“พี่เฟิง นี่ท่านหักโหมเกินไปแล้ว”
เมื่อมาเห็นสภาพมู่เฟิงที่ผล็อยหลับอยู่ที่ริมน้ำ ไป๋จื่อเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม จากนั้นเขาก็แบกร่างของมู่เฟิงขึ้นหลัง
“ในใจพี่เฟิงมีภาระอันหนักอึ้ง ตอนนี้เขากำลังแบกรับความหวังทั้งหมดของตระกูลมู่เอาไว้บนบ่า”
มู่ขวงที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น
“พวกเราไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระอะไรให้เขาได้เลย”
ครั้งนี้มู่เฟิงนอนหลับไปตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน แสงแดดยามเช้าส่องกระทบลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทำให้เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าไป๋จื่อเยว่ได้แบกเขากลับมาที่เรือนพักของตนแล้ว
มู่เฟิงบิดี้เีเพื่อยืดเส้นก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เยว่เอ๋อร์ ตอนนี้ความสามารถในการควบคุมของข้าเป็ไปตามข้อกำหนดของเ้าแล้วใช่หรือไม่”
“ถือว่าความสามารถในการควบคุมของเ้าบรรลุถึงระดับละเอียดอ่อนแล้ว แต่นี่เป็เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เอาไว้ถึงเวลาที่เ้าสามารถร้อยลูกปัดได้พร้อมกันหนึ่งร้อยเส้นเมื่อไร ความสามารถของเ้าถึงจะเริ่มเข้าขั้นสัมฤทธิ์ผล”
ซีเยว่ไม่เปิดโอกาสให้มู่เฟิงได้ลำพองใจนานนัก
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็สามารถทดลองฝึกร้อยกระบี่หวนคืนอะไรนั่นได้แล้วหรือยัง?”
มู่เฟิงถามอกครั้ง
“เอาละ ตอนนี้เ้าสามารถทำความเข้าใจรูปแบบลายเส้นโบราณสำหรับการโจมตีได้แล้ว”
ซีเยว่พยักหน้าในที่สุด เมื่อได้ยินดังนั้นภายในใจของมู่เฟิงก็เต็มไปด้วยความคาดหวังขึ้นมาทันที หลังจากไปที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอที่จะกลับมาเรียนรู้ลายเส้นร้อยกระบี่หวนคืนไม่ไหว
เมื่อเปิดม้วนตำราก็เผยให้เห็นแผนภาพกระบี่นับร้อย จิตกระบี่อันแหลมคมก็พลันพุ่งออกมาปะทะกับใบหน้าของเด็กหนุ่มทันที
มู่เฟิงไม่รอช้ารีบส่งพลังิญญาของตัวเองเข้าไปในม้วนตำราอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานจิตใจของเข้าก็เข้าสู่ห้วงบรรยากาศประหลาดอีกครั้ง
มู่เฟิงเริ่มศึกษาองค์ประกอบของลายเส้นกระบี่ในทันที แต่เนื่องจากพลังิญญาของเขายังไม่แข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นเขาจึงรั้งอยู่ไม่ได้นานมากนัก ทว่ายังดีที่ซีเยว่ช่วยส่งพลังิญญาของนางมายังจิตของเขา และด้วยพลังสนับสนุนนี้ทำให้มู่เฟิงสามารถสำรวจองค์ประกอบของลายเส้นกระบี่ต่อไปได้อีกในระยะหนึ่ง ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ซีเยว่เองก็กำลังศึกษามันด้วยเช่นนั้น เพื่อที่นางจะได้สามารถอธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจได้มากขึ้น
องค์ประกอบของลายเส้นกระบี่นั้นมีความซับซ้อนเป็อย่างมาก แต่ภายใต้ความจำของจิติญญาอันแข็งแกร่งของมู่เฟิง เขาใช้เวลาเพียงสองวันก็สามารถจดจำองค์ประกอบทั้งหมดนั้นได้
ภายในห้องฝึกฝน กลางฝ่ามือของมู่เฟิงกำลังมีกระแสพลังปราณบริสุทธิ์สีขาวพวยพุ่งออกมา และระดับความบริสุทธิ์ของพลังปราณนี้ก็ใกล้เคียงกับพลังชีวิตเลยทีเดียว
มันคือพลังปราณที่มีคุณภาพระดับสูง และนี่เป็อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้พลังะเิของมู่เฟิงมีความแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปซึ่งมีวรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกัน
ทันใดนั้นพลังปราณก็ถูกแบ่งออกเป็ยี่สิบสาย จากนั้นมันก็เริ่มสอดผสานกันที่กลางฝ่ามือของเด็กหนุ่ม ถักทอไปตามองค์ประกอบของลายเส้นกระบี่
ภายใต้การถักทอของเส้นพลังปราณ ในที่สุดด้ามกระบี่ก็เริ่มก่อร่างขึ้นทีละนิด ขณะที่หน้าผากของมู่เฟิงก็เริ่มมีหยาดเหงื่อผุดออกมา
ตูม...!
ฉับพลันนั้น เมื่อโครงสร้างของมันเกิดความผิดพลาดขึ้น ด้ามกระบี่ที่ถูกถักทอจากเส้นพลังปราณก็พลันะเิในทันที ทุกอย่างแตกสลายหายไปในชั่วพริบตา กระทั่งร่างของมู่เฟิงยังต้องก้าวถอยออกไปหลายก้าว
มู่เฟิงยังคงไม่ท้อถอย เขาลงมือทำขั้นตอนเดิมซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายครั้ง แต่มันก็ยังคงเกิดข้อผิดพลาดและเกิดการะเิขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มถอดใจได้เลยแม้แต่น้อย
ซีเยว่ที่อยู่ด้านข้างคอยอธิบายในสิ่งที่นางเข้าใจให้กับเด็กหนุ่ม โดยระหว่างที่นางคอยชี้แนะมู่เฟิงนั้น นางเองก็พยายามเรียนรู้ไปพร้อมกับเขาด้วยเช่นกัน ทำให้ความก้าวหน้าของคนทั้งคู่พัฒนาไปพร้อมกัน
ถึงอย่างไรความรู้ความสามารถของซีเยว่ก็เหนือกว่ามู่เฟิง อีกทั้งระดับขั้นในฐานะนักสลักลายเส้นของนางก็สูงกว่าเขามาก ดังนั้นปัญหาที่มู่เฟิงไม่อาจค้นพบ นางก็สามารถค้นพบได้ก่อนแล้ว และด้วยความก้าวหน้าระดับนี้ ย่อมช่วยให้มู่เฟิงสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าการฝึกฝนและการที่ต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเองไม่รู้กี่เท่า
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปหลายวันแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันประเมินบัณฑิตใหม่
ยามนี้เหล่าบัณฑิตใหม่ทั้งหมดของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นกำลังถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ลานด้านนอก เนื่องจากเมื่อเข้าศึกษาในสำนักศึกษาครบสามเดือนแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องประเมิน
โดยในจำนวนบัณฑิตใหม่นับพันคนที่กำลังรวมตัวกันในลานจัตุรัสนั้นมีมู่เฟิงรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าการประเมินที่กำลังจะมาถึงนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร
หลังจากเข้าศึกษาในสำนักศึกษาเป็เวลาสามเดือน บัณฑิตใหม่เหล่านี้ย่อมสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในสำนักศึกษาได้เป็ที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขายังอยู่ในระดับล่างสุดของสำนักศึกษา ดังนั้นความเป็อยู่จึงไม่ได้ดีเท่าไรนัก
เจิ้งเยว่เซินกำลังยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าลานจัตุรัส เขากวาดตามองกลุ่มบัณฑิตใหม่ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ทุกคนอยู่ที่นี่มาเป็เวลาสามเดือนแล้ว คาดว่าพวกเ้าคงเข้าใจถึงกฎระเบียบและชีวิตในสำนักศึกษาเป็อย่างดี”
“การประเมินบัณฑิตใหม่เป็ข้อบังคับของทุกรุ่น อย่างที่ข้าเคยบอกเอาไว้ ผู้ที่เข้าสู่สามอันดับแรกจะมีโอกาสได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬเป็รางวัล นอกจากนี้ยังได้รับคะแนนการเรียนเพิ่มอีกจำนวนมาก
“สำหรับอันดับหนึ่ง นอกจากจะได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬอันเลื่องชื่อแล้ว ยังจะได้รับคะแนนเพิ่มอีกสามหมื่นคะแนน
“ส่วนอันดับที่สองจะได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬและคะแนนสองหมื่นคะแนน
“และอันดับที่สาม ได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬและคะแนนหนึ่งหมื่นคะแนน
“ส่วนผู้ที่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ ก็จะได้รับคะแนนเป็รางวัลเช่นกัน”
หลังจากเจิ้งเยว่เซินกล่าวจบ ภายในลานจัตุรัสก็พลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
“สามหมื่นคะแนน โอ้์ คะแนนมากขนาดนั้นสามารถใช้ฝึกฝนในหอคอยเทียนอวิ่นได้เกือบหนึ่งปีเชียวนะ!”
“ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีทักษะวิชาระดับนิลกาฬอีก ทุกวันนี้ทักษะวิชาสูงสุดที่ข้ามีโอกาสได้ฝึกฝนยังอยู่ที่ระดับธาตุทองขั้นกลางอยู่เลย”
“จุ๊ๆ รางวัลพวกนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก ตำแหน่งอันดับหนึ่งนี้ข้าต้องคว้ามันมาให้ได้”
บัณฑิตใหม่นับพันคนต่างก็ฮือฮากับเื่รางวัล แววตาของแต่ละคนต่างก็ลุกโชนขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมตระหนักได้เป็อย่างดีว่าคะแนนเ่าั้มีความสำคัญมากเพียงใด สำหรับคะแนนสามหมื่นคะแนนนี้ ต่อให้เป็บัณฑิตเก่าก็ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะได้มันมา เกรงว่าต้องรับทำภารกิจชั้นหนึ่งหลายงาน และสิ่งสำคัญที่สุดคือทักษะวิชาระดับนิลกาฬ ทักษะวิชาระดับนี้เป็สิ่งที่หาได้ยาก ในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นมีเพียงบัณฑิตสายในเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เรียนรู้ทักษะวิชาระดับนิลกาฬนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องใช้คะแนนในการแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้มันอีกด้วย และทักษะวิชาระดับนิลกาฬหนึ่งเล่มนั้นจำเป็ต้องใช้คะแนนหนึ่งแสนคะแนนเป็อย่างต่ำ
เห็นได้ชัดว่าการที่มู่เฟิงได้รับทักษะวิชาต่างๆ จำนวนมากที่บันทึกเอาไว้ในหยกเทพชูร่านั้นเป็เื่ที่โชคดีมากเพียงใด
เวลานี้เหล่าบัณฑิตกำลังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
แต่ในตอนนั้นเอง ผู้าุโเจิ้งก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กน้อย พวกเ้าอย่าเพิ่งดีใจกันจนเกินไป ให้ข้าได้อธิบายก่อนว่าการประเมินของพวกเ้าจะเกี่ยวกับอะไร การจะได้รับทักษะวิชาและคะแนนมา มันไม่ใช่เื่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”
ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบและตั้งใจฟัง
มู่เฟิงเองก็เริ่มสนใจขึ้นมาเช่นกัน แม้ว่าภายในหยกเทพชูร่าจะมีบันทึกของทักษะวิชามากมายรวมถึงทักษะวิชาระดับนิลกาฬอยู่ แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็สิ่งที่ซีเยว่ส่งต่อมาให้เขา
สำหรับเขาแล้ว หาก้าฝึกฝนทักษะวิชาระดับนิลกาฬเ่าั้ เขาจำเป็ต้องพัฒนาวรยุทธ์ไปให้ถึงระดับที่ซีเยว่กำหนดเอาไว้เสียก่อน เขาจึงจะมีโอกาสได้ฝึกฝนมัน
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงกระตือรือร้นและกระหายอยากที่จะเอาทักษะวิชาระดับนิลกาฬ รวมไปถึงคะแนนจำนวนมากนั่นมา
“ด้านหลังหุบเขาเทียนอวิ่นมีป่าเขาดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มันคือเทือกเขาที่ทอดยาวออกไปหลายพันลี้ สถานที่แห่งนั้นถูกเรียกว่าเทือกเขาเทียนอวิ่น คาดว่าชื่อของเทือกเขานี้พวกเ้าคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้วใช่หรือไม่?”
เจิ้งเยว่เซินกล่าวเสียงเรียบ
เทือกเขาเทียนอวิ่นเป็เทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนเป่ยหยวน ภายในเทือกเขานั้นมีอสูรร้ายและปีศาจอยู่เป็จำนวนมาก อาณาเขตของมันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังเชื่อมต่อกับดินแดนอื่น แน่นอนว่าก็อันตรายเป็อย่างมากเช่นกัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็ดั่ง์ของนักผจญภัยทั้งหลาย
“ว่าอย่างไรนะ การประเมินจะอยู่ในเทือกเขาเทียนอวิ่น!”
“เอ่อ...ข้าเคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีอสูรร้ายอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ปีศาจดำรงอยู่ในนั้นด้วย มันอันตรายเป็อย่างมาก”
“ถูกต้อง พวกเราเพิ่งทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่เท่านั้น หากต้องขึ้นไปยังเทือกเขาเทียนอวิ่น พวกเราจะไม่ตายกันหรอกหรือ?”
ทันใดนั้นก็พลันเกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มของเหล่าบัณฑิต
“ฮึ่ม เงียบ!
ผู้าุโเจิ้งตวาดออกมาอย่างเ็า ทุกคนจึงเงียบเสียงลงทันใด
“พวกเ้าคิดว่าจะสามารถรับคะแนนและทักษะวิชาระดับนิลกาฬไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ? กระทั่งศิษย์สายในยังต้องผ่านการทำภารกิจเสี่ยงตายหลายครั้งกว่าจะได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬสักวิชาหนึ่ง บัณฑิตใหม่อย่างพวกเ้ายังไม่ทันได้มีส่วนร่วมในสำนักศึกษาอะไรมากมาย แล้วการจะได้รับคะแนนกับทักษะวิชาระดับนิลกาฬจะง่ายดายได้อย่างไร แต่การประเมินนี้ก็ไม่ได้มีการบังคับ หากกลัวตายนักก็สามารถถอนตัวได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้