หากมองตามสถานการณ์ปัจจุบัน สวี่ชิวเยวี่ยคงจะได้รับชัยชนะติดต่อกันอีกครั้งอย่างแน่นอน ทว่าเยวี่ยเจาหรานของพวกเราเองก็ไม่ใช่กระจอกหรอกนะ ถึงอย่างไรก็เป็ ‘สตรี’ ที่ร่ำเรียนการทำศึกในบ้านจากฮองเฮามาแล้ว อีกด้านหนึ่งก็ยังเป็คนหนุ่มหน่วยก้านดีที่พอมีวรยุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง ย่อมไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก!
เพื่อทำลายความฝันที่ชนะอีกครั้งของสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้น เขาสะกิดพื้นกระเบื้องเล็กน้อย แล้วทะยานตัวขึ้นไปด้วยวิชาตัวเบาที่ไม่ได้ชำนาญเท่าไรนัก คว้ากาน้ำชาที่กำลังตกลงมาเอาไว้...
ให้ตาย นี่มันร้อนชะมัด!
พร้อมกับที่มือถูกกาน้ำชาลวกจนเหลือจะทนได้ เยวี่ยเจาหรานเองก็ทิ้งตัวกลับลงมาที่พื้นอย่างมั่นคงและราบรื่น เพื่อให้การเคลื่อนไหวของตนดูดีและสง่างามสักหน่อย เยวี่ยเจาหรานจึงอดกลั้นความเ็ปที่ถูกลวกที่มืออย่างสุดฤทธิ์ แล้วแสดงท่าทางที่เดิมทีก็งดงามอยู่แล้วออกมา
เมื่อหันไปมองสวี่ชิวเยวี่ยและฮูหยินเยี่ยนที่อยู่อีกด้านหนึ่งอีกครั้ง ก็คงใช้คำว่าคนล้มคว่ำม้าคะมำหงาย มาบรรยายได้อย่างพอดิบพอดี ทั้งตัวสวี่ชิวเยวี่ยนั้นกดทับอยู่บนร่างของฮูหยินเยี่ยน คร่อมคลุมฮูหยินเยี่ยนเอาไว้จนมิด โผล่ออกมาแค่ใบหน้าเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังมีสีหน้าที่ทรมานอย่างยิ่งจากการถูกทับจนเจ็บตัวอีกด้วย
ขนมดอกท้อที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ได้กลายเป็ที่เกิดอุบัติเหตุทางจราจรไปแล้วโดยสมบูรณ์ แป้งทอดกรอบสีชมพูกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นกระเบื้อง ราวกับกำลังส่งเสียงร่ำไห้ครั้งสุดท้ายไปยังสวี่ชิวเยวี่ย ทำไม ทำไมต้องสังเวยพวกเราผู้บริสุทธิ์ ให้กลายเป็เส้นทางเหยียบย่างอันล้มเหลวของเ้าด้วย!
แน่นอนว่า สวี่ชิวเยวี่ยในยามนี้ไม่ได้ยินเสียงะโของเหล่าขนมดอกท้อหรอก ถึงอย่างไรนางก็ยังหมกมุ่นในความสำเร็จที่คิดไปเองนั้นอยู่ จนไม่ได้ใส่ใจว่าร่างกายของ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ในยามนี้นั้นดูกำยำเพียงใด
“คือว่า... เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยรีบลุกขึ้นเถอะ เ้าทับท่านแม่เจ็บหมดแล้ว”
แม้ว่าฝันหวานของเหล่าหญิงสาวจะชื่นมื่นรื่นรมย์ แต่เยวี่ยเจาหรานก็ขัดจังหวะหวานชื่นในหัวของสวี่ชิวเยวี่ยอยู่ดี เพราะไม่อาจอดทนต่อ ในเมื่อความจริงแล้วมือของเขาถูกลวกจนแดงแจ๋
ความจริงแล้วในใจของสวี่ชิวเยวี่ยยามนี้ก็โหวงเหวงไปชั่วขณะอย่างไม่รู้สาเหตุ อย่างเช่นว่าทำไมกาน้ำชาที่หล่นลงบนพื้นถึงไม่แตก แถมยังไม่มีเสียงที่มันควรจะมีอีกด้วย? หรือว่ากาน้ำชาจะไม่ได้หล่นลงบนพื้น แล้วไปตกลงบนเบาะนุ่มๆ ของเก้าอี้แถวๆ นี้อย่างนั้นหรือ...?
แต่ว่าน้ำเสียงสงบนิ่งของเยวี่ยเจาหราน ก็ได้ให้คำตอบกับสวี่ชิวเยวี่ยไปแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตะลึงงัน และเห็นเยวี่ยเจาหรานที่วางกาน้ำชาในมือลงบนโต๊ะข้างๆ ฮูหยินเยี่ยนด้วยความเฉยเมยเข้าพอดี
ละครเื่นี้ไม่ได้ดำเนินไปตามแผนของตนอย่างนั้นหรือ?! สวี่ชิวเยวี่ยยืดตัวตรงขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะอุทานด้วยความตื่นตะลึง ก็ถูกเสียงไอของฮูหยินเยี่ยนดึงสติกลับมาเสียก่อน
“โอย... แค่กๆ แค่กๆ ...”
เพราะเสียงไอของฮูหยินเยี่ยน ดึงให้สวี่ชิวเยวี่ยหันไปมองด้วยความตื่นตระหนก พลางยกมือขึ้นลูบหน้าอกให้อีกฝ่ายไปด้วย “ท่านป้า ท่านป้าไม่เป็ไรนะเ้าคะ... ?”
เยวี่ยเจาหรานวางน้ำชาในมือลง แล้วแอบถูมือเพื่อบรรเทาความร้อนที่ถูกลวกลงบ้างเล็กน้อย ลอบก่นด่าอยู่ในใจ เกือบจะได้โดนเ้าทับตายอยู่รอมร่อ ไม่เป็ไรก็แปลกแล้ว!
“ไม่ ไม่เป็ไรๆ ...”
บางทีอาจเป็เพราะสวี่ชิวเยวี่ยพุ่งเข้ามากะทันหัน ฮูหยินเยี่ยนจึงไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวอะไรมากนัก ตรงกันข้ามกลับถือหางเข้าข้างกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรสวี่ชิวเยวี่ยก็เป็กำลังชั้นเยี่ยมของตน หากจะหักหน้าสวี่ชิวเยวี่ยเพราะเื่นี้ เช่นนั้นจะไม่เป็การหักหน้าตนเองไปด้วยหรอกหรือ
ดังนั้นเยวี่ยเจาหรานจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก อย่างไรเสียคนที่ทุกข์ทรมานก็คือพวกเขา ตนเองก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เหตุใดจะต้องสนใจว่าพวกนางจะก่อศึกกันเองเพราะตนหรือไม่ด้วยเล่า?
“โชคดีจริงๆ ท่านแม่ เหล่าจวินเหมยของท่านปลอดภัยดี ตกอกใเสียขนาดนั้น ท่านรีบดื่มสักถ้วยคลายความตระหนกเถิดเ้าค่ะ” เยวี่ยเจาหรานรินชาให้ฮูหยินเยี่ยนถ้วยหนึ่งได้อย่างถูกเวลา เขาประคองสองมือยกไปให้ พลางเอ่ยสั่งข้างนอก “หลิงหลง เรียกสาวใช้มาสักคน ให้เก็บกวาดขนมดอกท้อบนพื้นไปหน่อย”
พูดไปพูดมา เยวี่ยเจาหรานก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอย่างชาญฉลาดดุจเทพประสาทพรให้ “ที่ประตูหลังของเรือนตะวันออกมักจะมีสุนัขจรจัดสองสามตัววนเวียนอยู่บ่อยๆ ขนมดอกท้อนี้เอาไปทิ้งก็เสียเปล่า เอาไปให้พวกมันกินดีกว่า นับว่าเป็บุญเป็กุศล”
เ้าเห็นหรือไม่ ภาพลักษณ์คนใจดีที่ช่วยเหลือสุนัขนี้ ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นมากันได้ง่ายๆ นะ? เยวี่ยเจาหรานเหลือบตามองสวี่ชิวเยวี่ยที่ยังอยู่ในความตกตะลึง ยังคิดว่าต้องขอบคุณนางที่ให้โอกาสนี้กับตนสักหน่อยหรือไม่
ฮูหยินเยี่ยนรับชามา ทางสวี่ชิวเยวี่ยเองก็เก็บกวาดความพังพินาศเรียบร้อยแล้ว นางยกมือขึ้นจัดปิ่นกลัดมวยผมของตน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชิวเยวี่ยไม่รู้เลยว่าพี่สะใภ้จะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย คิดเพียงกลัวว่าท่านป้าจะตื่นใ ที่ไหนได้ ทำเื่น่าอับอายต่อหน้ายอดฝีมือเสียแล้ว...”
ต้องบอกเลยว่า ความสามารถในการพูกแฝงนัยของสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ นางชมเยวี่ยเจาหราน ขณะเดียวกันยังชี้แจงถึง ‘จรรยา’ ที่ตนมุ่งหมาย ว่าในใจเต็มไปด้วยความคิดที่จะปกป้องฮูหยินเยี่ยนทั้งสิ้น ดูภายนอกแม้จะเหมือนเสียปราการชั้นหนึ่ง แต่ความจริงภายในนั้นกลับเหนี่ยวรั้งกลับมาได้อีกหนึ่งขั้น
เยวี่ยเจาหรานรับรู้อยู่ในใจ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแย้มยิ้มแล้วจึงเอ่ย “เปี่ยวเม่ยชมเกินไปแล้ว โชคดีที่เปี่ยวเม่ยปกป้องท่านแม่เอาไว้ ข้าถึงมีโอกาสกู้ชากานี้ลงมาได้ ไม่เช่นนั้นหากเสียเหล่าจวินเหมยที่ท่านแม่ชื่นชอบไป ก็ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเสียใจแค่ไหน”
ในขณะที่พูดอยู่ เยวี่ยเจาหรานก็เทน้ำชาส่งไปให้สวี่ชิวเยวี่ยถ้วยหนึ่งด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดงของสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานก็รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นั่นเป็สิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วเ้าค่ะ พี่สะใภ้ขอบคุณอะไรกัน พี่สะใภ้ต่างหากที่วรยุทธ์ดีเลิศ ไม่ทราบว่าร่ำเรียนมาจากที่ใด? ได้ยินเขาว่ากันว่าเรียนวิชายุทธ์นั้น ต้องยึดติดมือเท้า เรียนรู้ไปทีละก้าว...”
สวี่ชิวเยวี่ยนั้นแม้จะรับชามาด้วยรอยยิ้ม แต่ความมุ่งร้ายในคำพูดนั้นกลับเห็นได้ชัดเจน เยวี่ยเจาหรานถอยไปข้างหลังเล็กน้อย พลางมองฮูหยินเยี่ยนที่กำลังดื่มชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วรีบเอ่ยตอบ “เปี่ยวเม่ยระวังคำพูดด้วย! ว่ากันว่าสตรีไร้สามารถเป็จรรยา แต่การเรียนวรยุทธ์ป้องกันตัวเองนั้นก็เป็สิ่งที่สมควร ความสามารถเล็กน้อยของข้านี้ ก็เรียนมาจากอวิ๋นเฟยเช่นกัน ได้ยินมาว่าวรยุทธ์ของท่านแม่เมื่อกาลก่อนเอง ก็ได้รับการชี้แนะมาจากท่านพ่อด้วยเช่นกัน”
“อืม นั่นก็ไม่ผิดหรอก” ฮูหยินเยี่ยนวางถ้วยชาในมือลง เอ่ยตัดประเด็นสนทนา สวี่ชิวเยวี่ยที่ถูกสกัดคำพูด สีหน้าย่ำแย่ดูไม่ได้
ทั้งสองมองไปยังฮูหยินเยี่ยนพร้อมกัน ศึกในวันนี้ คงได้ผู้แพ้ชนะออกมาแล้ว
“เหล่าจวินเหมยนี้ ไม่เลวทีเดียว” ฮูหยินเยี่ยนนั้นจบเื่ราวดั่งฝุ่นผงที่ร่วงหล่นจนหมด นางเพียงแค่เอ่ยออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในใจของเยวี่ยเจาหรานรู้สึกดีไม่น้อย เขาคำนับไปทางฮูหยินเยี่ยน และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ในแววตาของสวี่ชิวเยวี่ยเผยความอำมหิต แต่ก็เก็บหายไปในพริบตา ไม่กล้าเอ่ยมากความ
“เห็นการเคลื่อนไหวรับกาน้ำชานั้นของเ้าเมื่อครู่ คิดว่าร่างกายคงจะดีขึ้นมากแล้วสินะ?” น้ำเสียงของฮูหยินเยี่ยนไม่รู้อารมณ์แน่ชัด เอ่ยกับเยวี่ยเจาหราน เขาหลุบตาลง แล้วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วเ้าค่ะ เดิมทีนั้นอยากให้ท่านได้เห็น ว่าร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับคิดหาหนทางไม่ได้ โชคดีที่เมื่อครู่เปี่ยวเม่ยสวี่ชิวเยวี่ยเดินไม่มั่นคงจนเกี่ยวข้าสะดุด ถึงได้มีฉากดีๆ นี้ขึ้นมา และได้แสดงให้ท่านวางใจได้บ้าง”
เยวี่ยเจาหรานสีหน้านิ่งสงบ แล้วหันกลับไปยิ้มให้กับสวี่ชิวเยวี่ย ในคำพูดเ่าั้ ได้ล้วงเอาจิตใจสกปรกนั้นของสวี่ชิวเยวี่ยออกมาทั้งหมดแล้ว
ระหว่างคนทั้งสามเกิดความอึดอัดขึ้นมาแปลกประหลาด แต่สุดท้ายกลับถูกฮูหยินเยี่ยนปิดกั้นลง “ในเมื่อหายดีแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ” เยวี่ยเจาหรานนั้นเข้าใจว่า ‘พอหอมปากหอมคอ’ คืออะไร ย่อมไม่รั้งอยู่ ถอยออกไปอย่างสำรวม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้