หลังจากกระบี่อสูรกลืนกินเศษซากของกระบี่ิญญาจนหมดแล้ว แสงสีทองพลันสาดส่องทะลุสนิมที่เกาะอยู่บนตัวกระบี่อสูร ก่อนจะสั่นะเือย่างรุนแรง เศษสนิมทั้งหมดหลุดร่วงลงทันใด
เพียงพริบตา กระบี่อสูรที่เต็มไปด้วยสนิมก็กลับมาคมกริบอีกครั้ง คมกระบี่แหลมคมมีแสงสีเงินเย็นยะเยียบส่องประกาย
"สุนัขเฝ้าประตูที่ข้าซ่อนไว้ในห้องลับก็คือมันนี่แหละ" ไป๋เสียเผยรอยยิ้มแห่งความหฤหรรษ์ออกมาอย่างพบเห็นได้ยาก ราวกับได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
"ไม่ใช่ว่าเป็สุนัขจริงหรอกหรือ!?" ลู่เต้าถามอย่างไม่เข้าใจ
"ตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็สุนัขจริงๆ นี่แหละ!" ไป๋เสียขมวดคิ้ว "ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็คนเลี้ยงมันมากับมือด้วย!"
ลู่เต้าเงยหน้าขึ้นมองกระบี่อสูรที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าตกตะลึง "ท่านเอาจิติญญาของสุนัขใส่ไว้ในกระบี่ิญญาหรือ!?"
"... นี่ก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้" ไป๋เสียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า "คนพวกนั้นที่เกลียดข้า พวกมันใช้มันมาจัดการข้า"
"ข้าไม่เข้าใจ... พวกมันใช้วิธีที่น่ารังเกียจสังหารสหายเพียงหนึ่งเดียวของข้าอย่างโเี้" ไป๋เสียหลับตาลง รำลึกถึงความทรงจำอันแสนเ็ป ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมาด้วยริมฝีปากสั่นเทา "แต่คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็มารนอกรีตกลับกลายเป็ข้า!"
"ทั้งที่... ทั้งที่มันไม่ได้ทำอะไรผิด..." ไป๋เสียกล่าวอย่างเจ็บแค้น
เพื่อช่วยเหลือสหาย ไป๋เสียจึงขังตัวเองอยู่ในห้องลับ ฝึกฝนวิชาอย่างไม่หยุดหย่อนทั้งวันทั้งคืน เขาซื้อเหล็กิญญาล้ำค่าที่หาได้เฉพาะในซากปรักหักพังเท่านั้นมาเป็มากมาย ทรัพย์สมบัติที่สะสมมานานหลายปีร่อยหรอไปราวกับสายน้ำ
ในค่ำคืนที่ฝนฟ้ากระหน่ำ ไป๋เสียที่ใช้พลังิญญาไปหมดสิ้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ด้านหลังมีกระบี่ที่ไม่อาจหลอมได้สำเร็จกองทับถมกันเป็ูเา ในความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะผนึกจิติญญาของสหายลงในกระบี่ พลันมีอสนีบาตฟาดลงมาที่กระบี่เล่มนั้น ในตอนนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นก็เกิดะเิเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อควันจางหายไป กระบี่อสูรก็ลอยอยู่กลางอากาศ รอบๆ ตัวมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ไป๋เสียตื่นเต้นยิ่งนัก สุขใจอย่างยิ่งที่สหายฟื้นคืนชีพมา
ไป๋เสียที่้าชุบชีวิตสหาย จึงได้สร้างกระบี่อสูรที่มีจิตสำนึกของตัวเองขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็เพียงหนึ่งเดียวในโลก
น่าเสียดายที่ไป๋เสียยังไม่ทันได้ฝึกฝนใช้วิชา กระบี่อสูรก็ถูกผนึกเอาไว้ ส่วนสหายของเขาก็เฝ้ารอการกลับมาของไป๋เสียในห้องลับดุจสุนัขผู้ซื่อสัตย์
ทว่าการรอคอยครั้งนี้กินเวลานานถึงสิบปี สิบปีที่ไร้วี่แวว สิบปีที่เต็มไปด้วยสนิมเขรอะ ค่อยๆ จมดิ่งสู่ห้วงนิทราอันแสนยาวนาน
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ กระบี่อสูรก็ััได้ถึงพลังิญญาของไป๋เสียอีกครั้ง สหายของเขาจึงตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ออกจากห้องลับเพื่อตามหาไป๋เสียบนเขายลดาบ ผลสุดท้ายกลับถูกนายพรานพบเข้า อีกฝ่ายใกลัวคิดว่ากระบี่อสูรเป็ิญญาสัตว์ร้าย สุดท้ายจึงนำไปสู่การที่เกาฮ่าวและกู่เสี่ยวอวี่ตามล่ามันนั่นเอง
"ฉิวหมัว" ไป๋เสียยื่นมือออกไปหากระบี่อสูร "เป็ข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว"
กระบี่อสูรที่ลอยอยู่กลางอากาศได้ยินเช่นนั้น ก็ค่อยๆ หันปลายกระบี่ไปทางไป๋เสียราวกับเข็มทิศ
"แย่แล้ว" สีหน้าของไป๋เสียที่แปรเปลี่ยนพลันสังหรณ์ใจขึ้นมา
ลู่เต้ารีบถามว่า "อย่าบอกนะว่ามันจำท่านไม่ได้แล้ว!?"
"ไม่... ตรงกันข้าม" เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผากไป๋เสีย "ตอนที่ข้าปลดปล่อยพลังิญญาออกมาครั้งแรก มันก็จำข้าได้แล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นจะแย่ได้อย่างไร" ลู่เต้าพึมพำเบาๆ คิดในใจว่า ไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าใกัน
บนกระบี่อสูรมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอีกครั้ง ไป๋เสียกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะถามว่า "เ้าเคยเลี้ยงสุนัขหรือไม่"
"เคยเลี้ยงสุนัขล่าสัตว์" ลู่เต้านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
"เวลาเ้าออกจากบ้าน พอกลับไปมันจะทำอย่างไร" ในดวงตาที่เบิกกว้างของไป๋เสียสะท้อนกระบี่อสูร
ลู่เต้ามองกระบี่อสูรเช่นกัน เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "... มันจะดีใจมากจนกระโจนเข้าใส่"
"ฉัวะ!"
ตำแหน่งที่กระบี่อสูรอยู่เหลือเพียงร่องรอยของแสงสายฟ้า ไป๋เสียตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาก้มตัวลงหลบกระบี่อสูรที่พุ่งผ่านศีรษะไป เส้นผมที่ถูกตัดขาดร่วงลงไป
"ฟู่ว..." ไป๋เสียที่เกือบจะสิ้นชีพคาที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทว่าหลังจากกระบี่อสูรพุ่งไม่โดนเป้าหมาย มันก็ไม่ยอมแพ้ หมุนตัวกลางอากาศแล้วพุ่งเข้าหาไป๋เสียอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง
"ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว นิสัยแบบสุนัขยังไม่หายไปอีก!" ไป๋เสียเบี่ยงตัวหลบความกระตือรือร้นของกระบี่อสูรได้อีกครั้ง
"ท่านรีบหาวิธีสิ!" ลู่เต้ากล่าวอย่างร้อนใจ
"ไม่ได้..." ไป๋เสียทำสีหน้าลำบากใจ "มันชื่อ 'ฉิวมัว [1]' ถ้าเ้าไม่ลูบหัวมัน มันจะไม่ยอมสงบลงง่ายๆ"
"ที่แท้ 'มัว' ที่ว่าก็คือ 'ลูบ' นี่เอง!!! พอรู้ความจริงแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้นมาละเนี่ย!!!"
ในขณะที่ไป๋เสียควบคุมร่างกายของลู่เต้ารับมือกับฉิวหมัวอยู่นั้น จู้หลงและจางเฟิงที่อยู่ด้านล่างก็ไม่กล้าประมาท พวกเขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
"เป็อย่างไรบ้าง พบอะไรหรือยัง" น้ำเสียงของจู้หลงตึงเครียด ว่ากันตามตรงแล้ว กระบี่บินเป็อาวุธที่ผู้ฝึกตนระดับสูงเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
หากเป็ผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะมาที่นี่ ผู้ฝึกตนระดับหนึ่งดาราอย่างเขาคงถูกกำจัดไปนานแล้ว
หากเป็ผู้ฝึกตนฝ่ายมารก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะปลอดภัย คนส่วนใหญ่ที่ฝึกฝนวิชามารล้วนไม่ใช่คนดี วินาทีนี้ พวกเขาอาจจะช่วยชีวิตเอาไว้ แต่วินาทีต่อไปก็อาจจะถูกจับไปเป็อาหารเลี้ยงปีศาจได้เช่นกัน
"ไม่ ไม่พบอะไรเลย" จางเฟิงหลับตาลง พยายามััพลังิญญารอบๆ ซึ่งไม่มีพลังิญญาผิดปกติใดๆ เลย
ถึงแม้ว่าผู้ควบคุมิญญาทั้งสองจะได้คำตอบเดียวกัน แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงมักจะมีวิธีปกปิดพลังิญญาของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ควบคุมิญญาทั้งสองจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่ากระบี่บินเล่มนี้มาที่สุสานกระบี่เพื่อผนึกกระบี่ หรือมีผู้เชี่ยวชาญควบคุมอยู่เื้ั ไม่มีใครเชื่อมโยงกระบี่บินกับลู่เต้าทั้งสิ้น
"ไปกันเถิด" จางเฟิงมองกระบี่อสูรอย่างระแวดระวัง "เื่นี้เกินกว่าที่เราจะรับมือได้แล้ว"
"หา? ไปอย่างนั้นหรือ" จู้หลงมองจางเฟิงอย่างไม่เห็นด้วย "ถ้าจะไป เ้าก็ไปคนเดียวสิ!"
จางเฟิงเบิกตากว้างมองจู้หลง "เ้าคิดจะแย่งกระบี่เล่มนั้นมางั้นหรือ"
"โธ่เอ๊ย! ว่ากันว่าตราบใดที่คว้ากระบี่เล่มนั้นมาได้ก่อนที่มันจะถูกผนึก ก็จะกลายเป็เ้าของคนต่อไป" จู้หลงมองกระบี่อสูรด้วยสายตาเ้าเล่ห์ "ถ้ากระบี่เล่มนี้มาที่นี่เพื่อผนึกกระบี่ ข้าไม่ขาดทุนแย่เหรอ"
"เ้าบ้า..." จางเฟิงสบถในใจทิ้งจู้หลงเอาไว้เื้ั ใช้เคล็ดวิชาเร้นกายเข้ากับความมืดหายลับไป
จู้หลงเห็นว่าไม่มีใครแย่งชิงกับเขาแล้วก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะสะบัดมือส่งสัญญาณ นักรบกระดูกคำรามลั่น ก้าวเท้าอันใหญ่โตมุ่งหน้าไปทางเนินเขากระบี่
ไป๋เสียที่กำลังยุ่งอยู่กับการรับมือกับกระบี่อสูร ก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นะเื เมื่อปรับสายตาได้ก็เห็นนักรบกระดูกเหวี่ยงกำปั้นมโหฬารพุ่งเข้าหาเขาแล้ว
ไป๋เสียใ รีบยกแขนขึ้นรวบรวมพลังิญญาป้องกันทันที ได้ยินเพียงเสียง "โครม!" ดังสนั่น เขาก็ถูกต่อยจนกระเด็นออกไป
เมื่อเห็นดังนั้น ฉิวหมัวจึงคิดจะตามไป แต่นักรบกระดูกกลับคว้าด้ามกระบี่เอาไว้ไม่ให้มันไป บนกระบี่อสูรพลันมีสายฟ้าสีครามแล่นแปลบปลาบด้วยความโกรธเกรี้ยว
จู้หลงเห็นว่านักรบกระดูกคว้ากระบี่บินได้แล้ว จึงะโออกมาจากมุมมืด เตรียมที่จะเข้าไปเอากระบี่บิน
จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียง "ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!" ดังขึ้น นักรบกระดูกที่เสียแขนขวาไปร้องโหยหวนด้วยความเ็ป เมื่อเขาไล่มองขึ้นไป รอยยิ้มบนใบหน้าของจู้หลงก็ค่อยๆ เลือนหายไป
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือ กระบี่อสูรฉิวหมัวที่กำลังโกรธแค้น คงเหมือนกับเวลาที่สุนัขถูกคนแปลกหน้าดึงหาง
ถึงแม้ว่าฉิวหมัวจะไม่สามารถแยกเขี้ยวใส่จู้หลงได้เหมือนกับสุนัข แต่มันแสดงความโกรธออกมาเป็ประกายไฟฟ้ารอบๆ ตัวได้
เดิมทีจู้หลงยังคิดจะปราบกระบี่บินเล่มนี้ต่อไป เพราะสำหรับผู้ฝึกตนระดับหนึ่งดาราอย่างเขาแล้ว กระบี่บินเป็อาวุธที่มีเพียงในความฝันเท่านั้น หากสามารถปราบกระบี่บินมาเป็ของตนเองได้ แม้ในยามหลับฝันเขาคงจะฉีกยิ้มไม่หยุด
ทว่าจู้หลงกลับเหงื่อตก เขาหวาดกลัวประกายสายฟ้าที่แผ่ออกมาจากกระบี่อสูรอย่างมาก ไม่อยากจะก้าวไปข้างหน้าคว้ามันมาเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ แม้แต่ขยับนิ้วเขายังไม่กล้าด้วยซ้ำ ทำได้เพียงจ้องมองกระบี่อสูรนิ่งๆ
ส่วนไป๋เสียที่อยู่ไกลออกไป ปัดฝุ่นบนตัวแล้วลุกขึ้นยืน ด้วยการป้องกันของพลังิญญา จึงลดทอนพลังของหมัดนักรบกระดูกไปได้มาก ดังนั้น ในตอนนี้นอกจากร่างกายของเขาที่เปื้อนฝุ่นแล้ว ก็ไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย
"หืม? เ้าหมอนั่นกำลังทำอะไร" ไป๋เสียไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบ้าบิ่นถึงขั้นวิ่งเข้ามาแย่งชิงกระบี่บินเช่นนี้ รู้เพียงว่าหลังจากที่ตัวเองถูกต่อยกระเด็นออกไป อีกฝ่ายก็สู้กับกระบี่อสูรมาโดยตลอด
"ทำไมฉิวหมัวถึงไม่ขยับเล่า" ลู่เต้าถาม
"เพราะมันกำลังรอคำสั่งจากข้าอยู่" ไป๋เสียมองจู้หลงอย่างเ็า "ไป..."
"เดี๋ยวก่อน!" จู้หลงะโขัดจังหวะทันที ในใจร้อง "แย่แล้ว ไม่คิดเลยว่ากระบี่บินเล่มนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งของเด็กคนนี้! เขาเป็ใครกันแน่"
"หืม?" ไป๋เสียเลิกคิ้วขึ้น เอามืออังหู "ข้ากำลังฟังอยู่"
จู้หลงมองกระบี่บิน จากนั้นก็มองไปที่ไป๋เสีย ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากางนิ้วเป็รูปกรงเล็บ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็มิตร "ส่งมันมา ไม่เช่นนั้น..."
เขารวบรวมพลังิญญา ใต้เท้าของไป๋เสียก็มีแสงสว่างสีแดงเืของค่ายกลปรากฏขึ้น จู้หลงยิ้มเยาะ "ข้าใช้เวลาแค่วินาทีเดียวก็ทำให้เ้ากลายเป็เืได้!"
"ระวัง! ครั้งที่แล้วข้าก็ตายเพราะกระบวนท่านี้!" ลู่เต้าเตือน ท้ายที่สุดแล้วคนที่มีความทรงจำในชาติก่อนก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
จู้หลงคิดว่าค่ายกลจะสามารถข่มขู่ไป๋เสียได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจแม้แต่น้อย ไป๋เสียเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปทางจู้หลง ก่อนจะเอ่ยว่า “งั้นก็ลองดู”
จู้หลงเห็นว่าอีกฝ่ายประมาทก็ลอบยิ้มในใจ อีกมือหนึ่งควบคุมนักรบกระดูกให้พุ่งเข้าใส่กระบี่บินเพื่อเป็ตัวล่อ ในขณะที่กระบี่บินกำลังฉีกกระชากนักรบกระดูกเป็ชิ้นๆ จู้หลงก็ใช้ค่ายกลสังหาร
"ข้าชนะแล้ว!" จู้หลงร้องะโด้วยความตื่นเต้น
ในขณะที่แสงสีแดงดำอันเป็ลางร้ายส่องสว่างขึ้น แรงกดดันอันมหาศาลพลันกดทับร่างกายของไป๋เสียทนที กดทับจน... กดทับจนเขาไม่รู้สึกอะไรเลย?
จู้หลงเบิกตากว้างด้วยความใ มองไป๋เสียที่ยืนอยู่ในค่ายกลอย่างไม่อยากเชื่อ หัวใจของเขาร้องลั่น "ค่ายกลนี้ควรจะหลอมละลายเขาจนกลายเป็เืแล้วสิ ทำไม..."
ไป๋เสียเผยสีหน้าหยิ่งผยองออกมาอย่างเ็า "ระหว่างตั๊กแตนผลักรถม้ากับมดเขยื้อนต้นไม้ เ้าอยากเลือกแบบไหนเล่า"
[1] ฉิวหมัว ในตอนแรกหมายถึงอสูรวิงวอน แต่ที่ไป๋เสียพูดคือฉิวมัวที่หมายความว่าขอลูบ ซึ่งออกเสียงคล้ายคลึงกัน
