วันหยุดเจ็ดวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวินลี่กลับมาเร็วกว่ากำหนดการเดิมสองวัน บวกกับที่เซี่ยเจิงต้องไปสอนพิเศษตลอด ดังนั้นสองวันมานี้ชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้ไปหาเขาเลย และอยู่บ้านตลอดทั้งสองวัน แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เวินลี่เข้าใจผิดนึกว่าเป็เพราะตัวเองออกไปเที่ยวหลายวันลูกชายจึงคิดถึงเธอเข้าแล้ว ทั้งยังทำให้เธอยิ่งละอายใจขึ้นไปอีกเท่าตัว
ส่วนชวีเสี่ยวปอก็แน่นอนว่าแทบอยากจะรีบให้ถึงวันเปิดเรียนแล้ว แต่ก็คงจะไม่สู้พูดว่าเขาอยากรีบไปเจอเซี่ยเจิงเร็วๆ มากกว่า
ในโลกใบนี้ยังจะมีเื่อะไรดีไปกว่า “การมีแฟนเป็เพื่อนร่วมโต๊ะ” อีกไหม? คำตอบก็คือไม่มี
ขณะที่ตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า เซี่ยเจิงยื่นมือออกไปลูบบนกระจกหน้าต่าง ผลปรากฏว่าก็ยังมองเห็นไม่ชัดอยู่ดี เพราะด้านนอกมีหมอกลงแล้ว ทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เตรียมตัวออกจากบ้าน เมื่อคืนนี้เขาคุยกับชวีเสี่ยวปอจนถึงดึก ถ้าหากยังทำอาหารเช้าอีกเกรงว่าเวลาอาจจะไม่พอ ขณะที่ออกจากบ้านมาหมอกก็จางลงไปมากแล้ว ในตอนนั้นแม่ของเขายังนอนอยู่ในห้อง เซี่ยเจิงจึงต้องเดินย่องออกจากบ้านมาเสียงเบา ทั้งยังต้องค่อยๆ ปิดประตูรั้วอย่างเบามือ เดิมทีเขาก็อยากเดินออกจากซอยบ้านไปเสียงเบาๆ เช่นกัน ทว่าทันใดนั้นเองท่ามกลางหมอกหนากลับมีมือยื่นออกมาวางลงไปบนไหล่ของเขา จนทำให้เขาไม่สามารถที่จะทักทายออกไปอย่างใจเย็นได้
เซี่ยเจิงด่าออกไปเสียงดังฟังชัด : “เชี่ย !”
แน่นอนว่า เหมือนะโออกไปมากกว่า
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งสุนัขของบ้านป้าหลี่เห่าตามขึ้นมา เขาจึงหยุดลง
“นายยืนอยู่หน้าประตูมาตลอดเลยเหรอ? ” เซี่ยเจิงรู้สึกคาดไม่ถึง หลังจากใไปแล้วความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก็เกิดตามขึ้นมา “เพื่อแค่จะรอทำให้ฉันใเนี่ยนะ? ”
“ถ้าเป็งั้นฉันก็ว่างเกินไปแล้วแหละ” ชวีเสี่ยวปอถูมือไปมา แววตาแฝงไปด้วยความสุขที่ได้เล่นพิเรนทร์ไปเมื่อครู่นี้ “เมื่อกี้ฉันก็กำลังจะเคาะประตูอยู่เหมือนกัน แต่ได้ยินเสียงนายเดินออกมาพอดี เลยยืนรอไปเลย”
“อ๋อ” เซี่ยเจิงลากเสียงยาว แล้วจึงอุทานขึ้นมาจากใจจริง : “นายตื่นเช้าขนาดนี้เลย? ”
“อยากเจอนายเร็วๆ ละมั้ง” สำหรับคำพูดเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอแทบจะพูดออกมาอย่างไม่คิด ทั้งยังพูดออกมาอย่างไม่เขินอายเลยสักนิด ความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างเขากับเซี่ยเจิงก็คือ เซี่ยเจิงเคยชินกับการเก็บคำพูดเอาไว้ในใจ และลงมือกระทำมากกว่า แต่ชวีเสี่ยวปอทำไม่ได้ เขาจำเป็ต้องพูดออกมา เพราะเมื่อเขาพูดออกมาก็จะทำให้มีอะไรสนุกๆ มากยิ่งขึ้น
แล้วก็เป็เช่นนั้น เซี่ยเจิงกัดริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนเป็สีแดง แต่หูของกลับแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันอยากกินเต้าฮวย” เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาชวีเสี่ยวปอก็พลางพูดขึ้น ขณะนั้นทางด้านหน้าถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยหมอกอันหนาทึบ จนทำให้ทั้งสองคนมองเห็นเพียงแต่ปากทางที่อยู่ไกลออกไป ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกเหมือนกับว่าโลกใบนี้มีเพียงแค่เขาสองคน แต่ทว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้เพียงไม่นาน ปากซอยก็มีรถสามล้อไฟฟ้าคันหนึ่งขับเข้ามา ไฟหน้ารถดวงเล็กแหวกหมอกหนาให้กระจัดกระจายออกไป
ในซอยค่อนข้างแคบอยู่พอสมควร เมื่อรถสามล้อขับเข้ามาเช่นนี้ จึงทำให้เขาทั้งสองคนต้องหลบไปยืนอยู่ด้านเดียวกัน ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะแขม่วท้องเอาไว้ แต่อันที่จริงยังมีช่องว่างห่างจากพวกเขาอีกตั้งเยอะ
“ได้เลย” เซี่ยเจิงเห็นท่าทางติงต๊องของเขาจึงกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ “เต้าฮวยกับปาท่องโก๋? หรือว่าเครปจีน? ”
“ฉันเอาหมดเลย !” ชวีเสี่ยวปอะโขึ้นมา
แต่ทว่า สุดท้ายแล้วก็กินไม่หมดอยู่ดี
ปาท่องโก๋ยังเหลืออีกสองอัน ชวีเสี่ยวปอก็ตบไปบนหน้าท้องแล้ว อาหารเช้ามื้อนี้ทานเข้าไปจนทั้งตัวของเขาขยายใหญ่ออกมา ถ้าหากร้านอาหารเช้าไม่ได้มีแต่ม้านั่งตัวเล็ก ไม่แน่เข้าอาจจะเอนตัวพิงไปด้านหลังอย่างรู้สึกสบายแล้วก็ได้ แต่ตอนนี้มีเซี่ยเจิงนั่งอยู่ข้างๆ ให้เขาพิง ก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน
ทั้งสองคนบังเอิญเจอซือจวิ้นที่หน้าโรงเรียน ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขาควรจะเริ่มทักทายอะไรขึ้นมาสักหน่อย แต่เขายังคิดไม่ออก ทว่าในตอนนั้นเองซือจวิ้นกับเซี่ยเจิงก็ส่งสายตาหากันเป็ที่เรียบร้อย สายตาของซือจวิ้นคงจะประมาณว่า “คู่รักตัวติดกันตลอดเวลา” ส่วนสายตาของเซี่ยเจิงคือ “ขอบใจนะเพื่อน”
ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก สื่อว่าตอนนี้กำลังอยู่ใน่ที่ไม่ต้องพูดอะไรออกมาก็เข้าได้ทุกอย่าง
คาบที่สองในตอนสายเป็คาบของโหยวเจีย หลังจากที่เรียนคาบนี้เสร็จก็จะเป็่พักใหญ่ระหว่างคาบเรียน ซึ่งโดยปกติแล้วเซี่ยเจิงจะใช้เวลาใน่นี้ไปสูบบุหรี่ ชวีเสี่ยวปอก็เตรียมจะไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน ในขณะที่ทั้งสองคนเพิ่งจะลุกขึ้นมาก็ถูกโหยวเจียเรียกเอาไว้ซะก่อน
“พวกเธอสองคน”
ตอนแรกทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกว่าเธอกำลังเรียกพวกเขา แต่เมื่อโหยวเจียเคาะหนังสือที่อยู่ในมือลงไปบนโพเดียมหน้าชั้นเรียนทีหนึ่ง นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหลังหลายคนจึงหันมามองพวกเขาโดยปริยาย จนชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงจึงต้องหยุดยืนนิ่งภายใต้สายตาที่สกัดกั้นพวกเขาเอาไว้
“ตามครูมา” โหยวเจียพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง แล้วจึงเดินออกจากห้องเรียนไป
“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ? ” เจียงอี้หยางเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคำว่า “ฉันพร้อมที่จะซุบซิบนินทาแล้ว” ขึ้นมา
“ไม่รู้เหมือนกัน” เซี่ยเจิงตอบ แต่หันไปพูดกับชวีเสี่ยวปอ
“เฮ้ มีเื่อะไรเหรอ? ” ซือจวิ้นลุกขึ้นมาจากที่นั่ง พร้อมทั้งมองมายังพวกเขาสองคน
“ไม่มีอะไรหรอก คงจะเห็นฉันนอนเมื่อกี้ละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอโบกไม้โบกมือให้เขา
ทั้งสองคนตามโหยวเจียเข้าห้องพักครูไป ่เวลานี้ในห้องพักครูมีคุณครูอยู่แค่เพียงไม่กี่คน โหยวเจียวางหนังสือลง จากนั้นจึงชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงข้ามตัวเอง พลางพูดว่า : “นั่งลงเถอะ”
นี่มันเื่อะไรกันเนี่ย?
ถึงแม้ว่าในใจของชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำขึ้นมา แต่เมื่อเห็นเซี่ยเจิงนั่งลงไปเช่นนั้นแล้ว เขาจึงนั่งตามลงไปด้วยเช่นกัน
“เมื่อกี้นอนฝันหวานเลยนะ” แต่ทันทีที่โหยวเจียพูดขึ้นมา เขาก็อยากลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“นั่งลง” โหยวเจียจ้องเขาตาเขม็ง “อีกเดี๋ยวค่อยพูดถึงเื่ที่เธอหลับในคาบ”
“ที่ครูเรียกพวกเธอมาก็เพื่อที่จะพูดกับเธอสองคนว่า” โหยวเจียลากเก้าอี้มาลงไปเช่นกัน ท่าทีกลับไม่ได้ดูจริงจังสักเท่าไหร่ “การแข่งขันในครั้งก่อนเล่นได้ดีมาก”
พอ
ในใจของชวีเสี่ยวปอเลือกขึ้นมาอีกคำหนึ่ง นี่เป็เพียงแค่คำเกริ่นนำของเื่ที่ไม่ดีอย่างแน่นอน
“เพราะฉะนั้น การแข่งขันบาสเกตบอลระดับเมืองในครั้งนี้ ครูก็เตรียมที่จะให้พวกเธอสองคนเข้าร่วมด้วย”
“ครูโหยวครับ” ชวีเสี่ยวปอกำลังจะพูดขึ้นมา
“ไม่อยากเข้าร่วมใช่ไหมล่ะ? ” โหยวเจียรีบทำให้เขาต้องกลืนคำพูดนั้นลงไป “พูดตามตรง ถ้าพวกเธออยู่มอหกแล้ว ครูก็คงไม่ให้พวกเธอเข้าร่วมหรอก เพราะมันจะทำให้เสียการเรียน แต่ครูคิดว่าชีวิตมอปลายไม่ควรจะมีแต่เื่เรียนอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งสิ่งนี้ก็จะเป็ความทรงจำอันมีคุณค่าของพวกเธอด้วย โอกาสของการได้เข้าแข่งขันในลีกมัธยมปลายแบบนี้มันหาไม่ได้ง่ายๆ นะ” โหยวเจียพูดออกมารวดเดียวจนหมดอย่างไหลลื่น เป็เชิงว่ายังไงก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาสองคนปฏิเสธ ในขณะนั้นเซี่ยเจิงไม่ได้มีท่าทีตอบโต้ใดๆ ทั้งยังไม่พูดว่าตกลงหรือไม่ตกลง แต่ั้แ่ที่ชวีเสี่ยวปอออกจากห้องพักครูมาก็ไม่ได้มีท่าว่าจะหยุดพูดเลยแม้แต่น้อย
“ทุกทีแข่งลีกมอปลายก็ให้ทีมโรงเรียนไปไม่ใช่เหรอ? แต่ไหนแต่ไรโรงเรียนพวกเราก็ไม่เคยชนะอยู่แล้ว ฉันจำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่งเข้าแข่งสายก็ถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันไปเลย แล้วนี่ยังจะมาบีบบังคับกันทุกปีอีก”
“เข้าร่วมเถอะ” เซี่ยเจิงที่เดินอยู่ด้านหน้าจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง หันหลังมาพูดกับชวีเสี่ยวปอ “พวกเราเข้าร่วมด้วยกัน”
เขาเข้าใจความหมายของโหยวเจีย
หลังจากการแข่งขันครั้งที่แล้วจบลง ชวีเสี่ยวปอก็กลับไปสู่สภาพที่เคยเป็เช่นเดิม
นอนหลับ เหม่อลอย สองสิ่งนี้วนเวียนอยู่ในตัวเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เมื่อได้เล่นบาสเกตบอลชวีเสี่ยวปอกลับเป็เช่นนี้
มีจุดมุ่งหมาย มีความคิด มีวิสัยทัศน์ ทั้งยังมีความยินดีที่จะทำ
โหยวเจียเพียงแค่หวังที่จะใช้วิธีการเช่นนี้ ทำให้ชวีเสี่ยวปอออกมาจากโคลนตมของเขาทีละนิดๆ เพราะเมื่อครั้งก่อนเธอได้ลองใช้วิธีการนี้ดูแล้ว และมันก็ได้ผลอย่างมาก
ถึงแม้ว่าโคลนตมนี้ชวีเสี่ยวปอจะไม่เคยสังเกตเห็นมันเลย หรืออาจจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
ทว่าสิ่งที่เซี่ยเจิงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยก็คือ ที่เขานั่งเงียบมาโดยตลอด เป็เพราะว่าเขามีความคิดเช่นเดียวกับโหยวเจีย
“เดินไปด้วยกันกับฉันนะ”
เขาได้ยินเสียงหนึ่งในหัวใจของตัวเองะโดังออกมา
