ผู้คนในที่แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็ิญญาพฤกษาและิญญาอาวุธ พวกเขาจึงคุ้นเคยกับสถานการณ์ของจื๋อซิวเป็อย่างดี ทว่าไม่เคยเห็นผู้มีสถานการณ์เช่นหนิงเทียนมาก่อน
ชายสวมหน้ากากจ้องมองหนิงเทียนก่อนความสยดสยองจะฉายในดวงตา จากมุมมองของหยวนซิว สถานการณ์ของหนิงเทียนยามนี้ดูเหมือนจะคล้ายคลึงกับตำนานโบราณ
ทันใดนั้นเจตนาสังหารก็เกิดขึ้นในใจของชายสวมหน้ากาก หนิงเทียนเป็ตัวแปรสำคัญของหยวนซิว เขาจะต้องถูกสังหารและไม่อาจปล่อยให้มีโอกาสเติบโตได้
“ดาบเพลิงเยือกแข็ง!” พลันแผนภาพแห่งเต๋าทั้งเก้าก็ปรากฏข้างกายชายสวมหน้ากาก หนึ่งในแผนภาพแห่งเต๋ามีเปลวเพลิงหมุนวนและแผนภาพหยวนอีกหนึ่งภาพก็มีน้ำแข็งส่องสว่าง เมื่อทั้งสองรวมเข้าด้วยกันก็ดูดซับพลังิญญาแห่งฟ้าดิน แล้ววิวัฒนาการเป็ดาบสังหาร
ดวงตาของหนิงเทียนราวกับหุบเหวลึก พร้อมใช้ทักษะเก้าเนตร์ระดับสามทำการโจมตีทางจิต
ชายสวมหน้ากากใมาก ความรู้สึกส่องสะท้อนออกมาจากรูม่านตาซึ่งสะท้อนการโจมตีทางจิตได้อย่างแท้จริง
หนิงเทียนเบี่ยงร่างเลี่ยงดาบเพลิงเยือกแข็งพร้อมกับวังวนพลังทั้งเจ็ดที่ปรากฏขึ้นข้างกายอย่างเด่นชัด
เขาใช้กายเต๋าิญญาศักดิ์สิทธิ์และยุทธศาสตร์ครอง์ซึ่งบรรจุจิติญญาแห่งการต่อสู้ในเวลาเดียวกัน เป็เหตุให้พลังทั่วร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้น และทะลวงพันชั้นก็เคลื่อนเข้าไปท้าทายศัตรู
ดาบเพลิงเยือกแข็งที่น่าสะพรึงกลัวกระทบหมัดของหนิงเทียนอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟพร่างพราย และแรงกระทบก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายกระเด็นออกจากกัน
“กระบี่วาโยกระจ่าง!” ขณะที่ชายสวมหน้ากากถอยกลับไป เขาก็ยกนิ้วมือซ้ายวนกระบี่ การเคลื่อนไหวนี้ราวกับจังหวะปาฏิหาริย์ซึ่งหนิงเทียนไม่มีเวลาหลบหลีก
ปราณกระบี่เล็งที่คอของเขา แม้พลังอันน่าหวาดหวั่นจะทำให้หนิงเทียนกระเด็นไปด้านหลังเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายกายาสุวรรณะนิรันดร์ของเขาได้อยู่ดี
“วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น!” หนิงเทียนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว หญ้าข้างกายสั่นไหว จิติญญาแห่งการต่อสู้ทะยานขึ้น มือทั้งสองข้างผสานเข้ากับทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั และบางครั้งก็ลอกเลียนกลอุบายที่ชายสวมหน้ากากใช้ด้วย ซึ่งทำให้ผู้ชมต่างก็ตื่นใ
“ถ้าเ้าพยายามเลียนแบบคนอื่น เ้าจะพ่ายแพ้” ชายสวมหน้ากากเยาะเย้ยถากถางหนิงเทียนที่ใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องของตน การลอกเลียนความแข็งแกร่งของศัตรูถือเป็การแสวงหาความตายโดยสิ้นเชิง
เมื่อหนิงเทียนงอแขนและดีดนิ้ว ปราณกระบี่ก็หายไปในพริบตา ซึ่งหลายคนไม่สามารถเข้าใจมันได้
ดวงตาของชายสวมหน้ากากเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้นแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาและสะท้อนปราณกระบี่บางเฉียบราวกับเส้นผม บางส่วนแตกหัก ทว่าบางส่วนก็สามารถทะลุเข้าไปในิัของชายสวมหน้ากากได้
“เืลมผลาญชั้นฟ้า!” ชายสวมหน้ากากแผดเสียงดังลั่น เขาใช้พลังเืลมของตนทำลายปราณกระบี่ที่เจาะเข้าไปในร่าง สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของหนิงเทียนเปลี่ยนไปด้วยความใ
วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นนั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและคนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ คาดไม่ถึงว่าปรมาจารย์รุ่นเยาว์ผู้นี้จะสามารถต้านทานไว้ได้
หนิงเทียนจึงเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว พลันทะเลเพลิงปรากฏขึ้นในดวงตา เขาเริ่มหมุนเวียนทะลวงพันชั้นแล้วร่างของเขาก็เปล่งประกายด้วยเปลวเพลิงสีทอง ทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ถูกผลักดันจนถึงขีดสุด
หมัดของหนิงเทียนมีพลังหนึ่งหยวน ซึ่งคิดเป็น้ำหนักถึงหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยจิน นับว่าเป็พละกำลังที่เกินขีดจำกัดของั์หนึ่งแสนตัว
“กายสุวรรณผสานหยวน!” ชายสวมหน้ากากะโเสียงดัง จิติญญาการต่อสู้ของเขาสูงส่งและรุนแรง ก่อนจะใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงในการรับมือกับหนิงเทียน
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันราวกับดวงอาทิตย์พุ่งชนกัน หมัดนับร้อยแลกเปลี่ยนกันในชั่วพริบตาและยากที่จะบอกความแตกต่างได้
ท่ามกลางกลุ่มผู้ชมในลานประลอง ชิงผีซานะโลั่น “เยี่ยม! สู้มัน เอาชนะให้จงได้!”
ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนแสดงสีหน้าประหลาดใจ คราแรกไม่มีใครมองหนิงเทียนในแง่ดีและคิดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้แน่ แต่ยามนี้ทั้งสองฝ่ายกลับต่อสู้กันหลายร้อยกระบวนท่า แม้ชายสวมหน้ากากจะยังคงได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แต่ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ใหญ่นัก
ยิ่งหนิงเทียนต่อสู้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเท่านั้น เืลมของเขาพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง การรวมตัวของกายเต๋าิญญาศักดิ์สิทธิ์และยุทธศาสตร์ครอง์มีแนวโน้มที่จะราบรื่น และสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ก็ค่อยๆ สบายขึ้น
ดวงตาของชายสวมหน้ากากฉายแววแสนเ็า เขายังคงรักษาความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะเอาไว้ด้วยใจเต๋ามั่นคง และเริ่มใช้พลังอันยิ่งใหญ่ที่แตกต่างกัน
หนิงเทียนใช้กลยุทธ์หนึ่งกำลังชนะสิบ[1] เขาตระหนักดีว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของชายสวมหน้ากากนั้นด้อยกว่าตัวเอง แม้กายสุวรรณผสานหยวนของอีกฝ่ายจะน่าสะพรึงกลัว แต่กายาสุวรรณะนิรันดร์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเช่นกัน
“ตัดสายธารผ่าแสง!” เสียงคำรามอันรุนแรงสั่นะเืไปทุกทิศทาง ชายสวมหน้ากากเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดและก่อให้เกิดความรู้สึกถึงวิกฤตในใจของหนิงเทียน
แสงกระบี่โค้งอย่างสง่างามท่ามกลางความว่างเปล่า ราวกับเสียงลมหวนก้องอยู่ในหูของหนิงเทียน พร้อมเสียงเรียกแห่งความตาย
ความเศร้าโศกแวบขึ้นมาในแววตาของหนิงเทียน รากฐานของเขาแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทว่าอีกฝ่ายคือปรมาจารย์เหนือเมฆา แม้ขอบเขตของเขาจะถูกปราบปรามให้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึก แต่วิสัยทัศน์ ความรู้ ประสบการณ์ และการประยุกต์ใช้ก็ย่อมเหนือกว่าตนมาก
“เคลื่อนย้าย!” พลันทหาริญญาเยาเยาก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมดึงหนิงเทียนออกจากการโจมตีที่รุนแรงครั้งนี้
หนิงเทียนหันกลับไปมองชายสวมหน้ากากด้วยแววตาจริงจัง “ปรมาจารย์รุ่นเยาว์นั้นไม่ธรรมดา ด้วยความรู้และประสบการณ์อันสูงส่งของเขา แม้จะลดระดับเพื่อต่อสู้กับผู้อื่นก็ยังชนะได้โดยไม่ต้องออกแรง”
ชายสวมหน้ากากพูดอย่างเ็า “นี่คือธรรมชาติคัดสรร การพูดเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไป”
หนิงเทียนตะคอกกลับอย่างเกรี้ยวกราด “ยังเร็วเกินไปที่เ้าจะภาคภูมิใจ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน!”
เขาเก็บทหาริญญาลงไปแล้วะโขึ้นสูง พร้อมฉีกกระชากห้วงอากาศทันที “ทะลวงพันชั้น!”
“ฝ่ามือน้ำแข็ง!”
“กระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น!”
“นิ้วหลอมหยวน!”
ทั้งสองฝ่ายต่างฟาดฟันกันอย่างดุเดือด และข้อได้เปรียบด้านความแข็งแกร่งของหนิงเทียนก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา หมัดของชายสวมหน้ากากโชกไปด้วยเืจากการถูกทุบตี และดวงตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว
“กายสุวรรณผสานหยวนของเ้าเป็ได้เพียงเท่านี้หรือ? แย่ยิ่งกว่าทักษะของข้าเสียอีก ช่างน่าอับอายจริงๆ!”
กายาสุวรรณะนิรันดร์ของหนิงเทียนนั้นเป็ะและอยู่ยงคงกระพัน เมื่อรวมกับพลังหนึ่งหยวนก็สามารถกวาดล้างคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้
“เ้าก็เพียงใช้กำลังอย่างดุร้ายเท่านั้น! มาดูกันว่าข้าจะเอาชนะเ้าได้หรือไม่!” ชายสวมหน้ากากคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แผนภาพแห่งเต๋าทั้งเก้ารวมเป็หนึ่งเดียวและแผ่รัศมีน่าสะพรึงกลัวปกคลุมทุกพื้นที่
“แน่แล้ว!” ชิงผีซานกรีดร้อง และผู้ชมต่างก็แสดงอาการใเช่นกัน
ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกายด้วยทักษะดวงเนตร เขาสามารถเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้น่ากลัวเพียงใด ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์จากขอบเขตในการรวมเส้นลมปราณทั้งเก้าเข้าด้วยกัน ซึ่งหนิงเทียนที่อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดยังไม่อาจทำได้
“อเวจีทมิฬกลืนกิน!” วังวนพลังปรากฏขึ้นบนร่างของหนิงเทียน เขากลืนกินพลังฟ้าดินและปรากฏลวดลายแห่งจิติญญาแผ่กระจายอยู่ใต้เท้า ทั้งยังมีดอกบัวบานสะพรั่งไปทั่ว
ชายสวมหน้ากากทรงพลังมากจนน่าใก่อนจะกล่าวข่มว่า “เผชิญกับความตายเสียเถอะไอ้หนู!”
ทันใดนั้นฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวจนไม่สามารถจินตนาการได้ก็เข้าบีบอัดห้วงอากาศ ทำให้หนิงเทียนไม่สามารถหลีกพ้นได้
“ชีพจรข้าครอง์!” หนิงเทียนตีลังกากลับหัวทิ้งผมยาวสยายลงเบื้องล่าง รูขุมขนของเขาเปิดกว้าง ร่างกายของเขาลุกไหม้ด้วยแสงแห่งจิติญญาที่พุ่งออกมา จากนั้นมือขวาของเขาก็พุ่งทะลวงฝ่ามือของชายสวมหน้ากาก
ขณะนั้นพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของหนิงเทียนราวกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ทั้งยังพยายามทำลายเส้นลมปราณเพื่อะเิร่างกายของเขา
ลวดลายทางจิติญญาเบ่งบานอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหนิงเทียน เมื่อดอกบัวะเิออกก็ช่วยแบ่งเบาพลังทำลายล้างในร่างให้กับเขา
ขณะเดียวกันหมัดของหนิงเทียนก็รวมเข้ากับวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นและพลังหนึ่งหยวน ก่อนจะกลายเป็ปราณกระบี่ที่เจาะทะลวงเข้าไปในร่างของชายสวมหน้ากาก จนบรรดาผู้ชมที่ดูการต่อสู้ต่างก็รู้สึกกังวล
หนิงเทียนถอยกลับอย่างรวดเร็ว เืสีแดงฉานหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ฝ่ามือเก้าลมปราณหลอมหยวนของศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังเป็การเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดอย่างยิ่ง
ชายสวมหน้ากากคำรามอย่างเกรี้ยวกราด หลังจากออกหมัดเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่ย เืทะลักออกมาตามสะบัก แผ่นหลัง ต้นแขน และต้นขา เขาาเ็สาหัสจากการะเิพลังของวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น และการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็ทำร้ายทั้งสองฝ่าย ซึ่งเกินความคาดหมายของทุกคน
ชิงผีซานกำหมัดแน่นและะโเสียงดัง “เยี่ยมมาก!”
หลายคนก็รู้สึกแบบเดียวกัน หนิงเทียนเป็ตัวแทนของจื๋อซิวในการต่อสู้กับหยวนซิว ทุกคนจึงตื่นเต้นมากที่เขาสามารถสู้ได้ขนาดนี้
ปรมาจารย์หยวนซิวรุ่นเยาว์ผู้ได้รับชัยชนะเก้าสิบเก้าครั้งติดต่อกัน ในที่สุดเขาก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ช่างเป็เื่ที่น่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้
หนิงเทียนหัวเราะเยาะพร้อมดวงตาที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง “กายสุวรรณผสานหยวนถูกทำลายลงแล้ว ก้าวต่อไปคือจุดเริ่มต้นหายนะของเ้า!”
ชายสวมหน้ากากกล่าวอย่างโกรธเคือง “ภายในของเ้าก็าเ็สาหัสเช่นกัน ความแข็งแกร่งลดลงอย่างมาก การปะทะครั้งต่อไปเ้าย่อมพ่ายแพ้!”
“พ่ายแพ้หรือ? เ้าทะนงเกินไปแล้ว ความเร็วในการกลืนกินพลังิญญาและซ่อมแซมตนเองของเ้าแย่กว่าข้ามาก”
หนิงเทียนมีแหล่งกำเนิดชีวิต เขาจึงสามารถกลืนกินพลังิญญาได้เร็วกว่าเจ็ดร้อยเท่า ซึ่งแม้แต่ปรมาจารย์หยวนซิวก็ยังเทียบไม่ติด
“หยิ่งผยองยิ่งนัก! ระวังให้ดีเถอะ” ชายสวมหน้ากากนั้นมากประสบการณ์ เขาไม่ให้โอกาสหนิงเทียนได้พักหายใจและเรียกใช้ฝ่ามือเพลิงเยือกแข็งทันที
หนิงเทียนหาได้เกรงกลัวไม่ เมื่อทะลวงพันชั้นผสานกับทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั พร้อมเสริมด้วยอเวจีทมิฬกลืนกิน มันก็สามารถดูดกลืนได้แม้กระทั่งพลังงานในร่างของชายสวมหน้ากาก
ชายสวมหน้ากากเป็ถึงปรมาจารย์ที่ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนและมีพลังวิเศษมากมาย ซึ่งหนิงเทียนไม่สามารถเทียบได้เลย
ทั้งสองฝ่ายล้วนมีเอกลักษณ์และแสดงจุดแข็งของตน แม้จะมีการเคลื่อนไหวมาหลายพันครั้งแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะบอกความแตกต่าง
กายาสุวรรณะนิรันดร์ของหนิงเทียนนั้นอยู่ยงคงกระพัน ชายสวมหน้ากากจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ขอบเขตของชายสวมหน้ากากนั้นก็สูงกว่าเขา ขณะนี้เขาจึงไม่สามารถทำอะไรชายสวมหน้ากากได้เช่นกัน
“เผาผลาญแก่นแท้โลหิต ภัยพิบัติหยวนทำลายเต๋า!” ชายสวมหน้ากากคำรามก่อนจะใช้ทักษะต้องห้ามซึ่งทำให้กลุ่มผู้ชมกรีดร้อง
ชิงผีซานหน้าซีดเผือดและสาปแช่งด้วยความโกรธ “ช่างไร้ยางอายเสียจริง หน้าด้านถึงที่สุด!”
หนิงเทียนััได้ถึงอันตราย ชายสวมหน้ากากเป็ถึงปรมาจารย์รุ่นเยาว์ผู้มีสายเืพิเศษ และขณะนี้พลังแห่งสายเืที่เผาไหม้ก็กำลังดำเนินการขั้นสูงสุด รวมถึงพลังนิ้วหยวนอันโเี้อำมหิตก็สามารถเจาะทะลุกายาสุวรรณะนิรันดร์ได้จริงๆ
ใน่วิกฤตของชีวิต หนิงเทียนก็เบิกตากว้างอย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง ทว่าก็ไม่สามารถต้านทานได้ทั้งยังถูกทุบตีจนต้องถอยกลับอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ จนชิงผีซานถึงกับะโบอกให้ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสีย แต่หนิงเทียนกลับเพิกเฉย
ปรมาจารย์รุ่นเยาว์นั้นยอดเยี่ยมจริงหรือ? เขาถึงกับหวาดกลัวการโจมตีแสนโเี้ของตนด้วยซ้ำ
แผนที่จิติญญาทั้งเจ็ดในร่างกายของหนิงเทียนตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แหล่งที่มาของชีวิตกำลังซ่อมแซมอาการาเ็ภายในอย่างเมามัน จิตใจครุ่นคิดว่าจะจัดการกับศัตรูอย่างไร
“ฝังกลบเซียน ฝังไว้ใต้ผืนปฐีและท้องนภา ฝังอย่างไรจึงเป็นิรันดร์?” เสียงแ่เบาดังก้องอยู่ในห้วงความคิด ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา
ทันใดนั้นเงาแห่งขุนเขาก็ปรากฏขึ้นเหนือแผนที่จิติญญาที่เจ็ดในร่างของหนิงเทียน มันส่งเสียงทุ้มต่ำราวกับเพรียกหาสหายเก่าจากอดีตชาติและตามหาความรักในชาตินี้
“บุปผาบานสะพรั่งก่อนร่วงโรยและปลิดปลิวเต็มฟากฟ้า กลีบผกาซีดจางและกลิ่นขจรเลือนหายด้วยผู้ใดนำพา ข้าฝังบุปผาท่ามกลางเสียงเยาะหยันว่าโง่เขลา ยามม้วยช่วยกลบฝังเขาจะรู้หรือว่าเป็ผู้ใด จวบใกล้วสันตฤดูโฉมหม่นเฉา เหล่าบุปผาร่วงหล่นผู้คนลาลับไม่อาจล่วงรู้”
นี่คือทักษะฝังบุปผาในแผนที่จิติญญาที่เจ็ด ย้อนกลับไปยามที่หนิงเทียนอยู่ในประตูศักดิ์สิทธิ์เก้า์ ทันทีทีก้าวเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ด เขาก็รีบเสริมรากฐานด้วยยันต์เต๋าอนันต์ซึ่งทำให้เขายังไม่มีเวลาทำความเข้าใจปริศนานี้
ขณะนี้ความลับของทักษะฝังบุปผาเป็เหมือนบทเพลงที่บรรเลงอยู่ในใจ ทั้งยังทำให้เขารู้สึกเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก
“ฝังกระดูกลงดิน ข้าฝังเซียน บุปผาที่ร่วงหล่นจมลงสู่เหวลึก!” หนิงเทียนแผดเสียงขึ้นมาอย่างกะทันหัน แผนที่จิติญญาทั้งเจ็ดในร่างได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ และเนินเขาด้านหลังก็หมุนวนมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
ูเาหนึ่งลูกและสันเขาทั้งเก้าเปรียบเสมือนรังัที่ขจัดความลึกลับของฟ้าดินจนหมดสิ้น
หนิงเทียนไม่เคยรู้มาก่อนว่าูเาลูกนี้สามารถฝังกระดูกได้หลายพันชิ้น ทั้งยังฝังความงามในใต้หล้าไว้อีกมากมาย
ทันใดนั้นูเาก็ขยายใหญ่ขึ้นและสันเขาทั้งเก้าก็เหมือนเหวลึก ซึ่งสามารถทนทานต่อแรงกดดันจากพลังนิ้วหลอมหยวนได้ราวกับเหวไร้จุดสิ้นสุดนี้กำลังกลืนแก่นแท้โลหิตของชายสวมหน้ากาก ทั้งยังพยายามดึงดูดเขาเข้ามาฝังไว้ใต้ดิน
ชายสวมหน้ากากตกตะลึงอย่างยิ่ง นี่คือทักษะอันทรงพลังที่สุดของเขาซึ่งไม่เคยล้มเหลว ทว่าหนิงเทียนกลับสามารถต้านทานได้
“กระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น!” หนิงเทียนดีดนิ้วส่งดอกไม้ปลิวว่อน ปราณกระบี่เปี่ยมด้วยอานุภาพ พลังหนึ่งหยวนถูกบีบอัดเป็กระบี่ที่บางกว่าเส้นผม จากนั้นก็เข้าโจมตีชายสวมหน้ากากจนเืเนื้อของเขาปลิวว่อน พร้อมปรากฏชุดเกราะขึ้นบนร่างกาย
เสียงคำรามอย่างไม่เต็มใจมาพร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ชายสวมหน้ากากทั้งโกรธแค้นและเกลียดชัง เขาอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกก้าวเดียวเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าหนิงเทียนจะมาขวางทางเขาเช่นนี้
หลังจากกายสุวรรณผสานหยวนถูกทำลาย เขาก็าเ็สาหัสจากวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น นอกจากนี้การเผาไหม้แก่นโลหิตยังทำให้พลังชีวิตของเขาเสียหายอย่างรุนแรง ยามนี้เขาจึงมองไม่เห็นความหวังแห่งชัยชนะอีกต่อไป
หนิงเทียนเต็มไปด้วยจิติญญาแห่งการต่อสู้และเจตนาสังหาร เขา้าฆ่าชายผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อย่างแท้จริง ทว่าชายสวมหน้ากากกลับหันหลังแล้วหลบหนีไปได้เสียก่อน
---------------------------------------
[1] กลยุทธ์หนึ่งกำลังชนะสิบ (一力降十会的打法) คือ การที่ผู้แข็งแกร่งหรือมีพละกำลังมากล้นเพียงหนึ่งคนสามารถเอาชนะบรรดาผู้มีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ซึ่งมีจำนวนมากกว่าได้ ทั้งยังเป็การอุปมาว่ากลยุทธ์ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งที่แท้จริง
