หลิวสี่กุ้ยมีบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง ซึ่งก็คือหลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ่อร์ ในยุคสมัยที่มีลูกหลานมากมายคือความมั่งมี หลิวฉีซื่อไม่มีทางยินยอมให้บุตรชายคนโตกับสะใภ้ทำแท้งลูกในท้องแน่นอน
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วก็รู้สึกแปลก ในใจเกิดไฟสุมทรวงอย่างบอกไม่ถูก “พ่อ ถ้าพูดเช่นนี้ ตอนนั้นย่าไม่ควรจะจับน้องเล็กไปกดให้จมน้ำตายในอ่างแช่เท้านี่นา”
อ่างแช่เท้าเป็ภาษาถิ่นของบริเวณนี้ ซึ่งหมายถึงอ่างอาบน้ำ แต่ต่างจากยุคปัจจุบัน อ่างนี้ทําจากไม้และล้อมรอบด้วยวงแหวนทองแดง
หลิวชิวเซียงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกว่าย่านั้นลำเอียง จึงเอ่ยด้วย “นั่นสิ คำพูดของย่าผิดปกติ พ่อ หากว่าป้าใหญ่ให้กำเนิดบุตรสาว พ่อว่า ย่าจะจับหลานสาวกดน้ำอ่างล้างเท้าหรือไม่ จากการคำนวณของย่า นั่นเท่ากับต้องใช้เสบียงมากพอๆ กับการเลี้ยงหมูหนึ่งตัวเชียว”
หลิวเต้าเซียงชมเชยพี่สาวของตนเงียบๆ แล้วมองดูหลิวซานกุ้ยก้มหน้าพินิจ นางรู้สึกว่าควรจะตักเตือนพ่อผู้แสนดีให้มาก กตัญญูได้ แต่ห้ามโง่
ความคิดเหล่านี้ฉายแวบเข้ามาในหัว นางนึกอะไรได้จึงถาม “พ่อ บ้านเราจะแยกบ้านเมื่อใด?”
หลิวซานกุ้ยเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวคนรอง ดวงตาที่สะอาดบริสุทธิ์และชัดเจนของนางกําลังมองเขาอย่างจริงจัง จนบีบให้เขาต้องสบตาไปด้วย
“ลูกรัก เราทุกคนต่างก็มีพ่อแม่เป็หิ้งบูชา จะไม่แยกบ้านเด็ดขาด นอกเสียจากลุงใหญ่กับลุงรองของเ้าเห็นด้วย ถ้าเช่นนั้นบ้านลุงใหญ่ก็ต้องดูแลปู่กับย่ายามแก่เฒ่า ยิ่งกว่านั้น พ่อเ้าเองก็ไร้ความสามารถ ได้แต่ทำนาทำสวนอยู่ที่บ้าน”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้น ลึกลงไปในดวงตาก็ฉายแววดีใจ
ไม่ต้องรีบร้อน กรุงโรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันเดียว เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจิตสํานึกของสหายหลิวซานกุ้ยนั้นค่อนข้างสูงกว่ามาก อย่างน้อยหัวใจของเขาก็กำลังมีบางอย่างก่อตัว ไม่ได้รู้สึกว่าเพียงแค่เชื่อฟังคำพ่อแม่นั้นคือการกตัญญู
สำหรับความก้าวหน้าของพ่อผู้แสนดี นางรู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก “พ่อ หรือไม่ บ้านเราก็เก็บเงินส่วนตัวไว้หน่อยเถิด หากวันใดเกิดแยกบ้านกัน อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับไม่มีเงินใช้ ออ ใช่แล้ว ไก่ที่เลี้ยงที่บ้านป้าหลี่ซานเสิ่น พ่อห้ามคิดอะไรด้วยเชียว นั่นคือสิ่งที่ข้าสะสมมาเอง”
แม้ว่าจิตสํานึกของหลิวซานกุ้ยจะเพิ่มขึ้น แต่หลิวเต้าเซียงไม่้าให้เขาพึ่งพา นั่นทําให้เขารู้สึกว่ายังมีทางออกอยู่
“ลูกรัก มั่นใจได้เลยว่ามีแม่ช่วยดูอยู่ พ่อไม่มีทางแตะต้องเงินเ่าั้แน่” จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็รีบรับปาก
ช่างเป็เื่ตลกอะไรเช่นนี้ บุตรสาวของนางคิดวิธีหาเงินได้อย่างง่ายดาย วันเวลา่นี้ก็ขึ้นเขาไปเก็บฟืนเก็บผักป่า นางวางหลิวชุนเซียงที่กำลังหลับสบายไว้ในอ้อมกอดของหลิวซานกุ้ยแล้วเอ่ย “ดูสิ หากไม่ใช่เพราะเต้าเซียงของเราเริ่มคิดเป็ ลูกสามของเราจะสมบูรณ์เช่นนี้หรือ?”
หลิวซานกุ้ยเดิมทีไม่ได้คิดอะไรมากและไม่ได้คาดหวังเงินที่บุตรสาวหามาได้ เพียงแต่พอหลิวเต้าเซียงพูดเช่นนี้ คือการดักเขา กลัวว่าเขาจะเชื่อฟังคำของย่า แล้วเอาเงินที่นางหามาได้มอบให้
เขาก้มลงมองหลิวชุนเซียงที่ตัวอ้วนขาว เริ่มกลมมากขึ้นเมื่อเทียบกับหนึ่งเดือนก่อน เพียงแต่ฟ้าดินผืนเดียวกัน เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่บุตรสาวคนรองกระทำไปนั้นเป็เื่ที่ถูกต้อง แล้วคิดเื่ที่ได้เติมมื้อดึกทุกวัน ในท้องมีอาหารก็ไม่หิว ช่างเป็ค่ำคืนที่หอมหวานจนกระทั่งฟ้าสาง
“พ่อจะไม่มีทางบอกย่า นั่นคือเงินที่เ้าหามาได้ ทว่า ลูกรัก เ้าอย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เก็บไว้ใช้ตอนออกเรือนก็เป็การดี”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้สึกอาย แต่รู้สึกขนลุก นางอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเองนะ?!
มันดีจริงๆ หรือที่จะพูดถึงสินสอดทองหมั้นั้แ่อายุยังน้อย?
แน่นอนว่าหลิวเต้าเซียงไม่เข้าใจจริงๆ แม้นางจะรู้ว่าสาวๆ ในราชวงศ์โจวสามารถแต่งงานได้เมื่ออายุครบสิบห้าปี แต่นางก็ยังอยากรอสักยี่สิบค่อยแต่งงาน
ดังนั้นหลิวเต้าเซียงจึงฝันทั้งคืนว่าตนเองเป็เ้าสาว แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหลถูกคนแบกขึ้นเกี้ยวไป
ความรู้สึกแรกของนางเมื่อตื่นขึ้นมาคือ หัวใจช่างเหนื่อยเหลือเกิน
“โฮสต์ครับ โฮสต์ ควรเข้ามาทำความสะอาดเล้าไก่แล้วครับ” เสียงมารของเ้าถั่วงอกดังขึ้นในหู
หลิวเต้าเซียงกอดผ้านวมและพลิกตัวบนคั่ง “เ้าสัตว์ปีศาจน้อย ฟ้ายังไม่สว่างเลย อีกอย่าง ฉันสืบค้นมาแล้ว มูลไก่ไม่ต้องกวาดทุกวันก็ได้ ยิ่งมูลไก่ในเล้าไก่หนาเท่าไร ไก่ก็ยิ่งอบอุ่นมากเท่านั้น”
นางไม่ได้โกหก แต่นี่คือสิ่งที่ป้าหลี่บอกนางก่อนหน้านี้ ตอนที่นางทําความสะอาดเล้าไก่ ป้าหลี่ก็ออกไปซื้อเต้าหู้กลับมาพอดี เห็นนางกำลังทำความสะอาดมูลไก่ จึงสอนว่าไม่จำเป็ต้องกวาดมูลไก่
“จริงหรือ?” เ้าถั่วงอกไม่ค่อยเชื่อ เขาจำได้ว่าใน ‘คู่มือการเพาะเลี้ยง’ ไม่ได้ระบุเื่นี้ไว้
หลิวเต้าเซียงตอบอย่างเกียจคร้านในใจว่า “จริงยิ่งกว่าทองคำแท้ ป้าหลี่บอกว่ามูลไก่แห้งง่าย อีกอย่าง มูลไก่สามารถเป็ที่รองในเล้าไก่ ทั้งยังสามารถกันความชื้นได้ นายอย่าบอกฉันนะว่า เล้าไก่ที่พวกนายให้ฉันฝนไม่ตกน่ะ!”
ฮี่ๆ ในที่สุดก็สามารถอู้งานได้อย่างประเจิดประเจ้อ
เ้าถั่วงอกเริ่มเชื่อบ้างและถามว่า “แต่ไม่มีใครในกาแล็กซีของเราทําเช่นนี้ พวกเขาจะใช้ตะแกรงกั้นออก จากนั้นให้มูลไก่หล่นลงไปด้านล่าง แล้วใช้หุ่นยนต์กำจัดทิ้ง”
“นายก็พูดเองว่า ที่ของพวกนายเป็ยุคของหุ่นยนต์ อะไรก็ต้องใช้เครื่องจักร ของที่ทำด้วยมือแทบไม่มี หากมีจริง ราคาก็แพงลิ่ว กินอะไรก็ไม่ได้เพลิดเพลินนัก เพราะกินแต่พวกสารอาหาร เฮ้อ ไม่ใช่ว่าฉันรังเกียจนะ แต่เกิดมาเป็คนกระทั่งข้าวยังกินไม่อิ่ม ไม่ถูกสิ กระเพาะยังไม่สามารถเติมอิ่มได้ ช่างเป็ความพ่ายแพ่อย่างน่าอนาถ”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ปฏิเสธว่าเครื่องมือได้นําความสะดวกสบายไม่มีที่สิ้นสุดมาสู่ผู้คน แต่ในกาแล็กซีของเ้าถั่วงอก กระทั่งอาหารยังไม่ต้องทำ เท่ากับว่าชีวิตที่เกิดมาช่างไร้สีสันไม่ใช่หรือ?
“นอกจากนี้ อย่าประมาทคนโบราณ ประสบการณ์ของพวกเขาได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สั่งสมมานาน และฉันไม่คิดว่าที่ป้าหลี่พูดมาจะผิด”
เ้าถั่วงอกเงียบไปพักหนึ่ง จนในที่สุดก็กระซิบว่า “จากที่คุณกล่าวมา ก็คงต้องลองดูกันก่อน แต่ว่าผมจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ จะได้ส่งให้บริษัท หากว่าฐานข้อมูลนี้น่าเชื่อถือ ถ้าเช่นนั้นบริษัทก็จะใช้โครงการของคุณ แล้วผลักดันให้เกิด ต่อไปคุณอาจจะได้รางวัลไม่น้อยนะครับ”
รางวัล?
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงสว่างไสว นางชอบคํานี้
ฟังแล้วเหมือนเห็นก้อนเงินะโเด้งไปมา
“ตกลง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันมีแค่สามตัว แม้ว่าจะมีปัญหาแต่ก็จะไม่เกิดผลกระทบเกินไป นี่เป็ปัญหาการกินของมวลมนุษยชาติ หากว่าเป็ไปได้ ฉันเองก็ไม่ถือสาถ้าบริษัทของพวกนายจะเอาประสบการณ์จากฉันไปใช้”
ราวกับว่านางใจกว้างมาก ใบทั้งสองของเ้าถั่วงอกเปลี่ยนเป็สีขาวจากสีเขียวอ่อน และกล่าวว่า “คุณสามารถมั่นใจได้ กฎหมายระหว่างดวงดาวกําหนดว่าพลเมืองระหว่างดวงดาวไม่ได้รับอนุญาตให้รังแกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวเคราะห์ที่ล้าหลัง แน่นอน ถ้ามีแนวโน้มถูกโจมตีก็จะมีข้อกำหนดต่างหาก”
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจสิ่งที่มันพูด นางไม่สามารถโจมตีเ้าถั่วงอกได้ แต่ได้ผลประโยชน์บ้างก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร
ในที่สุดหลิวเต้าเซียงก็ได้สมปรารถนา สามารถนอนต่อจนถึงตะวันขึ้น
แต่ในจินตนาการมักสวยงาม ผิดกับความเป็จริง
“มารดาเถอะ มีแต่กินๆๆ ถึงตรุษจีนถ้ายังไม่มีเนื้อเพิ่มมา ดูสิว่าข้าจะจัดการพวกเ้าอย่างไร”
คําพูดที่เฉียบคมและรุนแรงของหลิวฉีซื่อเข้ามารบกวนความฝันของนาง
หลิวเต้าเซียงผู้เรียนรู้ที่จะไม่เอาหัวชนฝา ลุกขึ้นนั่งบนคั่ง มองดูห้องที่เก็บกวาดเรียบร้อย เก้าอี้ก็เรียงไว้เป็ระเบียบ นางมีความสุข พอใจอย่างมากกับพี่สาวที่ขยันหมั่นเพียรและรักความสะอาด
ห้องทิศตะวันตกของหลิวฉีซื่อเป็ที่อยู่อาศัยของคนที่ชื่อซูจื่อเยี่ย เสียงด่าของนางตอนนี้ดังไกลมาถึงระเบียงทางเดินห้องปีกตะวันตก หรือจะพูดให้ถูกก็คือ มาถึงหน้าต่างเหนือคั่งของหลิวเต้าเซียง
ไม่รู้ว่าหลิวชิวเซียงออกจากห้องปีกตะวันตกไปเมื่อใด ส่วนจางกุ้ยฮัวไม่ได้อยู่ในห้อง
หลิวเต้าเซียงปล่อยให้ตระกูลหลิวสาปแช่งผู้คนใต้ระเบียง นางทำหูทวนลม เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ค่อยๆ ใส่ชุดโบราณลงจากเตียงอย่างยืดยาด จากนั้นเดินอ้อมที่กั้นไม้ไผ่เสียงเบา อืม น้องสาวของนางตื่นแล้ว กำลังอมลิ้นเล่นเองมีความสุขเอง
ยามที่มีเสียงด่าทอของหลิวฉีซื่อคอยอยู่เป็เพื่อน หลิวเต้าเซียงก็เก็บผ้าอ้อมของหลิวชุนเซียงมา เห็นว่ายังแห้งอยู่จึงวางใจ คิดๆ ดูจึงเดินไปจุดไฟด้านหลังเพื่อต้มโจ๊กข้าวร่วน
ในความเป็จริงเมื่อเทียบกับข้าวเม็ดใหญ่ ความแตกต่างก็มีไม่มากนัก กลับกันคือโจ๊กจะข้นกว่าเล็กน้อย
ใบหน้าชราของหลิวฉีซื่อโมโหอยู่ตรงระเบียงจนซีดขาว หน้าบึ้งตึงยาวเหยียดราวกับหน้าม้า
นางเด็กคนนี้ช่างไม่ได้เื่เสียจริง นี่ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีคนสูงศักดิ์อยู่ในครอบครัว นางคงพรวดพราดเข้าไปในห้องปีกตะวันตกแล้วกระชากหลิวเต้าเซียงออกมาแล้ว
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เติมน้ำเรียบร้อย จากนั้นใช้ฟืนสองท่อนแล้วเริ่มต้มโจ๊ก
อย่างไรก็ตาม ในบ้านหลักก็กินไม่อิ่มท้องอยู่ดี สู้ต้มไว้ตอนนี้ จะได้เติมท้องคนในบ้านได้เงียบๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ ครอบครัวเริ่มเบื่อที่จะกินไข่ทุกวัน จึงเปลี่ยนเป็โจ๊กขาว
หลิวฉีซื่อเห็นว่านางไม่ได้ออกมาจึงเข้าครัวทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง
ใครบอกให้จางกุ้ยฮัวซักเสื้อผ้าแต่เช้าตรู่ หลิวชิวเซียงกําลังทําอาหารหมู แล้วก็กวาดพื้นลานบ้าน แน่นอน ในบ้านจึงไม่มีคนทำกับข้าว
ส่วนครอบครัวของหลิวซุนซื่อนั้น หลิวฉีซื่อไม่ได้ไปเรียก เพียงแต่หลิวเหรินกุ้ยะโผ่านหน้าต่างมาว่านางประจำเดือนมา เื่ทำอาหารเช้าจึงตกเป็หน้าที่ของหลิวฉีซื่อ
เมื่อไม่นานมานี้หลิวซานกุ้ยได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง ตอนเช้าไปทำสวนกับพ่อ กลับมาทุกครั้งก็จะเข้าไปยังห้องปีกตะวันตกก่อน ใช้ข้ออ้างคือไปดื่มน้ำแล้วจึงไปเยี่ยมบุตรสาวคนเล็กของตน
ซึ่งมันใช้ได้ผลดีมาก แต่เมื่อมาถึงในห้องกลับไม่ได้เป็เช่นนั้น
“ลูกรัก เหตุใดจึงใส่พุทราจีนด้วย เก็บไว้ให้แม่เ้ากินเถิด นางต้องบำรุงร่างกายเยอะๆ”
หลิวซานกุ้ยเป็คนที่รักใคร่ภรรยาและบุตรสาว แน่นอนว่าแต่ก่อนความรักใคร่ของเขานั้นต้องให้พ่อกับแม่ก่อนเสมอ
“พ่อ รีบกินเถิด โจ๊กเริ่มเย็นแล้ว” หลิวเต้าเซียงลุกขึ้นมาก็ต้มโจ๊กแต่เช้า แล้วก็ช่วยดูแลหลิวชุนเซียง ไม่ได้ออกจากห้อง
“ลูกรัก เ้าเองก็กินให้เยอะหน่อย ในหม้อยังมีเหลือไม่น้อย” ตอนนี้หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าชีวิตของตนดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะนัก เดิมที ยังคิดอยากจะเก็บไว้ให้พ่อแม่ แต่ในสมองก็นึกถึงเสียงมารน้อยของหลิวเต้าเซียง แล้วก็นึกถึงหลิวฉีซื่อที่หุงข้าวเม็ดใหญ่หอมกรุ่นสีขาวทุกครั้ง ทั้งบ้านล้วนทำได้แค่ดู สุขใจเปี่ยมล้น หลับตาลงคิดว่าโจ๊กข้าวหอมหวานไหลลงท้อง ดวงตาเปล่งประกาย รู้สึกเหมือนฟื้นขึ้นมาทันใด ดังนั้นเื่ความกตัญญูใดๆ เขาจึงทิ้งไว้อีกทาง จากนั้นก็กินรวดเดียวจนหมด แล้วก็เติมอีกหนึ่งถ้วยใหญ่
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าเขากําลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ได้เอ่ยว่าจะส่งไปให้หลิวฉีซื่อและคนอื่น จึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก มือเล็กกำหมัดแน่น สู้เขา บนหนทางการทำให้พ่อของตนเปลี่ยนความคิด ยังต้องพยายามกันต่อไป
-----