“เ้าทำคลอดเป็หรือ?” สตรีในรถม้าได้ยินสิ่งที่หลินฟู่อินกล่าวก็ปิดความประหลาดใจไว้ไม่มิด จนต้องเปิดม่านออกมาดู และเมื่อเห็นหน้าหลินฟู่อินแล้วก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
เด็ก… เด็กสาววัยเท่านี้ทำคลอดเป็หรือ?
นี่คิดจะหลอกลวงกันหรืออย่างไร?
“ข้ารู้วิชาแพทย์และข้าทำคลอดเป็ นี่เป็เื่ที่รู้กันทั่วไปในหมู่บ้านของข้า” สตรีวัยกลางคนผู้นี้ประดับร่างไปด้วยเครื่องเงินและทอง ชุดที่สวมทำจากผ้าไหมชั้นดี จึงเดาได้ไม่ยากว่ามีฐานะไม่ธรรมดา และเมื่อเห็นว่านางกำลังมีสีหน้าประหลาดใจ หลินฟู่อินจึงชี้ไปยังชาวบ้านบนรถเทียมลาแล้วกล่าว “พวกเขาต่างก็เป็เพื่อนร่วมหมู่บ้านของข้า หากไม่เชื่อก็ถามพวกเขาได้เลย”
เมื่อสตรีวัยกลางคนผู้นั้นเห็นว่าหลินฟู่อินมีท่าทีเปิดเผย ดวงตาดูใสกระจ่างไร้ซึ่งความคิดแอบแฝง น้ำเสียงหนักแน่นแสดงถึงความมั่นใจ นางจึงเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง
“ฮูหยิน ที่นี่ยังห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก และการใช้ลาลากไปก็คงไม่ทัน และถึงจะทันและไปถึงโรงหมอที่ดีที่สุดในเมืองได้ แต่ที่นั่นก็ไม่มีหมอตำแย เพราะอย่างนั้นการให้ข้าลองก็ไม่ได้เสียหายอันใด” น้ำเสียงของหลินฟู่อินนั้นทั้งสงบนิ่งและชวนให้ผ่อนคลาย
สตรีวัยกลางคนเห็นว่าแม้เด็กสาวผู้นี้จะมีการแต่งกายที่ดูไม่เตะตา แต่กลับมีบรรยากาศที่ดูโดดเด่น ทั้งยังช่วยให้คนที่มองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้ สตรีวัยกลางคนจึงคิดขึ้นมาว่าหากนางอยากลอง ก็น่าจะให้นางลองก็ไม่ได้เสียหายอันใด
หากไม่ได้ผลขึ้นมา นางก็สามารถนำเื่นี้กลับไปเป็ข้ออ้างกับผู้เฒ่าและคุณชายใหญ่ได้ด้วย
“เช่นนั้นแล้วก็รีบมาดูอาการของสะใภ้ข้าเสีย ตอนนี้นางเ็ปมาก!” สตรีวัยกลางคนรีบกล่าว
หลินฟู่อินปีนขึ้นไปบนรถม้า แล้วจึงได้พบกับสะใภ้เล็กที่สวมอาภรณ์คนมีครรภ์สีองุ่น บนศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าขาว ใบหน้าอันเ็ปเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ ไร้สิ้นแม้กระทั่งกำลังในการสังเกตหลินฟู่อินผู้ย่างกรายเข้ามาในรถม้า
“แม่นาง สะใภ้เล็กของข้าตั้งท้องมาได้เก้าเดือนแล้ว เหตุใดนางจึงพร้อมคลอดแล้วกัน? หากคิดตามปกติแล้วก็น่าจะยังเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งเดือนมิใช่หรือ!” สตรีวัยกลางคนดูไม่พอใจกับการคลอดก่อนกำหนดของสะใภ้มาก เพราะนางคิดว่าการคลอดก่อนกำหนดนี้มันเกิดจากการที่สะใภ้ไม่แข็งแรงพอ
แต่หลินฟู่อินรู้ดีว่าในทางการแพทย์ การคลอดก่อนเพียงสองสัปดาห์มันไม่ใช่การคลอดก่อนกำหนดเลย หากมารดายังเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนจะถึงกำหนดคลอด นั่นก็แปลว่าเด็กเติบโตได้ดีพอที่จะอุดช่องว่างสองสัปดาห์นั้นแล้ว จนเป็ผลให้สามารถคลอดได้ทุกเมื่อ
แต่แน่นอนว่ามันอาจจะเป็ผลมาจากการที่ผู้เป็มารดาต้องนั่งอยู่ในรถม้าที่สั่นไม่หยุดเป็ระยะเวลานานด้วย
“ฮูหยินโปรดอย่ากังวล หากมันยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนตามที่ฮูหยินว่าจริงๆ เช่นนั้นก็นับได้ว่านี่เป็สถานการณ์ปกติ” หลินฟู่อินกล่อมนาง ก่อนจะหันไปมองพินิจใบหน้าของผู้เป็มารดาอย่างถี่ถ้วนพลางจับชีพจรไปด้วย แล้วจึงมั่นใจว่าสถานการณ์ยังปลอดภัย
สตรีวัยกลางคนได้ยินหลินฟู่อินกล่าวอย่างมั่นใจไร้ซึ่งความลังเลเช่นนี้ ทั้งมือยังจับชีพจรของสะใภ้ตนอย่างใจเย็น ก็รู้สึกขึ้นมาว่านางอาจได้พบกับหมอตัวจริงเข้าแล้ว
โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่ ทั้งยังมียอดฝีมือวัยเยาว์อยู่ทั่ว และนางก็รู้ดีว่าคนเรามองแค่เปลือกนอกไม่ได้
หลินฟู่อินไม่รู้สึกถึงสายตาที่แฝงไว้ด้วยความคิดอันซับซ้อนของสตรีวัยกลางคน เพราะนางกำลังมองพินิจสะใภ้เล็กอยู่ และเมื่อเห็นว่า่ล่างของนางชุ่มไปด้วยน้ำคร่ำ ฟู่อินจึงหันกลับมากล่าวกับสตรีวัยกลางคน “ฮูหยิน ช่วยข้าถอดชุดคลุมท้องทีเ้าค่ะ ข้าจะดูอาการ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีวัยกลางคนจึงนิ่วหน้าขึ้นมา เพราะสตรีนางนี้เป็สะใภ้ของนาง ไม่ใช่บุตรสาว นางจึงไม่อยากเปื้อนน้ำคร่ำ…
สายตาของนางหม่นหมองลง
หลินฟู่อินเห็นว่านางนั่งนิ่งไม่ขยับ จึงขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “ฮูหยินคิดอะไรอยู่กันถึงให้คนมีครรภ์ใกล้คลอดมานั่งรถม้าเช่นนี้ ทั้งที่มันเป็อันตรายทั้งกับตัวมารดาและเด็กในท้องแท้ๆ”
หลินฟู่อินเดาว่าตัวสะใภ้เองก็คงไม่ได้อยากมานั่งรถม้าใน่เดือนนี้มากนัก แต่สู้แรงครอบครัวไม่ไหว หลินฟู่อินจึงจงใจเลือกคำที่จะจี้ใจดำสตรีวัยกลางคนผู้นี้โดยเฉพาะ
และชัดเจนว่าสตรีวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่มารดาแท้ๆ เพราะหากเป็มารดาแท้ๆ คงไม่รังเกียจน้ำคร่ำของบุตรตัวเอง มาช่วยถอดชุดปูผ้าให้แล้วเป็แน่
เพราะผ้าปูก็พับวางอยู่ตรงมุมรถม้านั่น สีสันโดดเด่นจนแทงตานางั้แ่ตอนปีนขึ้นมาแล้ว
ได้ยินหลินฟู่อินกล่าวเช่นนี้ สตรีวัยกลางคนจึงหน้าตึงไปครู่หนึ่ง ในใจเริ่มคุกรุ่น แต่เพราะตอนนี้อยู่ในที่เปิด และไม่อยากเปิดเผยปัญหาภายในให้คนนอกเช่นหลินฟู่อินรู้
นางจึงส่งเสียงเรียกออกไปยังด้านนอก “ชิวหมัวมัว เรียบร้อยหรือยัง?”
ชิวหมัวมัวนำถุงเงินออกไปแจกจ่ายเป็ค่าทำขวัญให้เหล่าชาวบ้าน และเจรจาเพื่อขอซื้อลาจากลุงหลิว
แต่ลุงหลิวไม่อยากขาย
ชิวหมัวมัวไม่พอใจเมื่อเห็นว่าลุงหลิวไม่อยากขาย แต่เพราะได้ยินเสียงนายเรียกขึ้นมา นางจึงรีบกลับไปที่รถม้าทันที
“กลับมาแล้วเ้าค่ะ ฮูหยิน เ้าบ้านนอกนั่นบอกว่าไม่อยากขายเ้าค่ะ…”
“ไม่อยากขายก็ไม่ต้องขาย เ้ารีบไปถอดผ้าให้สะใภ้ก่อน แล้วใช้ผ้าสะอาดห่มแทนเสีย” สตรีวัยกลางคนสั่งด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน
หลินฟู่อินแค่นจมูก และเมื่อลองดูอาการอีกครั้งก็เห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนที่จะคลอด
“ปูผ้ารองไว้ก่อน แล้วนำผ้าสะอาดมาห่มให้นาง” หลินฟู่อินเห็นชิวหมัวมัวเปิดกล่องแล้วนำชั้นในสีขาวออกมา นางจึงชี้ไปยังผ้าสะอาดที่พับไว้
ชิวหมัวมัวมองหลินฟู่อินอย่างไม่พอใจ เพราะไม่ชอบโทนเสียงที่ใช้สั่งของนางมากนัก
“ทำตามที่แม่นางสั่ง” สตรีวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้น หากเด็กในท้องนั่นเป็หลานชายของนางตามที่นักทำนายจ้าวบอกไว้แล้วจริงๆ ละก็ นางก็น่าจะอ่อนโยนกับสะใภ้ที่ให้กำเนิดหลานสาวมาแล้วสามคนเสียหน่อยมิใช่หรือ?
“รับสั่งฮูหยิน” ชิวหมัวมัวตอบรับทันที เมื่อนายสั่งมา นางก็มีแต่ต้องฟัง
หลังจากช่วยปูผ้าแล้ว ชิวหมัวมัวจึงหันไปมองสะใภ้เล็กผู้นั้นแล้วกล่าว “สะใภ้เล็ก ดูความใส่ใจของแม่สามีของท่านนี่สิ สำนึกไว้แล้วคลอดหลานชายที่สุขภาพดีออกมาเสีย!”
สะใภ้เล็กหันไปมองสตรีวัยกลางคนแล้วกล่าว “ท่านแม่… นัก… นักทำนายจ้าวบอกข้าว่า… บอกข้าว่าเด็กคนนี้… ว่าเด็กคนนี้ต้องเป็เด็กผู้ชายแน่ๆ เ้าค่ะ!”
“อะแฮ่ม” สตรีวัยกลางคนเห็นว่านางสะใภ้โง่นี้เผยเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ออกมาให้คนนอกฟังง่ายๆ จึงกระแอมเพื่อเตือนให้เงียบ
น่าเสียดายที่สะใภ้ไม่ทันได้สังเกต และรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง
หลินฟู่อินส่งสัญญาณให้นางหยุดะโแล้วเก็บแรงไว้
นางมองออกว่าสตรีผู้นี้เคยผ่านการคลอดมาก่อนแล้ว ดังนั้นนี่จึงไม่น่าใช่กรณีที่ยากอะไรนัก
ทั้งยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการคลอดยาก หลินฟู่อินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แต่นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกนางเหล่านี้จะเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อพบกับนักทำนายจ้าวโดยเฉพาะ
นักทำนายจ้าวนี่ทำนายได้ยันเพศของเด็กเชียวหรือ? แต่หากทำไม่ได้แล้ว ตระกูลที่ดูมีสกุลเช่นนี้ก็คงไม่ถ่อมาหาถึงที่นี่เป็แน่
แต่ถึงขั้นที่คนท้องยังต้องถ่อมาหาถึงที่เช่นนี้
ดูท่านักทำนายจ้าวจะไม่ใช่แค่พวกต้มตุ๋นเช่นที่นางคิด แต่มีฝีมือจริงๆ เสียแล้ว
แต่เ้านั่นก็เคยหาว่านางเป็ดาวหายนะ นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน?
“แม่นาง เ้ามีวัยเพียงเท่านี้แต่กลับทำคลอดได้แล้วเช่นนั้นหรือ… ไม่เลวเลย” เมื่อสตรีวัยกลางคนเห็นว่าแม้หลินฟู่อินจะยังเยาว์วัย แต่กลับรับมือการทำคลอดได้อย่างเยือกเย็นและเชี่ยวชาญ นางจึงอดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้
คำกล่าวของนางดึงสติของหลินฟู่อินกลับมา นางจึงคลี่ยิ้มออกมาแล้วกล่าวเรียบๆ “ได้มาจากพื้นเพของครอบครัวน่ะเ้าค่ะ”
“โห? พื้นเพของตระกูลหรือ? เช่นนั้นก็แปลว่าแม่นางมาจากตระกูลหมอที่มีชื่อเช่นนั้นหรือ?” สตรีวัยกลางคนยังคงถามต่อ
หลินฟู่อินเองรู้ดีว่าสตรีผู้นี้กำลังซักไซ้นางอยู่ แต่หลินฟู่อินไม่สนใจ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงแล้วการทำคลอดเป็เพียงส่วนหนึ่งของวิชาที่ข้ามีเท่านั้น อย่างไรเสีย คนที่ทำคลอดเป็ก็มีไม่มาก”
ดวงตาของสตรีวัยกลางคนเป็ประกายขี้นมา แล้วจึงถามต่อด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่แม่นางถนัดที่สุดคือสิ่งใดหรือ?”
“ที่ข้าถนัดที่สุดคือนรีเวชเ้าค่ะ เหล่าสตรีในเมืองมักจะเรียกให้ข้าไปดูอาการให้อยู่บ่อยครั้ง” หลินฟู่อินนำให้สะใภ้เล็กหายใจอย่างถูกวิธีพร้อมกับสนทนากับสตรีวัยกลางคน
เมื่อได้ยินว่านางเชี่ยวชาญนรีเวชแล้ว สตรีวัยกลางคนจึงเบิกตากว้างขึ้น
หมอใหญ่ที่เชี่ยวชาญนรีเวชนั้นมีเพียงหยิบมือ และผู้เชี่ยวชาญเ่าั้ต่างก็เป็บุรุษ แม้จะมีสตรีที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์อยู่บ้างก็ตาม แต่คนที่กล้าออกตัวว่าตนกำลังศึกษาวิชาแพทย์อยู่กลับมีน้อย…
“เ้ามาจากที่ใดหรือ” สตรีวัยกลางคนถาม จากนั้นจึงแนะนำตัว “สามีข้าสกุลซ่ง เป็จ้าวเมืองของเมืองหนิง เรียกข้าว่าซ่งฮูหยินก็ได้ ”
หลินฟู่อินรู้อยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้คงมีฐานะไม่ธรรมดา แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็ถึงภรรยาของเ้าเมืองเมืองหนิง และสะใภ้ของเ้าเมือง
“ขอทักทายซ่งฮูหยินและนายหญิงซ่ง” หลินฟู่อินทักทายอย่างสุภาพด้วยท่าทีอ่อนน้อม และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม “ข้าสกุลหลิน มาจากหมู่บ้านหูลู่ที่เป็หมู่บ้านใกล้เคียงของหมู่บ้านจ้าวเจี่ยเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนางวางตัวเช่นนี้ ซ่งฮูหยินจึงพยักหน้าย้ำๆ “แม่นางหลินช่างมีมารยาทงามนัก” จากนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่านางบอกว่าหมู่บ้านของนางอยู่ข้างหมู่บ้านจ้าวเจี่ย ั์ตาของนางจึงเป็ประกายขึ้นมา
แล้วนางจึงไถ่ถามด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อแม่นางหลินมาจากหมู่บ้านข้างเคียงของหมู่บ้านจ้าวเจี่ย เช่นนั้นก็คงรู้จักนักทำนายจ้าวจากหมู่บ้านนั้นใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าข้ารู้จักเ้าค่ะ” หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วกล่าวกับสตรีมีครรภ์ “ตอนนี้แหวกมาเก้านิ้วแล้วเ้าค่ะ หายใจเข้าออกตามที่ข้าบอกไปเมื่อครู่เสีย แล้วพยายามเก็บลมหายใจไว้ อย่าได้กังวล นี่ไม่ใช่การคลอดครั้งแรกของท่าน ข้าต้องทำให้พวกท่านปลอดภัยทั้งแม่และลูกแน่นอน!”
สตรีมีครรภ์กำลังเ็ป แต่เมื่อนางเห็นว่าแม่สามีของนางไม่แม้แต่จะปลอบประโลมนาง ทั้งยังให้เด็กสาวที่เป็คนทำคลอดมาปลอบนางแทน จึงไม่พอใจมาก แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทนเจ็บต่อไปเพื่อให้แม่สามียังสนใจนาง
หลินฟู่อินเดาความคิดของนางออก นางจึงต้องอ้าปากกล่าวสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้เป็มารดาผู้นี้มีสมาธิอยู่กับการคลอด และคอยปลอบประโลมว่าอย่าได้กังวล
และเมื่อซ่งฮูหยินได้เห็นว่าหลินฟู่อินพยายามปลอบประโลมเพื่อความปลอดภัยของมารดาและบุตรแล้ว นางจึงยิ่งดีใจขึ้น สายตาที่มองหลินฟู่อินอยู่อ่อนโยนลง
“แม่นางหลิน นายหญิงของข้าถามท่านอยู่นะว่ารู้จักนักทำนายจ้าวหรือไม่?” เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่ยอมตอบคำถามของนายหญิงของนางในทันทีแล้ว ชิวหมัวมัวจึงมีโทสะเกิดขึ้นในใจ
หลินฟู่อินไม่แม้แต่จะปรายตามองสาวใช้เฒ่าที่ทำทีใหญ่โตผู้นี้ นางเพียงกล่าวกับซ่งฮูหยินอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เคยรู้เลยว่านักทำนายจ้าวนั่นจะทำนายได้ด้วยว่าเด็กที่จะเกิดมาเป็ชายหรือหญิง”
ซ่งฮูหยินยิ้มออกอย่างตื่นเต้น สายตาแฝงไว้ด้วยประกายลึกลับ “แม่นางหลินอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้แท้ๆ แต่กลับไม่รู้ถึงความสามารถของนักทำนายจ้าวเลยหรือ?”
หลินฟู่อินส่ายหน้า
ชิวหมัวมัวมองหลินฟู่อินอย่างดูแคลน “นายหญิง พวกขุนนางมักเก็บการมาพบกับนักทำนายจ้าวไว้เป็ความลับอยู่แล้ว การที่คนเช่นแม่นางหลินจะไม่รู้ก็คงไม่แปลกเ้าค่ะ”
หลินฟู่อินหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่า ‘พวกขุนนาง’ นางจึงหรี่ตาลงแล้วถามอย่างสนใจ “ซ่งฮูหยิน นักทำนายจ้าวสามารถทำนายเพศของเด็กที่จะเกิดได้ด้วยหรือเ้าคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้