ฮวาเฟยฟาพยักหน้าให้เ้าวั่งซู เ้าวั่งซูเรียกหลิ่งกวางกลับมาหาตน และท่องมนต์เรียกกลับเพลิงปรภพ ทุกอย่างดับลง หลิ่งกวางคืนร่างเป็จิ้งจอกดำตัวเล็กกระโจนขึ้นนั่งบนบ่าเ้าวั่งซู
ฮวาเฟยฟาพนมมือจรดหน้าอกลูกแก้วสีน้ำเงินเปล่งแสงรอยออกมาจากหน้าผาก
“มนต์แห่งั จงฟังข้า คลื่นน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลใต้” สิ้นเสียงฝนฟ้าก็ตั้งเค้า และตกลงบริเวณที่มอดไหม้ชุบชีวิตให้กับสิ่งที่ดำเป็ตอตะโกให้ฟื้นคืนในระดับหนึ่ง มนต์นี้สามารถคืนความงดงามให้ร่างที่ตายได้ แต่ไม่สามารถคืนิญญาให้สิ่งนั้นได้ มีต้นไม้พฤกษาใหญ่น้อยล้มตายมากมายจากการสู้รบเมื่อสักครู่
“พวกข้าไม่ผิดนะ พวกข้าพูดดีๆ แล้ว ท่านต้นไม้เฒ่านั่นก็ไม่ฟังกลับเรียกพวกแก๊งดึกดำบรรพ์นั่นมารุมพวกข้า พวกข้าก็ต้องป้องกันตัว” เ้าวั่งซูเอามือกอดอกพูด โดยมีหลิ่งกวางที่นั่งอยู่บนบ่าส่งเสียง “แง๊วๆ” สนับสนุน
“ฮ่าๆๆ!” หลานหลี่เซ่อหัวเราะขึ้น “หาได้ไม่ หาได้ไม่ ท่านเหล่าผู้เฒ่าหมู่ซู่ยืนต้นจ้องมองไปที่พระมารดาแห่งจิติญญา มาเป็พันเป็หมื่นปี หาได้มีคนสิ่งมีชิวิตจากภพภูมิใดข้ามมาที่นี่ได้ ครานี้เห็นทีจะเป็ครั้งแรกที่เจอคนต่างภพภูมิ เลยรู้สึกถึงอันตรายและเข้าปกป้องพระมารดาแห่งชีวิตก่อน อย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา”
“แต่ท่านผู้เฒ่าม่องเท่งไปแล้ว ใครจะถือสาใครอีกทีนี้” เ้าวั่งซูกระซิบฮวาเฟยฟา ฮวาเฟยฟาหันไปส่งตา “อย่าพูดเล่น”
ทันใดนั้น หลานหลี่เซ่อก็ลอยกลับขึ้นไปบนฟ้า พร้อมเสกกู่เจิงขึ้นกลางดวงจันทร์ และเริ่มจรดนิ้วบรรเลงทำนองแปลกๆ ไพเราะแต่เศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์แต่ก็ทอดยาวไปได้เรื่อยยิ่งฟัง ก็เหมือนทำนองจะพยายามเรียกหา และพันผูกบางสิ่งให้กลับมา
“มนต์คืนิญญา ทำนองที่ถูกเก็บให้สาบสูญอยู่บนหอจิ่งซื่อเย่เถวีย (หอมนตรา์) มนต์นี้คือการเรียกิญญาคืนกลับเข้าร่าง แต่ส่วนใหญ่ร่างนั้นจะแตกสลาย และดวงิญญาเมื่อออกจากร่างก็จะสูญเสียสัญญาเจตสิกไปจนหมดสิ้น ทำนองนี้จึงเป็การเรียกิญญาที่หลงหลงลืมกลวงเปล่า มาเข้าและกอปเข้ากับร่างที่แตกสลาย เป็เหมือนการสร้างผีร้ายมากกว่าการชุบชีวิต ดังนี้มนต์ทำนองนี้จึงถูกทำให้หายไปตลอดกาล” ฮวาเฟยฟาเล่า
“อ้าว! นี่ต้นไม้ก็แตกสลาย และดวงิญญาของพวกตาเฒ่านั่นก็คงลืม ถ้าออกจากร่าง เรียกกลับมาจะกลายเป็อะไร อย่าบอกว่าเรียกสัตว์ประหลาดภูติผีากลับมาสู้กับเรา” เ้าวั่งซูบ่น
“ข้าว่าไม่อย่างนั้นหรอก เ้าดูวัฏจักรของพืชพันธุ์ที่นี่สิ มันต่างจากสิ่งอื่นๆ ในต่างภพรวมถึงภพภูมิมนุษย์ของพวกเราด้วย พวกเราตายร่างกายสลายิญญาลืมเลือนไปเวียนว่ายเข้าร่างใหม่ ภพภูมิใหม่แล้วแต่สิ่งที่สร้างสิ่งที่ทำสิ่งที่สะสมมาในขณะมีชีวิต แต่พืชพันธุ์าเหล่านี้ตายลงแต่กลับรวมร่างเป็หนึ่งเดียวกับพวกที่เหลือยู่คล้ายว่าพวกเค้าใช้วิธีนี้ถึงอยู่เป็ะมานับหมื่นปีไม่เคยตาย และสูญสลายอย่างแท้จริง ดวงจิตที่ปฏิสนธิภพภูมินี้ล้วนเป็ะและอยู่ในวังวนของตัวเอง” ฮวาเฟยฟาเอ่ย เ้าวั่งซูทำหน้าอึ้ง กับสิ่งที่พึ่งได้ฟัง
“ถูกแล้วองค์ชายฮวา ท่านช่างปราดเปรื่องยื่งนักสมคำร่ำลือ ว่าคุณชายหนึ่งเดียวแห่งเผ่าพันธุ์ัในรอบพันปี ผู้คนต่างโจษจันก์ว่าท่านคือหอจิ่งซือเย่เถวียเคลื่อนที่ เสียงลือเสียงเล่าอ้างไม่เกินจริง นับถือๆ” หลานหลี่เซ่อที่ยังนั่งเท่งเต้งกลางฟ้าดีดทำนองคืนิญญาไม่ขาดสาย กล่าวชมแต่มือก็ยังกรีดกรายลงบนกู่เจิงไม่ขาดสาย ทำนองมิมีขาดห้วง หลานหลี่เซ่อเล่าต่อว่า
“ถูกแล้ว! ท่านเข้าใจถูกแล้ว วัฏจักรชีวิตของภพพืชพันธุ์นั้นหมุนวนและผสมแตกหน่อออกเรื่อยๆ จะไม่มีร่างกายหรือพันธุ์พืชไหนสูญพันธุ์หรือสาบสูญอย่างแท้จริง แต่จะคืนกลับและรวมร่างหรือส่งต่อเมล็ดเพื่อถือกำเนิดขึ้นใหม่หมุนวนไป ส่วนเื่ิญญาที่ท่านสงสัยนั้น จริงๆ แล้วพวกเราไม่เคยสูญเสียสัญญาเจตสิก และไม่ได้ไปติดอยู่ในสังสารวัฏเฉกเช่นดวงิญญาจากภพอื่นๆ ที่วนเวียนสลับกันไปมา
แต่ที่ภพพืชพันธุ์นั้น ดวงจิตถูกกอปรสร้างขึ้นจากพระแม่แห่งจิติญญา (ต้นไม้แห่งชีวิต) ท่านสร้างดวงจิตโดยดึงเอาส่วนหนึ่งของธรรมชาติมากอปรสร้างขึ้นกับพลังแห่งท่าน เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ ของดวงิญญา ดังนั้นทุกิญญาที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันดับแต่แค่รอเพื่อกลับเข้าร่างเดิม เสมือนว่าเราแค่หลุดออกจากร่างชั่วขณะ เพื่อรอร่างซ่อมแซม และคืนกลับเข้าสู่ร่างเดิมด้วยความทรงจำเดิม” หลานหลี่เซ่อกล่าวขณะมือก็ยังดีดกูเจิงร่ายทำนองคืนิญญามิมีขาดห้วง เหล่าดวงิญญาของเหล่าหมู่ซู่เริ่มปรากฏเป็แสงลอยหวีดวิ้วไปมาทั่วอาณาบริเวณ และเตรียมลอยกลับเข้าร่างที่อยู่บริเวณนั้น เสียงกู่เจิงเริ่มหยุดลง
“พวกท่านรอข้าตรงนี้สักครู่ ข้าจะพาใครสักคนมาเจอพวกท่าน” หลานหลี่เซ่อบอกทั้งสี่ และเหาะตรงไปยังป่าทึบ ผ่านไปสักพักก็บินกลับมายืนตรงหน้า เฟยฟาและวั่งซู
“ ใครที่ท่านอยากให้พวกเราพบ” เ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“พวกท่านเดินทางมาถึงนี่ ก็เพื่อหาคำตอบของข้าหลานหลี่เซ่อ กระจกภพพืชพันธุ์ ภพพืชพันธุ์ และต้นไม้แห่งชีวิตใช่ไม๊ ข้าจึงไปพาคนที่จะสามารถช่วยข้าเล่าเื่นี้ได้” หลานหลี่เซ่อกล่าว
ไกลออกไปในป่าทึบที่ทั้งสี่จากมาเงาไม้พุ่มไม้เริ่มขยับสั่นไว้พร้อมเสียงเท้ากระทืบขึ้นดังแหวกทางออกมา
“นั่นมันตัวอะไรอีกอ่ะ” เ้าวั่งซูเอ่ย
เมื่อหลุดพ้นจากดงป่าทึบมา ก็พบร่าง ต้นไม้ผอมสูงใหญ่แต่มีดอกไม้้าพุ่มใบ กำลังก้าวเดินตรงมาทางกลุ่มคนทั้งห้า
“นี่มัน “ดอกชงโคทอง์” ดอกไม้ที่สูญพันธุ์ไปหลายร้อยปีแล้ว” ฮวาเฟยฟาตื่นเต้นกับความงามของดอกชงโคทอง์ เป็รวงยาวกลีบใหญ่ และกลีบเล็กซ้อนทับกันหลากสีสัน แต่กรีบที่ใหญ่สุดด้านนอกเป็สีทองอร่าม และหนักดั่งทองคำมีเกสรแทรกออกมาตามกลีบเป็เหมือนถุงทองทั้งดอก มีกากเพชรระยิบระยับเปล่งประกาย ดอกชงโคทอง์นี้เป็ดอกไม้ที่ออกแล้วจะไม่มีวันเฉาจนต้นตาย ในอดีตเป็ดอกไม้ที่จะถูกนำมาประดับทุกงานบน์ และเป็ของกำนัลทที่ล้ำค่าที่องค์จักรพรรดิ และ องค์จักรพรรดินีแห่ง์ชอบประทานแก่เหล่าทวยเทพ แต่เนื่องจากต้นสุดท้ายหมดอายุขัยลง และไม่มีใครสามารถเพาะต่อสายพันธุ์ได้จึงทำให้ดอกชงโคทอง์สูญพันธุ์ไปตลอดกาล
“น่าเลื่อมใส! น่าเลื่อมใส! องค์ชายฮวานี่คือหมู่ซู่าหนึ่งสายพันธุ์ที่ไม่น่ามีในภพไหน “ต้นกำเนิดดอกชงโคทอง์” เพราะเป็ต้นกำเนิดลำต้นถึงใหญ่โตมโหฬาร ส่วนพวกที่กระเด็นไปยังต่างภพล้วนเป็แค่เศษเสี้ยว และเมล็ดพันธุ์ที่ไม่แข็งแรงมาก” หลานหลี่ซื่อกล่าว
“ภพพืชพันธุ์ ช่างเป็สถานที่ที่น่าทึ่งจริงๆ” ฮวาเฟยฟาเอ่ย