหญ่?”
“เอ่อ...” ขุนนางคนนั้นพูดไม่ออก ได้แต่ยอมน้อมกายลง “ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น ข้าโอรสองค์แรกของแผ่นดิน ไม่มีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทเหรอ?”
“เอ่อ...” เขาหันมองฮ่องเต้เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พระองค์ยังคงนิ่งเฉย จนสุดท้ายต้องทรุดตัวลงคุกเข่า
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว…ข้าน้อยเบาปัญญา ขอทูลขออภัย” เขาก้มศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด
ซูเหยากุ้ยเฟยและไป๋ฮูหยินเห็นภาพนั้น ต่างก็รู้ในใจว่าฮ่องเต้ ยังเมตตาหยวนเฟิงอ๋องไม่เสื่อมคลาย แม้ที่ผ่านมาเหมือนสงบสุข แต่แท้จริงแล้ว ทุกอย่างเป็เพียงภาพลวงตา เหมือนพายุที่กำลังสะสมแรง รอวันพัดโหมกระหน่ำอีกครั้ง
จางเหยียนหลิงที่นั่งนิ่งอยู่นาน ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างมั่นคง แล้วเดินมายืนเคียงข้างหยวนเฟิงอ๋อง ก่อนจะน้อมกายถวายบังคม
“เดิมทีหม่อมฉันเป็เพียงสามัญชนธรรมดา แต่กลับถูกคนชั่วหลอกลวง เกือบสิ้นชีพ หากไม่ใช่เพราะหยวนเฟิงอ๋องช่วยชีวิตไว้…” นางเลื่อนสายตาไปยังหลี่ชิงหลี ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดด้วยกลัวว่า ความชั่วของนางจะถูกเปิดโปงต่อหน้าฮ่องเต้
“ผู้คนต่างกล่าวหาว่าท่านอ๋องโเี้ ไร้ความสามารถ แต่แท้จริงแล้ว…เขาตกเป็เหยื่อของคำกล่าวร้ายที่คนชั่วบิดเบือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ซูเหยากุ้ยเฟยชะงักเล็กน้อย มือที่ประคองถ้วยชาเริ่มสั่น
“หม่อมฉันเชื่อมั่นในตัวท่านอ๋องเพคะ ว่าท่านอ๋องเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาท ขอเพียงแค่โอกาสเท่านั้นเพคะ” จางเหยียนหลิงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะก้มลงถวายบังคมอีกครั้ง
หยวนเฟิงอ๋องมองหญิงสาวด้วยสายตานิ่งลึก ไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนแอเช่นนาง จะกล้าหาญเผชิญหน้ากับราชบัลลังก์เช่นนี้
“เื่ตำแหน่งรัชทายาทเป็เื่ใหญ่ ควรไตร่ตรองให้ดีเพคะ…” ซูเหยากุ้ยเฟยเอื้อมมือจับฮ่องเต้ เสียงหวานแฝงไปด้วยความกังวล
“หยวนเฟิง…หากเ้าปรารถนาตำแหน่งนั้น ก็จงพิสูจน์ตน เข้าวังหลวง…สร้างผลงานให้ประจักษ์แก่เหล่าขุนนาง” หยวนเฟิงอ๋องยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยเสียงหนักแน่น
“เมื่อเป็พระประสงค์ของเสด็จพ่อ ไยข้าจะปฏิเสธ” ซูเหยากุ้ยเฟยกำมือแน่นจนสั่น รู้สึกเสียใจ ที่วันนั้นนางลังเล…ปล่อยให้เขามีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้
“เพี้ย!” เสียงฝ่ามือตบกระทบใบหน้าดังลั่น ในตำหนักฟ่านชิง บรรดานางกำนัลต่างก้มหน้าด้วยความหวาดหวั่น
“เ้าคิดอะไรอยู่ ถึงได้กล้าเชิญหยวนเฟิงอ๋องมางานเฉลิมฉลองของฮ่องเต้” ซูเหยากุ้ยเฟยจ้องไป๋ฮูหยินด้วยแววตาเดือดดาล
“ท่านพี่!”
“อย่าเรียกข้าว่าพี่! อีกไม่กี่ปี เจ๋อหานก็โตพอสำหรับตำแหน่งรัชทายาท เ้ากลับชักนำศัตรูเข้ามา! เ้าคิดหรือไม่ว่าผลมันจะร้ายแรงเพียงใด”
“ก็ท่านบอกเอง ว่าเขาหมดอำนาจไปนาน ฮ่องเต้ทรงรักเจ๋อหาน…หยวนเฟิงอ๋องก็เป็เพียงเงามืดที่ไร้ตัวตน ฮ่องเต้ไม่มีวันหันไปมองเขา…” สิ้นเสียงไป๋ฮูหยิน ภาพในอดีตก็หวนกลับมา
ขณะที่หยวนเฟิงอ๋อง โซซัดโซเซกลับมาวังหลวงในสภาพสะบักสะบอม ฮ่องเต้ที่เพิ่งมีรับสั่งให้ทหารจำนวนหนึ่ง ออกตามหาแทบพลิกผืนฟ้า เห็นร่างของโอรส จึงรีบลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยความดีใจ ทว่าร่างของเด็กชายแรกรุ่นค่อย ๆ ก้าวเข้ามายังท้องพระโรง ก่อนฮ่องเต้จะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดหยวนเฟิงอ๋องด้วยความเป็ห่วง
“เ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพ่อเป็ห่วงแค่ไหน หากเ้าเป็อะไรไป ราชสำนักจะทำเช่นไร?” หยวนเฟิงอ๋องผลักฮ่องเต้ออก แล้วหันมองมายังซูเหยากุ้ยเฟย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด พลันเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ไยต้องสนใจข้า ข้าจะเป็หรือตาย ก็ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
หยวนเฟิง... เหตุใดเ้าจึงพูดเช่นนั้น? ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าไม่เป็อันทำสิ่งใด ต้องให้คนตามหาเ้าทั่วทุกแห่ง ตรงนั้นไม่มี ตรงนี้ไม่มี ตกลงเ้าหายไปไหนกันแน่” เขาเลื่อนสายตามายังราชบิดา แล้วยิ้มมุมปาก หลังจากผ่านความเป็ความตายมาได้แล้ว ชายหนุ่มไม่คิดอยากใช้ชีวิตในวังหลวงอีก
“ข้าจะออกไปใช้ชีวิตนอกวัง!”
“ข้าไม่อนุญาต!” ฮ่องเต้รับสั่งเสียงหนักแน่น แล้วสะบัดตัวกลับขึ้นบัลลังก์ ที่ควรมีมารดาของเขานั่งเคียงข้าง แต่เวลานี้กลับเป็เพียงนางจิ้งจอกผู้อยู่เื้ัโศกนาฏกรรมในวันนั้น
“ข้ากลับมาวังหลวง ก็เพื่อมาบอกเสด็จพ่อ ว่าข้าจะออกไปอยู่นอกวัง และนี่ไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็การบอกกล่าวให้เข้าใจตรงกัน” เขาทำท่าเบี่ยงตัวเดินออกจากท้องพระโรง ที่มีเพียงฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยยืนอยู่ตามลำพัง ไม่มีบ่าวไพร่หรือขุนนางคนใดบริเวณนั้น
“เหิมเกริม!” ฮ่องเต้ตวาดก้อง ดวงตาแฝงด้วยความเจ็บลึก เขารู้ว่าโอรสผู้นี้เติบโตขึ้นท่ามกลางความโดดเดี่ยว ขาดอ้อมกอดของมารดา ฮ่องเต้หลับตาลงแล้วสงบสติครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างนุ่มลง
“อยู่ในวังหลวง มีบ่าวไพร่นับพันนับหมื่น เ้าอยากได้อะไร อยากใช้อะไร ข้าจะหาให้ทุกอย่าง ออกไปอยู่นอกวัง มีแต่จะทำให้ข้าเป็ห่วง” เขายิ้มบางเบา สภาพสะบักสะบอมของเขาเวลานี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาจากสกุลไป๋ เขาไม่ฟ้อง ไม่พูด เพียงเก็บแค้นไว้ในใจ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“จะอนุญาตหรือไม่ ข้าไม่สนใจ” พูดจบ ชายหนุ่มก็เบี่ยงตัวเดินจากไป
“ดี! หากเ้าดื้อดึงนัก เช่นนั้นข้าจะยกจวนหานเยี่ยให้ พร้อมมอบทหารสามร้อย และนางกำนัลอีกหนึ่งร้อยคนคอยดูแล หากเ้าสบายใจเมื่อใด... ให้กลับมา...” ชายหนุ่มหยุดยืน หลับตาช้า ๆ แม้ในใจจะตื้นตันที่ได้ยินพระบิดาแสดงความห่วงใย ทว่าแผลในใจ ที่ราชบิดาเ็าจนทำให้มารดาฆ่าตัวตาย ยังฝังลึกเกินให้อภัยได้ สองเท้าตัดสินใจก้าวออกจากวังหลวงนับจากนั้น โดยไม่กลับมาอีก
“ท่านพี่ ท่านบอกข้า ว่าวันนั้นฮ่องเต้ทรงไล่หยวนเฟิงอ๋องออกจากวังหลวง ราวกับหมูหมา อำนาจของเขาจะไม่สามารถแย่งตำแหน่งเจ๋อหานได้ แล้ววันนี้ฮ่องเต้ทำเหมือนว่า...” ไป๋ฮูหยินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสั่นระริก ซูเหยากุ้ยเฟยทรุดตัวลงนั่ง มือกำแน่น ดวงตาวาวโรจน์
“นั่นเพราะ...สามีเ้ามีอำนาจในหมู่ขุนนาง หากข่าวนี้ออกจากปากเขา มันจะกระจายอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ ประชาชนก็จะพลอยหมดศรัทธาในตัวหยวนเฟิงอ๋องไปเอง” ไป๋ฮูหยินเบิกตากว้าง
“หมายความว่า...ข่าวลือทั้งหมดตลอดสิบปีที่ผ่านมาไม่จริง เขาไม่ได้ตกต่ำ และไม่ใช่โอรสที่ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้ง?” ไป๋ฮูหยินแทบทรุดลงกับพื้น เพราะรู้ดีว่าสถานะสูงส่งของตระกูลไป๋ตอนนี้ ผูกติดอยู่กับอำนาจของซูเหยากุ้ยเฟยโดยสิ้นเชิง หากเจ๋อหานไม่ได้เป็รัชทายาท สกุลไป๋ก็จะล่มสลาย
ซูเหยากุ้ยเฟยเหยียดริมฝีปาก ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“เื่นั้นเ้าไม่ต้องกังวล... สิบปีก่อน ข้าตัดสินใจไม่กำจัดเขาให้สิ้นซาก แต่วันนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะลงมือ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ฮูหยินรีบเข้ามาใกล้ ถามเสียงสั่น
“กำจัดเขา! ทุกอย่างก็จบ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้