“ฝูงค้างคาวจากไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็กันตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความยินดี ก่อนที่พวกเขาจะมองออกไปนอกประตู
สิ่งที่เห็นคือ เวลานี้ฝูงค้างคาวที่เคยบินวนอยู่บนท้องฟ้าได้หายไปหมดแล้ว
“คาดว่าคนที่ไม่สามารถหลบหนีเข้ามายังห้องนี้ได้คงจะถูกพวกมันฆ่าและกัดกินร่างไปจนหมดแล้ว ฝูงค้างคาวพวกนั้นถึงได้ยอมแยกย้ายกันไป”
ข่งย่วนขมวดคิ้ว
“คิดว่าคงเป็เช่นนั้น”
มู่เฟิงพยักหน้าพลางกล่าวเสริม
ทุกคนแสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากห้องใต้หลังคาด้วยความระแวดระวัง ยามนี้ภายในพระราชวังใต้ดินมีเพียงความเงียบสงัดปกคลุมอยู่เท่านั้น และบนพื้นก็มีเศษซากโครงกระดูกของมนุษย์มากมายอยู่
อีกด้านหนึ่งของห้องใต้หลังคาหลังที่อยู่ห่างออกไป เว่ยอี้อวิ๋น หยางฉาน โจวเหวินเฉวียนและบัณฑิตสายในอีกสี่คนก็กำลังเดินออกมาจากห้องใต้หลังคาเช่นกัน
ในเวลานี้กลุ่มคนที่เข้ามายังชั้นสามของพระราชวังใต้ดินหลงเหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นล้วนกลายเป็อาหารของฝูงค้างคาวไปหมดแล้ว
และตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาเลยสักนิด แต่ละคนต่างก็ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
เมื่อสายตาของหยางฉานเหลือบไปเห็นข่งย่วน ข่งเซวียนเอ๋อร์และซือถูคง นางก็รีบโบกมือส่งสัญญาณให้กับคนทั้งสามทันที
ทางด้านเว่ยอี้อวิ๋นกับบัณฑิตคนอื่นได้เดินเข้าไปยังวิหารใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งซ้ายอย่างเงียบๆ แล้ว
ส่วนพวกมู่เฟิงก็เลือกที่จะเดินไปยังวิหารใหญ่ทางฝั่งขวา ในตอนนี้ทุกคนแทบจะกลั้นหายใจเดินเพื่อให้เงียบที่สุด เพราะกลัวว่าจะเผลอไปกระตุ้นฝูงค้างคาวให้ออกมาอีกครั้ง
วิหารใหญ่หลังนี้มีความสูงสองชั้น บรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวางและงดงามเป็อย่างมาก พวกมู่เฟิงเดินเข้าไปด้วยความเงียบ ไม่นานพวกเขาก็พบว่าภายในนั้นมีห้องหับอยู่มากมาย
ทุกคนจึงเริ่มกระจายตัวเข้าไปในห้องต่างๆ เพื่อมองหาสมบัติ
มู่เฟิงพาข่งเซวียนเอ๋อร์และข่งย่วนเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง โดยไม่มีซือถูคงติดตามมา เพราะอีกฝ่ายเลือกจะเข้าไปยังห้องอื่นด้วยตัวเอง
เมื่อคนทั้งสามเดินมาถึงหน้าห้องก็พบว่าประตูห้องถูกปิดเอาไว้แน่น แต่หลังจากที่มู่เฟิงผลักบานประตูให้เปิดออก เขาก็พบว่านอกจากชั้นวางที่ว่างเปล่าชั้นหนึ่งแล้วกลับไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย ห้องนี้เป็เพียงห้องโล่งๆ เท่านั้น
มู่เฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นคนทั้งสามก็เดินไปยังประตูบานอื่น แต่กลับพบว่ามันก็เป็เพียงห้องเปล่าอีกเช่นกัน พวกเขาเปิดห้องติดต่อกันอีกสามห้อง ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเป็ห้องที่ว่างเปล่า
“อะไรกัน เหตุใดจึงไม่มีอะไรอยู่เลย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์หน้ามุ่ย รู้สึกผิดหวังเป็อย่างมาก
ทางด้านหูเถี่ยหนิ่วและคนอื่นๆ เองก็เช่นกัน หลังจากเปิดประตูห้องแต่ละห้องแล้ว พวกเขาล้วนพบเพียงห้องอันว่างเปล่าที่ภายในไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
“มารดามันเถอะ นี่มันเื่อะไรกัน แม้แต่ขนสักเส้นก็ยังไม่มี”
โหวโซ่วเตะประตูห้องหนึ่งจนเปิด ก่อนจะสบถด่าออกมา
ส่วนคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าผิดหวังเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่พบเห็นสิ่งใดเลย
“คงมีคนเคยเข้ามาที่นี่ก่อนแล้ว บางทีของในนี้อาจจะถูกคนอื่นนำออกไปแล้วก็เป็ได้”
มู่เฟิงขมวดคิ้วพร้อมคาดเดาออกมา
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่มาที่นี่
ซือถูคงที่ขึ้นไปบนชั้นสองก็เดินลงมาด้วยสีหน้ามืดครึ้มเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่พบสิ่งใด
“นอกจากวิหารใหญ่หลังนี้แล้ว ตรงกลางยังมีวิหารอีกหนึ่งแห่ง บางทีที่นั่นอาจจะมีอะไรก็ได้”
ทันใดนั้นก็มีคนคาดเดาขึ้นมา
ภายในพระราชวังแห่งนี้มีวิหารใหญ่ทั้งหมดสามหลัง พวกเขาเข้ามาแล้วหลังหนึ่ง ส่วนพวกเว่ยอี้อวิ๋นก็ไปอีกหลังหนึ่ง ดังนั้นจึงเหลือเพียงหลังที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางซึ่งยังไม่มีใครเข้าไปสำรวจ
“ยังจะรออะไรอยู่เล่า รีบไปดูเร็วเข้า”
โหวโซ่วกล่าวขึ้นก่อนจะเดินนำออกไป เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆ จึงรีบเดินตามไปทันที พวกเขามุ่งหน้าไปยังวิหารที่อยู่ตรงใจกลาง และระหว่างนั้นพวกเว่ยอี้อวิ๋นก็กำลังมุ่งหน้าไปที่นั่นเช่นกัน
จากสีหน้าที่เหมือนกับต้องกินแมลงวันของพวกเขา ทำให้ทราบได้ว่าพวกเขาเองก็ไม่พบสิ่งใดเช่นกัน
เมื่อกลุ่มของเว่ยอี้อวิ๋นมาถึง หยางฉานก็เข้าไปสอบถามทันทีว่า “ศิษย์พี่ข่งย่วน พวกท่านเองก็ไม่พบสิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ?”
ข่งย่วนส่ายหน้า จากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังวิหารใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง
ผู้คนนับสิบจึงเดินไปที่วิหารนั้นด้วยกัน พวกเขาผลักบานประตูออกก่อนจะเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ปัง!
แต่หลังจากทุกคนเข้ามาภายในวิหารแล้ว ประตูใหญ่ก็ปิดลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นแถบลายเส้นที่อยู่บนพื้นก็พลันส่องสว่างขึ้น ทั่วทั้งวิหารมีแสงสีขาวอันพร่างพราวเปล่งประกายออกมาจนสว่างจ้าไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!”
พวกเขาอุทานออกมาด้วยความใ ประกายแสงสีขาวอันพร่างพราวนี้สว่างมากเสียจนพวกเขาต้องหลับตาลง ก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมา
เนื่องจากแสงสว่างเจิดจ้าเกินไป แม้แต่มู่เฟิงก็ไม่สามารถลืมตามองมันได้ ทำได้เพียงแค่ต้องรอให้แสงสว่างนี้อ่อนลงไปเองเท่านั้น เขาถึงจะสามารถค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งได้
แต่เมื่อเห็นฉากที่ตรงหน้า สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ดูตื่นตะลึงเป็อย่างยิ่ง เขาไม่ได้อยู่ในวิหารอีกต่อไปแล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือสนามรบแห่งหนึ่ง
ในสนามรบมีกองทัพขนาดใหญ่กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด และในบรรยากาศนั้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
เวลานี้มู่เฟิงกำลังยืนอยู่ตรงใจกลางของสนามรบ เขาหันไปมองภาพเหล่านี้อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“นี่ นี่มัน...”
“ที่นี่คือสนามรบจิ่วเฉวียน! ข้ามาอยู่ในสนามรบจิ่วเฉวียนได้อย่างไร?”
หัวใจของมู่เฟิงสั่นทะท้านอย่างรุนแรง
ความรู้สึกอันคุ้นเคยพวยพุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา มู่เฟิงมองไปยังกองทัพขนาดใหญ่กับธงของกองทัพที่มีอักษรคำว่า ‘มู่’ สลักเอาไว้ และธงผืนนั้นก็กำลังปลิวไสวไปตามแรงลม
ด้านหน้าของกองทัพคือแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร เขาสวมใส่ชุดเกราะขณะถือหอกสีแดงและนั่งอยู่บนม้าเกล็ดคราม
“ท่านพ่อ…"
เมื่อเห็นคนผู้นั้น ดวงตาของมู่เฟิงก็ขึ้นสีแดงก่ำทันที
“เฟิงเอ๋อร์ เ้าไปทำอะไรที่นั่น? รีบกลับเข้ากองทัพเร็วเข้า!”
มู่เทียนะโสั่งมู่เฟิง
“ขอรับ!”
มู่เฟิงตอบสนองทันที เขาตะเบ็งเสียงขานรับคำสั่งเสียงดัง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในกองทัพของตระกูลมู่และขึ้นควบอาชาศึกอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่าน...”
มู่เฟิงมองไปยังบิดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดถึงอีกฝ่ายเหลือเกิน เขาไม่ได้พบหน้าบิดาของเขามานานกว่าสองปีแล้ว
“อย่าพูดจาไร้สาระ วันนี้เ้าพวกสารเลวเทียนเฟิงกำลังจะเข้ามารุกราน พี่น้องทั้งหลาย พวกเ้าเห็นว่าควรทำอย่างไร?”
มู่เทียนกล่าวขัด จากนั้นเขาก็หันไปตะเบ็งเสียงใส่กองทัพทหารตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายที่อยู่ด้านหลัง
“ผู้ใดมันคิดรุกรานบ้านเมือง สมควรต้องลงโทษ!”
กองทัพทหารตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายตะเบ็งเสียงตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
“ถูกต้องแล้ว พวกคนที่มันคิดจะรุกรานบ้านเมืองของเราล้วนสมควรตาย ฆ่ามัน!”
มู่เทียนตะเบ็งเสียงดังลั่นอย่างดุดัน พร้อมชี้หอกของเขาไปทางฝั่งของศัตรู
“ฆ่ามัน…!”
กองทัพทหารตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายต่างก็ส่งเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาศัตรูทันที ทางด้านมู่เฟิงเองก็เช่นกัน เขาแผดเสียงร้องคำรามพร้อมกับถือหอกพุ่งเข้าหากองทัพของเทียนเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ทหารจากกองทัพของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง เสียงอาวุธกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหวราวกับผืนแผ่นดินกำลังสั่นะเื ภาพทุกอย่างนั้นเหมือนจริงเป็อย่างมาก
มู่เฟิงตวัดหอกจื่อเหลยในมือไปข้างหน้า และเพียงแค่การตวัดคมหอกเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ศีรษะของศัตรูร่วงตกลงไปบนพื้นทันที เืสดๆ ของอีกฝ่ายสาดกระเซ็นไปบนใบหน้าของมู่เฟิง ความอุ่นร้อนของมันนั้นก็สมจริงเป็อย่างมากเช่นกัน
การเข่นฆ่าทำให้มู่เฟิงหลงลืมไปชั่วขณะว่าก่อนหน้านี้เขากำลังอยู่ในวังโบราณจิ่วซาน
าและการสังหารยังคงดำเนินต่อไปเป็เวลาครึ่งวัน จนในที่สุดกองทัพของตระกูลมู่ก็ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่มา ฝีมือการต่อสู้ในสนามรบของมู่เฟิงนั้นอยู่เหนือจินตนาการของมู่เทียนไปไกลมาก
ภายในค่ายทหาร เหล่าแม่ทัพตระกูลมู่กำลังนั่งดื่มเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของพวกเขา ทางด้านมู่โซวแม่ทัพพ่วงตำแหน่งมือขวาของมู่เทียนหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “วันนี้ฝีมือการต่อสู้ของนายน้อยช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถสังหารศัตรูได้ถึงหนึ่งร้อยสามคนเลยทีเดียว ฮ่าๆ ๆ!”
“ถูกต้องแล้ว ในอนาคตนายน้อยจะต้องนำกองทัพตระกูลมู่ของเราไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข แม้แต่บิดาผู้เคร่งขรึมที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานยังเผยรอยยิ้มให้มู่เฟิงได้เห็น
ทั้งหมดนี้ช่างเป็ภาพเหตุการณ์ที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก ได้ติดตามข้างกายบิดาออกไปสังหารศัตรูจนสำเร็จ
“เฟิงเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป? ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ?”
มู่เทียนมองไปยังมู่เฟิงที่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม
“ไม่ใช่ขอรับท่านพ่อ ข้ามีความสุขมาก สองปีที่มานี้ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านอีกครั้ง ในห้วงความฝันข้าเคยเห็นภาพของท่านที่เป็เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน”
มู่เฟิงเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ใช่ว่าข้าก็อยู่ข้างกายเ้ามาตลอดหรอกหรือ?”
มู่เทียนขมวดคิ้ว
มู่เฟิงมองไปทางมู่เทียนพลางยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นก่อนจะโผร่างเข้าไปสวมกอดมู่เทียนเอาไว้แน่น
“เอาละเด็กดี วันนี้เ้าทำได้ดีมาก”
มู่เทียนตบหลังมู่เฟิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ท่านพ่อ ลูกขออภัย ลูกยังไม่สามารถล้างแค้นให้ท่านได้”
มู่เฟิงผละตัวจากมู่เทียน เขาก้มหน้าลงพร้อมกับกล่าวพึมพำออกมา จากนั้นมู่เฟิงก็หันไปคำนับคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาต้องหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย