ในที่สุดฮ่องเต้ก็เสด็จกลับจากพิธีกรรมบวงสรวง
แม้พระองค์จะเสด็จไปหนึ่งเดือน แต่เมืองหลวงก็มีเื่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกิดขึ้นบ้าง ทว่าสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ
หนึ่งเดือนที่ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือก็ทำให้รัชทายาทกับิ่จื้อรุ่ยเกิดความตึงเครียดอยู่บ้าง ด้วยเกรงว่าตนเองจะถูกอาจารย์ตำหนิที่ละเลยวิชาความรู้
รัชทายาทกับิ่จื้อรุ่ยพบกันที่หน้าประตูจวนซู่เฉิงโหว
"รัชทายาททรงนำสิ่งใดมาให้เฉียวเฉียวหรือพ่ะย่ะค่ะ" ิ่จื้อรุ่ยชำเลืองมองแต่ไม่เห็น หลังจากนึกดูแล้วในที่สุดก็เอ่ยถาม
ถึงแม้รัชทายาทจะเป็เพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบ แต่กลับดูภูมิฐานสง่างาม "ข้ามิได้เตรียมของล้ำค่าอันใด ล้วนแต่เป็ของกินที่เก็บได้นานทั้งนั้น"
เฉียวเยว่ชอบกิน มีเพียงสิ่งนี้ที่ต้องใจนางที่สุด
มือของิ่จื้อรุ่ยที่ถือตะกร้าอยู่สั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดว่า "ข้า..." แล้วก็หยุดไปชั่วขณะ ก่อนพึมพำเสียงเบา "ก็เหมือนกัน"
จบเห่กัน แต่ไหนแต่ไรมาเฉียวเยว่ก็ชอบรัชทายาทมากกว่า ครานี้พวกเขามอบของขวัญเหมือนกัน เห็นที... คงหมดหวังที่จะทำให้เฉียวเยว่ชอบเขา
นึกมาถึงตรงนี้ ิ่จื้อรุ่ยก็รู้สึกหมองเศร้า
รัชทายาทสังเกตได้ว่าเขาไม่ค่อยเบิกบานใจ จึงพูดปลอบประโลม "เฉียวเยว่น่าจะดีใจมาก แต่ไรมานางก็ชอบของกิน ครานี้จากหนึ่งส่วนกลายมาเป็สองส่วน ไม่ยิ่งเป็เื่ดีงามหรอกหรือ"
ิ่จื้อรุ่ยลองนึกดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะจริง เขาอารมณ์ดีขึ้นในชั่วพริบตา "ก็จริงพ่ะย่ะค่ะ"
ทั้งสองเข้าประตูมาด้วยกัน
รัชทายาทกล่าวว่า "ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นางคงจะมารอพวกเราที่ห้องหนังสือแล้ว ไม่รู้จะถูกอาจารย์ลงโทษหรือไม่"
ิ่จื้อรุ่ยนึกถึงลิงน้อยตัวนั้นก็ถอนหายใจ "นางมีข้ออ้างเยอะที่สุด ถึงแม้อาจารย์จะปากร้าย แต่แท้จริงแล้วไหนเลยจะลงโทษนางได้ลงคอ?"
"นั่นก็ใช่ แต่พูดตามตรง ทุกคราที่นางโผเข้ามาพร้อมกับฉีอัน ข้ารู้สึกว่าตนเองแทบรับไม่ไหว คงต้องฝึกฝนร่างกายให้มากขึ้น" รัชทายาทยิ้มแสดงว่ายอมแพ้
ิ่จื้อรุ่ยผ่อนคลายมากยิ่งกว่าเดิม
"หึๆ จะว่าไปรัชทายาทก็ควรฝึกฝนร่างกายมากขึ้นจริงๆ ดูอย่างข้า อุ้มพวกเขาสองคนได้โดยไร้แรงกดดัน มือข้างหนึ่งก็อุ้มหนึ่งคน กระต่ายอ้วนสองตัวล้วนอยู่นิ่งๆ ไม่ดิ้นหนีเลย"
"ดังนั้น พวกเราไม่จำเป็ต้องไปหาพวกเขา เพียงเฝ้าตอรอกระต่าย [1] ที่ห้องหนังสือก็พอ"
เฝ้าตอรอกระต่าย...
ทั้งสองเดินไปคุยไป คิดว่าตนเองรู้ความจริงเป็อย่างดี เพียงแต่จินตนาการเหลือล้น แต่ความเป็จริงกลับแห้งติดกระดูก
แม้แต่รัชทายาทซึ่งเคยได้รับความนิยมชมชอบยังสูญเสียความโปรดปรานหลังจากหายไปเพียงเดือนเดียว
ในห้องหนังสือนอกจากอาจารย์ก็ไม่มีกระต่ายสักตัว
ทั้งสองคารวะอาจารย์ ซูซานหลางอมยิ้ม "ออกจากบ้านเดินทางไปเข้าร่วมพิธีกรรมบวงสรวงเก็บเกี่ยวอะไรมาบ้าง มีคำกล่าวว่าอ่านตำราหมื่นม้วนยังไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ คำโบราณมักมีเหตุผลดียิ่ง"
ตลอดทั้งวันเป็วันที่เงียบสงบ
ซูซานหลางดูเหมือนจะอารมณ์ดี เมื่ออารมณ์ดีก็ไม่น่าจะลงโทษกักบริเวณกระต่ายน้อยซื่อบื้อ
แล้วเหตุใดกระต่ายน้อยไม่อยู่เล่า?
ซูซานหลางคิดว่าการหยุดเรียนทำให้จิตใจว่อกแว่กได้ง่าย เหมือนเช่นยามนี้ ทั้งรัชทายาทและิ่จื้อรุ่ยต่างใจลอยไม่มีสมาธิอย่างเห็นได้ชัด จะเกี่ยวข้องกับการหยุดเรียนไประหว่างออกเดินทางหรือไม่ก็สุดที่จะรู้ได้
"เมื่อกลับมากันแล้ว ก็มีสมาธิหน่อย แม้การออกไปดูโลกภายนอกเป็สิ่งที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเ้าจะเกียจคร้านได้หลังจากกลับมา เพราะการออกไปเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ถึงจะพบข้อบกพร่องของตนเอง เพื่อความก้าวหน้ายิ่งต้องขยันหมั่นเพียร"
"ศิษย์ทราบแล้วขอรับ" ทั้งสองคนผงกศีรษะตอบรับทันที
จนกระทั่งถึง่เย็นก็ยังไม่มีทีท่าว่ากระต่ายอ้วนตัวน้อยจะมา บัดนี้ใกล้จะค่ำแล้ว ทั้งสองไม่อาจบากหน้าอยู่ต่อ รัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นว่า "อาจารย์ขอรับ พวกเราออกเดินทางมีของขวัญมาฝากอาจารย์กับอาจารย์หญิง นอกจากนี้ยังมีของกินมาฝากเฉียวเยว่กับฉีอัน ขนมข้าถือมาเอง แต่ของกำนัลอื่นๆ สั่งให้คนนำไปมอบให้อาจารย์หญิงแล้ว รบกวนอาจารย์ช่วยมอบให้เฉียวเยว่กับฉีอันได้หรือไม่?"
ซูซานหลางพยักหน้า "เช่นนั้นอาจารย์ต้องขอบใจพวกเ้าแทนเฉียวเยว่แล้ว"
ิ่จื้อรุ่ยอุปนิสัยแตกต่างกับรัชทายาท แม้ว่าเขาจะพูดน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูซานหลางเขามักจะตรงไปตรงมาเสมอ
"วันนี้เฉียวเยว่ไม่อยู่ในจวนหรือขอรับอาจารย์?"
นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน เขารู้สึกคิดถึงเด็กน้อยคนนี้อยู่บ้าง
ถึงแม้ว่านางจะอ้วนและกินเก่ง แต่ไม่เห็นนานๆ ก็ยังคะนึงหา
ซูซานหลางหัวเราะเบาๆ "นางกำลังวาดภาพอยู่ที่ห้องหนังสือ"
"เฉียวเยว่ต้องไม่รู้แน่ว่าพวกเรามา มิเช่นนั้น..." รัชทายาทเอ่ยเสียงเบา
ยังไม่ทันพูดจบ จินตนาการงดงามของเขาก็ถูกอาจารย์ทำลายอย่างไม่ไยดี
ซูซานหลางยิ้มน้อยๆ "เฉียวเยว่รู้ว่าพวกเ้าจะมาแต่เช้าแล้ว ทว่านางบอกว่าชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน ก็เลยไม่มาหาพวกเ้าแล้ว"
คำกล่าวนี้เหมือนฟ้าผ่าลงมาขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใส
ทั้งรัชทายาทและิ่จื้อรุ่ยต่างตกตะลึง
แม่หนูน้อยห้าขวบ ใครจะไปแตะเนื้อต้องตัวเ้ากัน! นอกจากนี้ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เหตุใดฟ้าถึงเปลี่ยนสีไปแล้วเล่า?
ถ้อยคำว่าข้าชอบเสด็จพี่รัชทายาทที่สุดยังดังก้องอยู่ในหู รัชทายาทบอกไม่ถูกว่าห้ารสชาติที่ผสมปนเปอยู่ในอกให้ความรู้สึกเช่นไร
"กระต่ายอ้วนตัวน้อยคงพบสิ่งที่น่าสนใจหรือของเล่นที่สนุกมากแน่ๆ" ิ่จื้อรุ่ยรู้สึกว่าตนเองสามารถมองแวบเดียวก็เห็นธาตุแท้ของเด็กน้อยคนนี้ เขาถามอย่างจริงจัง "อาจารย์ขอรับ ข้าก็เอาของมาให้เฉียวเฉียวเหมือนกัน ข้าเอาไปมอบให้นางเองได้หรือไม่?"
คล้ายกลัวว่าซูซานหลางจะไม่ยินยอม จึงพูดเพื่อแสดงความจริงใจ "ข้าเพียงอยากเห็นว่านางกำลังทำสิ่งใด"
แม้ซูซานหลางจะไม่ชอบให้บุตรสาวมีปฏิสัมพันธ์กับลูกศิษย์สองคนนี้มากนัก แต่ไม่ถึงกับเคร่งครัดจนเกินไป ด้วยเกรงว่าจะเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ
"ได้สิ รัชทายาทจะเสด็จด้วยหรือไม่?"
รัชทายาทอมยิ้มอ่อนโยน มีความคล้ายคลึงกับซูซานหลางอยู่หลายส่วน เขาพยักหน้า "ข้าก็อยากไปหาเฉียวเยว่ หนึ่งเดือนแล้วมิได้พบหน้า รู้สึกคิดถึงนางอยู่บ้างเหมือนกัน"
ซูซานหลางวางตำราลงแล้วลุกขึ้น อาภรณ์สีครามทำให้เห็นความซูบผอมของผู้สวมใส่อย่างเด่นชัด
หลังกลับมาถึงเมืองหลวงรัชทายาทได้ยินเื่ที่เกิดกับอิ้งเยว่แล้ว รำพึงในใจว่าอาจารย์พบเจอแต่เื่หนักใจมากมายจนผ่ายผอมลงไปไม่น้อย
พวกเขามาถึงห้องหนังสือใหญ่ เมื่อมาถึงทางเลี้ยวิ่จื้อรุ่ยก็ถามด้วยความสงสัย "พวกเราไม่ไปห้องหนังสือของเฉียวเยว่หรือขอรับ?"
ซูซานหลางอมยิ้ม "ข้าปรับปรุงห้องทางนี้ใหม่ ตอนนี้ให้พวกเขาสามพี่น้องใช้ร่วมกัน"
เป็ไปตามคาด เพิ่งมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วของเฉียวเยว่ดังออกมา "ตรงนี้ดี ตรงนี้ดี ฉีอันเก่งจริงๆ"
นี่คือข้อดีของเฉียวเยว่ นางมักจะชื่นชมผู้อื่นโดยไม่ลังเล
"เฉียวเยว่ เ้าดูซิ ผู้ใดมาหาเ้า" ซูซานหลางเข้ามาเห็นเด็กน้อยสองคนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ผมเผ้าของทั้งคู่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าก็เปรอะคราบหมึก ไม่รู้ว่าปล่อยทิ้งไว้นานแค่ไหนแล้ว
เฉียวเยว่ลุกขึ้นพลางร้องทักเสียงดัง "เสด็จพี่รัชทายาท พี่ชายิ่"
เพียงพริบตาเดียวเด็กน้อยหุ่นจ้ำม่ำก็วิ่งออกมา เพียงแต่ยังไม่ทันโผเข้าอ้อมแขนของผู้ใดก็ถูกซูซานหลางหิ้วคอเสื้อขึ้นมาก่อน ตัวห้อยต่องแต่ง
"เ้าดูสภาพของตนเองตอนนี้ ยังจะไปทำผู้อื่นเลอะไปด้วยอีกหรือ"
มองจากตรงนี้ แม่หนูน้อยก็ดูจะหมดสภาพจริงๆ
ซูซานหลางรักความสะอาด เขานิ่วหน้าหันไปตำหนิอวิ๋นเอ๋อร์ "ปรกติเห็นเ้าก็รักษาความสะอาดให้นางดีอยู่ วันหลังอย่าตามใจนางเช่นนี้อีก ดูไม่ได้จริงๆ"
เฉียวเยว่พึมพำ "ราศีกันย์แหงๆ"
ซูซานหลางได้ยินไม่ชัด "เ้าว่าอันใด?"
เฉียวเยว่เงยหน้าดวงน้อยขึ้น แสดงท่าทีให้เห็นว่าข้าเป็เด็กว่านอนสอนง่าย ทั้งใสซื่อและไร้เดียงสา "ไม่มีอันใดเ้าค่ะ"
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบทันควัน "บ่าวทราบแล้วเ้าค่ะ"
"ท่านพ่อ อวิ๋นเอ๋อร์หาได้ไม่ช่วยเช็ดให้พวกเรา วันนี้นางเช็ดให้พวกเราห้าหกรอบแล้ว แต่ข้าทำงานอย่างแข็งขันจึงมักป้ายถูกใบหน้าโดยไม่รู้ตัว" คำพูดของนางแฝงไปด้วยการอธิบายอยู่หนึ่งส่วน
นางดึงเปียน้อยๆ ของตนเอง แล้วพูดต่อ "เปียนี้ข้าก็ผูกเองตั้งหลายหน"
เห็นความขี้เล่นของบุตรสาว ซูซานหลางก็รู้สึกว่านางน่ารักไม่ไหวแล้ว จึงช้อนตัวนางขึ้นมาอุ้ม
ฉีอันจับพู่กันร้องะโเรียก "เสด็จพี่รัชทายาท พี่ชายิ่ พวกท่านมาดูเร็ว ข้ากับเฉียวเฉียววาดบันทึกการเดินทางสู่ชมพูทวีปด้วยล่ะ"
เมื่อเทียบกับการโอ้อวดภาพวาด เฉียวเยว่กลับสนใจเื่อื่นมากกว่า มืออวบน้อยๆ ของนางชี้ไปที่ตะกร้า "นี่คือของที่มอบให้พวกเราหรือ?"
"แน่นอนว่ามอบให้เ้ากับฉีอัน"
เฉียวเยว่บิดตัวไปมาอย่างแรง
ซูซานหลางไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรจึงกระซิบบอก "ระวังกิริยามารยาทหน่อย"
เฉียวเยว่มองเขาแล้วพูดอย่างจริงจัง "แต่เสด็จพี่รัชทายาทกับพี่ชายิ่ไม่ใช่คนนอก ข้ามิต้องเสแสร้งแกล้งทำก็ได้ พวกเขาชอบความน่ารักไร้เดียงสาของข้า"
"ใครชอบเ้ากันฮึ หลงตัวเองจริงๆ" ิ่จื้อรุ่ยค่อนแคะ
เฉียวเยว่ก็ไม่นำพา นางทำตาปริบๆ ถามอย่างน่าเอ็นดู "ข้าเปิดดูได้หรือไม่?"
"เ้าจะกินเลยก็ได้"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "ข้ารู้ พวกท่านล้วนแต่รักข้ามาก"
ซูซานหลางระอาใจเหลือทน เ้าตัวเล็กคนนี้ของเขาไม่ได้เื่เลยจริงๆ
"เ้าเป็เด็กผู้หญิง" เขาเตือนสติ
เฉียวเยว่มองบิดาของตนเองด้วยความสงสัย "ข้ารู้ว่าตนเองเป็ผู้หญิง ฉีอันเป็ผู้ชาย ท่านพ่อ ตอนนี้แม้แต่ชายหญิงท่านก็แยกไม่ออกแล้วหรือ"
ซูซานหลางรู้สึกคันไม้คันมือยุบยิบ
"ว้าว ของอร่อยทั้งนั้น พวกท่านเอามาให้ข้าเยอะเลย"
เฉียวเยว่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนตั่งพูดกับฉีอัน "ฉีอัน พวกเราเหลือเก็บไว้นิดหน่อย หลังจากนั้นก็แบ่งไปให้ท่านปู่ท่านย่า แล้วก็ท่านตาด้วยดีหรือไม่?"
คนยังไม่ไป เ้าตัวเล็กก็เริ่มแบ่งปันสิ่งของต่อหน้าแขกแล้ว
ซูซานหลางไม่รู้ว่าจะเอาหน้าของตนเองไปไว้ที่ไหน เขาถอนหายใจอย่างเศร้าๆ รู้สึกว่าคุณชายงามสง่าดุจหยกอันใดหลังจากแต่งงานแล้ว ก็ต้องกลายเป็คนสามัญที่ต้องอยู่กับฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มและใบชาอยู่ดี
ต่อให้อยากสง่าผ่าเผยสักปานใดก็ไม่อาจต้านทานความแก่นแก้วซุกซนของซาลาเปาน้อยของตนเองได้ ทุกวันช่างสรรหาเื่มาท้าทายทั้งสติปัญญาและความอดทนของเขา จนเขาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
มองท้องฟ้าอันเวิ้งว้างก็ได้แต่ทอดถอนใจให้กับสิ่งที่คาดไม่ถึงทั้งหลายในโลกนี้
"ท่านพ่อ ท่านเชิญท่านลุงมา ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านลุง ท่านตาอายุมากแล้ว ต้องมีคนช่วยเอาให้ ท่านลุงเหมาะสมที่สุด"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี
"ข้าชอบท่านลุงที่สุด ท่านลุงมาพรุ่งนี้ ข้าจะสวมชุดกระโปรงสีขาวพระจันทร์" เฉียวเยว่ดึงนิ้วมือป่าวประกาศ
"สีขาวพระจันทร์? เพราะเหตุใด?" ิ่จื้อรุ่ยรู้สึกว่าแม้ว่าตนเองจะมีชีวิตถึงหนึ่งหมื่นปีก็ไม่อาจเข้าใจความคิดของเฉียวเยว่ นางมักจะแปลกประหลาดกว่าเด็กทั่วไป
เฉียวเยว่ชำเลืองมองเขา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า "ท่านไม่รู้สึกหรือว่าข้าสวมชุดกระโปรงสีขาวพระจันทร์แล้วดูคล้ายคลึงกับเทพธิดาหรือ?"
"เทพธิดา เทพธิดา" คนที่สร้างกำลังใจได้ดีที่สุดเสมอก็คือน้องชายร่วมอุทรของนาง
ฉีอันะโพลางร้องว่า "เฉียวเฉียวเป็เทพธิดาน้อย"
เฉียวเยว่เชิดคางอย่างทะนงตน "พวกท่านยอมรับหรือยัง?"
"สีขาวยิ่งดูอ้วน" ิ่จื้อรุ่ยโจมตีจุดอ่อนของเฉียวเยว่ทันควัน พลางยิ้มเยาะ "เดิมทีก็จ้ำม่ำอยู่แล้ว สวมชุดสีขาวยิ่งอ้วนไปใหญ่"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "เด็กผู้หญิงมีเนื้อมีหนังน่ารักที่สุด"
"เฮอะ ยังมาเถียงข้างๆ คูๆ"
เฉียวเยว่ม้วนแขนเสื้อ "มาสิ พวกเราไปวัดกันตัวต่อตัวหน้าประตูดีกว่า"
...
[1] เฝ้าตอรอกระต่าย เป็สำนวนหมายถึง คนที่เฝ้ารอได้รับผลประโยชน์หรือผลงานโดยที่ไม่คิดจะลงแรงไขว่คว้าหรือพยายาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้