เจินจูนำทางเขาเดินมาถึงมุมกำแพงลานบ้าน
“ยู่เซิง เ้าร้อนใจเกินไปหรือไม่ ตอนนี้จวนจะยามเซินอยู่แล้ว เ้าให้ชาวบ้านมาทำงานตอนนี้จะคิดค่าแรงอย่างไร?”
วันนี้เจินจูสวมเสื้อกันหนาวสองชั้นกำมะหยี่สีเรียบ ท่อนบนปักลายดอกเหมย ส่วนท่อนล่างเป็กระโปรงตัวยาวผ้าไหมชิ้นหนาสีน้ำเงิน ความหนาของเนื้อผ้าไม่ส่งผลต่อรูปร่างเพรียวบางของนางเลย เจินจูขมวดคิ้ว ในดวงตาแฝงไว้ด้วยความงงงวยเล็กน้อย ริมฝีปากอมชมพูค่อยๆ กระดกขึ้น ด้านในลูกตาแบ่งสีขาวดำชัดเจนกลับสะท้อนเงากายของเขาออกมา
สีหน้าหลัวจิ่งล้ำลึกขึ้น ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว บนกายของนางราวกับมักมีกลิ่นหอมจางๆ อยู่ตลอด ขอแค่เข้าใกล้นางกลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์และไม่ฉุนจะกระจายเข้าสู่จมูกของเขาโดยตรง
เจินจูถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างตื่นตัว ยกถาดรองในมือขึ้นมาที่หน้าอกทันที ตรงนี้เป็เขตในลานบ้านชั้นใน เ้าหนุ่มนี่คงไม่ใช่สมองเลอะเลือน แล้วคิดจะทำอะไรขึ้นกระมัง
ลักษณะป้องกันตัวของนางทำให้หลัวจิ่งอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้
“แค่กๆ” เขากระแอมไอเล็กน้อย จะใจร้อนเกินไปไม่ได้สินะ
“ค่าแรงคิดตามวันก็พอ วันละยี่สิบเหวินคงพอกระมัง เ้าวางใจ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบชาวบ้านอย่างแน่นอน”
เจินจูหันไปกลอกตามองและค้อนใส่เขาวงใหญ่ “เ้าจะเพิ่มราคาค่าแรงสูงปานนั้นกะทันหันไม่ได้นะ จะมาทำลายราคาตลาดเพียงเพราะเ้ามีเงินติดตัวมากไม่ได้ ค่าแรงที่ครอบครัวข้าให้หนึ่งวันเป็เงินสิบสามเหวิน ตอนนี้หน้าหนาวอากาศเย็น เ้าเพิ่มจำนวนตามความเหมาะสมได้หนึ่งเหวิน ก็จะเป็สิบสี่เหวินต่อวัน หากจะจ่ายค่าแรงทุกวันล่ะก็ยุ่งยากอย่างมาก ชาวบ้านหลายสิบคนเข้าแถวรับเงินทุกวัน ไม่เพียงสิ้นเปลืองเวลาแต่ยังสิ้นเปลืองกำลังคน ข้าว่าเ้าให้สิบวันคิดหนึ่งหนจะดีกว่า”
นางกล่าวเื่ที่ควรใส่ใจออกมาไม่หยุดปากหนึ่งรอบ
หลัวจิ่งยืนอมยิ้มรับฟังอยู่ด้านข้าง ไม่มีความหน่ายใจเลยสักนิด
ขณะกล่าว สีหน้าเจินจูแดงขึ้นเรื่อยๆ เ้าหนุ่มน่าตายนี่ สายตาที่จ้องนางอย่าตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้หรือไม่
นางถลึงตาใส่เขาด้วยความเขินอายระคนขัดเคืองใจทีหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับคิดจะเดินจากไป
หลัวจิ่งรีบดึงนางไว้ ส่งยิ้มบางๆ อย่างเอาใจไปทางนาง “เื่เหล่านี้ เ้ามาดูแลดีหรือไม่ และนี่... เงินเหล่านี้เอาไว้ที่เ้า เ้าคิดว่าควรใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น”
เขาหยิบตั๋วเงินจากในหน้าอกออกมาหลายใบ ยัดเข้าในมือของนางทั้งหมดทีเดียว
เจินจูมองเขาอย่างหมดคำพูดแวบหนึ่ง เขาจะสร้างบ้านแต่ให้นางช่วยจัดการ มีอย่างที่ไหนกัน นางจึงส่งตั๋วเงินคืนกลับให้เขา
“เ้าดูแลเองสิ ไม่ใช่ว่ามีเวลาหยุดพักสามเดือนหรือ ล้วนให้ผู้อื่นช่วยทั้งหมด แล้วเ้าทำอะไรล่ะ”
หลัวจิ่งได้ยินคำกล่าวนั้นแต่ไม่รับเงินมา กลับกล่าวเลี่ยงคำถาม “รอผู้าุโหลิงวาดแบบออกมาเรียบร้อย เ้าดูทีว่าแบบไหนดี จากนั้นจะได้เริ่มก่อสร้างได้ อากาศตอนนี้ยังพอให้ก่อสร้างได้พักหนึ่งเลย เมื่อหิมะตกหนักปิดูเาไปถึงตอนนั้นอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว ตอนข้าไม่อยู่ บริเวณที่สร้างบ้านล้วนต้องมอบให้เ้าจัดการ รอกลับมาครั้งหน้าหวังว่าจะได้เห็นบ้านใหญ่โตหลังใหม่ ที่ทัศนียภาพงดงามโดดเด่นแห่งหนึ่งได้”
ใช่แล้ว คฤหาสน์ใหญ่เพียงนี้ไม่สามารถสร้างเสร็จได้ภายในครึ่งปีหรือหนึ่งปีแน่ วันหยุดของเขาไม่เพียงพอจริงๆ เมื่อเขากลับไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังต้องให้ครอบครัวนางช่วยดูแลต่อ
เจินจูเก็บตั๋วเงินกลับมา มองจำนวนเงินบนตั๋วที่ปรากฏออกมา้าตามอำเภอใจ หนึ่งร้อยเหลียง สองร้อยเหลียง ห้าร้อยเหลียง มากมายหลากหลายรวมกันขึ้นมาแล้วไม่นึกเลยว่าจะมีเงินหนึ่งพันหกร้อยเหลียง โอ้... กลายเป็เศรษฐีแล้วหรือ
“ทำไมเ้ามีเงินมากมายเพียงนี้? เงินเดือนทหารของพวกเ้าสูงมากเลยหรือ?”
หลัวจิ่งมองเงินที่นางเก็บกลับไป ก็รู้ได้ว่านางรับปากจะช่วยเขาดูแลการสร้างคฤหาสน์ส่วนตัวนี่แล้ว ในใจเขารู้สึกหวานชื่นยิ่งนัก พอมองนางด้วยท่าทางแม่บ้านตัวน้อยอีกหน ในใจยิ่งรู้สึกยินดีขึ้นเหลือคณนา
“เ้าวางใจ ที่มาชอบธรรมอย่างมาก ไม่ใช่หลอกลวงฉกชิงทรัพย์มาอย่างแน่นอน หากไม่พอ บอกข้าว่า้าเพิ่มได้เต็มที่”
เขายิ้มด้วยความขบขัน ตั๋วเงินเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็เงินที่ท่านพี่หลัวรุ่ยให้มา ส่วนหนึ่งเป็ของเขาเองที่เก็บสะสมขณะทำภารกิจ ครั้งนี้เขาร้องขอวันลาหยุดกับองค์ชายสี่ องค์ชายสี่เลยให้เงินชมเชยแก่เขามาสองพันเหลียง บอกว่าให้เขาเป็ค่าเดินทาง
ในครั้งแรกที่หลัวรุ่ยมาเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน มารดาของเขากลัวว่าท่านพี่จะถูกเอาเปรียบและได้รับความยากลำบาก ดังนั้นเลยเพิ่มเงินส่วนตัวจำนวนสองหมื่นเหลียงแก่หลัวรุ่ยเป็การเฉพาะ หากเขามาถึงชายแดนก็ใช้มอบเป็สินบนเล็กน้อยสักรอบ
หลัวรุ่ยเก็บเงินไว้เพื่อให้ผู้เป็มารดาสบายใจ แต่ความเป็จริงเขาไม่เคยคิดอาศัยทรัพย์สินเงินทองแลกมาด้วยหนทางในอนาคตเลย ั้แ่เด็กหลัวรุ่ยชื่นชอบฝึกการต่อสู้เป็พิเศษ สนใจที่จะสมัครเข้าร่วมเป็ทหารมากอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจการห้ามปรามของมารดา ยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวเองและเข้าสู่ค่ายทหาร
ตั๋วเงินที่มารดาให้มานั้น เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีมาโดยตลอด รวมกับเงินรางวัลทุกภารกิจกับรายได้สีเทา [1] ที่ชายแดนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็สะสมทรัพย์สินส่วนตัวของเขาเองไว้จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ตอนหลัวจิ่งไปถึงชายแดน หลัวรุ่ยได้มอบตั๋วเงินแก่เขามาหนึ่งพันเหลียง ให้เขาเก็บไว้ใช้เป็การส่วนตัว
หลัวจิ่งรับไว้เงียบๆ ระหว่างพี่น้องบางคำก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรมาก สกุลหลัวในขณะนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน การสนับสนุนซึ่งกันและกันกับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็รากฐานสำหรับความเจริญรุ่งเรืองของครอบครัวในอนาคต
เจินจูมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ปราดหนึ่ง และไม่ได้วุ่นวายอีก เขาคลุกคลีอยู่ชายแดนมาสามปี ตำแหน่งขุนนางเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นสี่ ความยากลำบากในระหว่างนั้นย่อมไม่ต้องกล่าวให้มากความ แต่ทุกสายอาชีพล้วนมีสีเทาในตัวของอาชีพนั้น ตามความสามารถของเขา การกระทำให้ได้มาด้วยรายได้สีเทาย่อมไม่ใช่มือถึงจับมา
ชาติที่แล้ววงการของชนชั้นข้าราชการไม่ใช่ว่ามีคำพูดหรอกหรือว่า ขุนนางสุจริตสามปี มีเงินดังหิมะแสนเกล็ด [2]
แน่นอนว่าพวกเขาเป็นายทหารฝ่ายสู้รบ ย่อมไม่เหมือนกับข้าราชการพลเรือนอย่างแน่นอน แต่นายทหารฝ่ายสู้รบก็มีลู่ทางของฝ่ายทหารเองเช่นกัน
อีกอย่าง ได้ยินว่าพี่ชายใหญ่ของเขายังเป็ขุนพลระดับสูงอีกด้วย ต่อสู้อยู่ชายแดนมาหลายปี ทรัพย์สินที่สะสมไว้ย่อมมีจำนวนมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน
...หลิ่วฉางผิงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก เขาอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านกำลังชูมือร้องเรียกเสียงดัง เรียกชาวบ้านที่มีร่างกายแข็งแรงและมีความสามารถในการทำงานจำนวนห้าสิบคนมารวมตัวกัน
เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านจ้าวเหวินเฉียงคิดจะรวบรวมและกระจายกลุ่มชาวบ้านมาช่วยกันกำจัดพื้นที่ป่าให้หลัวจิ่งอย่างสะอาดราบเรียบ แต่หลัวจิ่งปฏิเสธออกมาทันที เขา้าให้ชาวบ้านสามารถหาเงินเล็กน้อยได้ในฤดูหนาว ถือเสียว่าเขาทำการสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่หมู่บ้านแห่งนี้ก็แล้วกัน
หลิ่วฉางผิงทำตามความคิดของเจินจู ในชาวบ้านห้าสิบคน เลือกคนทำงานเก่าแก่ที่มีความสามารถในการจัดการคนและคุ้นเคยกันออกมาห้าคน ให้พวกเขาดูแลชาวบ้านเก้าคน แต่ละกลุ่มเล็กกระจายออกไปตามพื้นที่ป่า แล้วทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ค่าตอบแทนของพวกเขาห้าคนจะสูงกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ หนึ่งเหวิน เป็วันละสิบห้าเหวิน
ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนเคยติดตามหลิ่วฉางผิงทำงานทั้งสิ้น บารมีและชื่อเสียงของเขาอยู่ในหมู่บ้านก็มีไม่น้อย ผู้ใดจะไม่อยากหางานสบายๆ หารายได้เสริมนิดหน่อยเมื่อมีเวลาว่างกันบ้าง หากผู้ใดผิดใจกับหลิ่วฉางผิงก็อยู่เอ้อระเหยไปวันๆ ได้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาที่จ่ายครั้งนี้ไม่เลวเป็อย่างมาก ทำงานวันหนึ่งคิดเป็เงินหนึ่งวัน ไม่รวมอาหารกลางวันจะได้เงินสิบสี่เหวิน ค่าตอบแทนสิบวันจ่ายหนึ่งหน เมื่อครบกำหนดก็ไปรับเงินที่ห้องบัญชีของสกุลหูได้เลย
หากจัดการป่าจนราบเตียนเสร็จแล้วยังต้องขุดฐานลานบ้านและสร้างกำแพงลานอีก ก่อนหิมะจะตกหนักปิดป่าเขาอย่างน้อยก็มีเวลาที่สามารถทำได้เต็มๆ หนึ่งเดือน
สามสิบวันหาเงินได้สี่ร้อยยี่สิบเหวินเต็มๆ เงินเหล่านี้เพียงพอให้คนทั้งครอบครัวฉลองปีใหม่ดีๆ ได้อย่างแน่นอน
บุรุษที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงเกือบทั้งหมู่บ้านต่างก็มารวมตัวอยู่ที่นี่ทั้งหมด
หลิ่วฉางผิงนั่งอยู่บนม้าหินใต้ต้นมะเดื่อเก่าแก่ หยิบสมุดหนึ่งเล่มออกมา เป็เขาที่ทำการตัดและตอกให้ดีไว้แล้ว ใช้ดินสอถ่านที่ทำการเผาจากกิ่งหลิว นำมาใช้ลงนามตามลำดับไว้ให้เรียบร้อย
บรรดาชาวบ้านล้วนมองเขาด้วยความอิจฉา
“ฉางผิง ท่านเรียนรู้กับผู้าุโหลิงมาสามปีแล้ว ตัวอักษรนี่เขียนได้ไม่เลวเลยนี่” มีชาวบ้านเริ่มประจบขึ้น
“นั่นน่ะสิ ที่แท้ผู้ใหญ่ไร้การศึกษาที่ไม่รู้จักตัวอักษรเลยสักตัว ก็สามารถเขียนได้คล่องแคล่วเพียงนี้ได้” ชาวบ้านที่เรียงแถวเริ่มคล้อยตาม
“ฮ่าๆ” หลิ่วฉางผิงหัวเราะ อิ่มอกอิ่มใจเล็กน้อย เขาเป็หนึ่งในนักเรียนสูงวัยไม่กี่คนที่เรียนได้ดีที่สุด เวลาปกติผู้าุโหลิงก็ชมเชยเขาไม่น้อย เขากลับไปถึงบ้านมักแข่งกับบุตรชายคนโตและคนรองของตนอยู่บ่อยๆ ดูว่าตัวอักษรของผู้ใดเขียนได้ดีกว่ากัน
“ล้วนเป็ผู้าุโหลิงสอนได้ถูกต้อง ฮ่าๆ มา... คนต่อไป ผู้ใดลงนามเสร็จแล้วก็ไปต่อแถวด้านนั้นกันเองได้เลย เก้าคนหนึ่งกลุ่ม”
“ฉางผิง นายท่านหลัวไม่ใช่ญาติห่างๆ ของภรรยาฉางกุ้ยหรือ เหตุใดยังสร้างบ้านในหมู่บ้านเราอีกล่ะ?” มีคนเอ่ยถามออกมา
“สร้างบ้านขึ้นที่หมู่บ้านพวกเราแล้วเป็อย่างไร? คนเขาเป็ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสี่ มาสร้างบ้านที่หมู่บ้านเรานั่นเป็เกียรติของหมู่บ้านวั้งหลินยิ่งนัก!” จ้าวเหวินเฉียงเร่งมาด้านข้างร่วมวงด้วยจึงได้ยินเข้า หันไปจ้องชาวบ้านที่กล่าวออกมาหนึ่งที
“อ้าว หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว ฮ่าๆ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น นี่ไม่ใช่ว่ารู้สึกประหลาดใจเท่านั้นเองหรือ” คนผู้นั้นรีบยิ้มและขออภัยทันที
ชาวบ้านบริเวณโดยรอบรีบทักทายหัวหน้าหมู่บ้านขึ้น
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะกล่าวสักสองสามประโยค คนที่มาลงชื่อช่วยทำงานให้นายท่านหลัวในครั้งนี้ ผู้ใดคิดจะแอบอู้ใช้กลอุบายปลิ้นปล้อน ก็ถือโอกาสอย่าทำเสียั้แ่เนิ่นๆ หากรอให้ถูกจับออกมาได้ อย่าโทษข้าที่พอถึงเวลาแล้วไม่ไว้หน้าพวกเ้าล่ะ” จ้าวเหวินเฉียงดึงหน้าตึง ให้พวกเขาทำการคิดให้ดีก่อนจะเริ่มทำงาน
“นายท่านหลัวปักหลักอยู่หมู่บ้านวั้งหลินของพวกเรา เป็เกียรติของหมู่บ้านเรานัก พวกเราต้องให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ปฏิบัติด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หมู่บ้านวั้งหลินใน่ร้อยปีที่ผ่านมาได้กำเนิดซิ่วฉายเพียงสองคนและบัณฑิตเด็กห้าคนเท่านั้น นายท่านหลัวเป็กุยเต๋อหลางเจียงขั้นสี่ ก่อนหน้านี้ตาตาร์กับหว่าชื่อรุกรานชายแดนอาณาจักรต้าสยา นายท่านหลัวเป็นายทหารที่มีส่วนสำคัญในการต่อต้านตาตาร์กับหว่าชื่อ เป็วีรบุรุษทำาสู้รบในต้าสยาของพวกเรา ฝีมือไม่ธรรมดา วรยุทธ์ล้ำเลิศ พวกเ้าสามารถช่วยนายท่านหลัวทำงานได้ควรรู้สึกว่ามีวาสนาแล้ว หมู่บ้านอื่นอยากมาช่วยทำงานแค่ไหนต่างก็ไม่สามารถทำได้”
จ้าวเหวินเฉียงกล่าวสั่งสอนพวกเขาด้วยท่าทางลำพองใจหนึ่งรอบ จ้าวฝานเม่าบุตรชายคนเล็กของเขาก็อยู่ในแถวด้วย ฤดูหนาวว่างจากการเก็บเกี่ยวจึงถือโอกาสก่อนที่หิมะตกหนักจะมาถึง ได้หาเงินจากงานใช้แรงสักหน่อย ผู้ใดก็ล้วนยินยอมทำทั้งสิ้น
เมื่อหลิ่วฉางผิงลงนามชาวบ้านเรียบร้อย จึงนำทางคนหนึ่งกลุ่มไปแบ่งเขตพื้นที่เพื่อจัดการงานในวันพรุ่งนี้ขึ้น
ในป่านานาพันธุ์หนึ่งผืนใหญ่ ต้นไม้ด้านในเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน มีหลายประเภทแตกต่างไม่เป็ระเบียบ ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่เหมาะสำหรับสร้างบ้านเรือนหรือทำเครื่องเรือนส่วนมากถูกชาวบ้านโค่นไปหมดสิ้นแล้ว ต้นไม้ที่เหลืออยู่ล้วนเป็ต้นไม้ยิบย่อยที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่มาก
แบ่งกลุ่มเป็ห้ากลุ่ม จัดสรรคร่าวๆ ตามจำนวนคนและขนาดของต้นไม้ ในวันพรุ่งนี้ตอนรุ่งเช้าก็เริ่มงานได้
หลิ่วฉางผิงเก็บสมุดใส่แขนเสื้อกลับไปบ้านสกุลหู คิดจะนำสมุดรายชื่อไปให้หลัวจิ่งดูสักรอบ แต่หลัวจิ่งกลับไม่อยู่ พอถามจึงได้รู้ว่าเขาไปทางโรงเรียนสอนการต่อสู้เพื่อดูม้าป่าที่ฟางเสิงกับอาชิงจับมา
หลิ่วฉางผิงจึงนำสมุดรายชื่อไปให้เจินจูตรวจสอบ เจินจูพลิกดูอย่างลวกๆ เล็กน้อย แล้วให้เขานำไปมอบแก่หวงถิงเฉิงทำการคัดหนึ่งฉบับ เพื่อตอนจ่ายเงินจะได้ตรวจสอบรายชื่อไปด้วย
ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้เสร็จ ดวงอาทิตย์ก็จวนใกล้จะลาลับลงไปหลังูเา
ในห้องครัว หลี่ซื่อ หวังซื่อ พานเสวี่ยหลัน และจ้าวหงยู่ยุ่งอยู่ตลอดไม่ได้พัก
มีห่านสี่ตัวที่หลัวจิ่งซื้อมาจากในเมือง ปลากินหญ้าตัวใหญ่หกตัว เต้าหู้หนึ่งแผ่นและสุราห้าไห
เขาบอกกับหลี่ซื่อว่า เขาคิดถึงหม่าล่าต้มปลาใส่ผักดองของสกุลหู หลี่ซื่อยิ้มและพยักหน้ารับทันที
งานเลี้ยงตอนเย็น ผู้ที่เชิญมามีหัวหน้าหมู่บ้าน ซิ่วฉายหยาง ฟางเสิง หลิงเสี่ยนและหลิ่วฉางผิงเพียงไม่กี่คน ล้วนเป็คนคุ้นเคยที่รู้จักกันในเมื่อก่อนทั้งสิ้น รวมกับหูเฉวียนฝูและสองพี่น้องสกุลหู อีกทั้งมีหลัวสือซาน ผิงอัน ผิงซุ่น อาชิง และหลิงซี ในหนึ่งโต๊ะเ้าของงานเลี้ยงนั่งกันเต็มเปี่ยมอัดแน่น
ส่วนโต๊ะสตรีที่อยู่ด้านข้างมีหวงซื่อที่พาเหม่ยเยว่ผู้เป็หลานสาวคนเล็กมาด้วย ภรรยาของซิ่วฉายหยางพาอาหยุนมาด้วย เหลียงซื่อก็พาผิงซั่นมาด้วยเช่นกัน ทั้งยังมีเจี่ยงซื่อ หลี่ซื่อ และหวังซื่อ พร้อมทั้งจ้าวหงยู่ พานเสวี่ยหลัน เจินจูและชุ่ยจูก็นั่งเต็มเป็หนึ่งโต๊ะด้วยเช่นกัน
หม่าล่าต้มปลาใส่ผักดองอยู่ในถ้วยก้นลึกใบใหญ่มีไอร้อนกรุ่นจัดวางอยู่ตรงกลาง รอบๆ เป็เนื้อพะโล้ กุนเชียง เนื้อตากแห้ง เนื้อห่านไปจนกระทั่งอาหารจำพวกน้ำแกงและผักที่ปลูกไว้ในบริเวณบ้านทั้งหมดเต็มหนึ่งโต๊ะกลม
มุมภายในห้องโถงวางกระถางถ่านไว้สองกระถาง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ภายในห้องอบอุ่นขึ้น ทำให้อาหารที่ตั้งเต็มอยู่บนโต๊ะไม่ถึงกับเย็นเร็วเกินไป
เจี่ยงซื่อมองหลัวจิ่งที่โต๊ะเ้าภาพงานเลี้ยงอย่างตกตะลึง นางเอียงกายกล่าวกับหวงซื่อด้วยเสียงต่ำ “ตอนแรก ข้าเคยบอกแล้ว เด็กผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ท่านดูสิแค่สามปีสั้นๆ ก็ะโขึ้นมากลายเป็ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสี่แล้ว”
หวงซื่อพยักหน้ากล่าวคล้อยตาม “นั่นน่ะสิ ตอนนั้นพวกข้าล้วนรู้สึกว่าเด็กผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลย”
ทั่วทั้งใบหน้านางเต็มไปด้วยความอิจฉาชื่นชมเป็อย่างมาก มองไปมาเล็กน้อยก่อนกล่าว “ไม่รู้ว่าบุตรสาวครอบครัวผู้ใดจะมีวาสนาแต่งให้เขาได้”
การกระทำที่กำลังคีบผักของเจินจูหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ชำเลืองมองไปทางนางหนึ่งที
เชิงอรรถ
[1] รายได้สีเทา หมายถึง รายได้นอกเหนือจากเบี้ยเลี้ยง เช่น เงินใต้โต๊ะ เป็ต้น
[2] ขุนนางสุจริตสามปี มีเงินดังหิมะแสนเกล็ด หมายถึง ไม่ว่าขุนนางจะซื่อสัตย์สุจริตเพียงใด ย่อมได้รับเงินรายได้สีเทา และมีแสนตำลึงภายในสามปีแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้