เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็เผือกร้อนลวกมือ [1] โดยแท้ ในขณะที่นางกําลังครุ่นคิดว่าจะเอาของไปทิ้งที่ใดก็เหลือบไปเห็นแมวดําที่นิ่งค้างอยู่ตรงหน้าต่างเสียก่อน
“นี่ เ้ามาได้อย่างไร” เหยาเชียนเชียนวางตราประทับลงและเข้าไปอุ้มมันขึ้นมา “เมื่อวานข้ารอทั้งคืนก็ไม่เห็นเ้า ทำข้าเป็ห่วงแทบตาย”
แมวดำถูกนางอุ้มไว้ในอ้อมแขน ดวงตาก็มองไปยังตราประทับที่อยู่บนโต๊ะอย่างห้ามไม่ได้ หากไม่ได้มองผิดไป นั่นเหมือนจะเป็ของเป่ยเซวียนเฉิง
“เมื่อคืนโชคดีที่มีเ้า” เหยาเชียนเชียนอุ้มมันและกลับไปนั่งข้างโต๊ะ พลางกล่าวถึงเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำเมื่อคืนวาน จนถึงยามนี้สติของนางก็ยังไม่คืนกลับมา
“หากไม่เห็นว่าเ้าอยู่ข้างหน้า ข้าก็คงไม่หนีไปกับอวี่เหลียนเอ๋อร์ และยิ่งไม่รู้ว่าท่านอ๋องเตรียมแผนไว้ก่อนแล้ว เพียงแค่รอให้นางเข้าไปติดกับเท่านั้น”
แมวดำนั่งฟังด้วยสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันอยากถามเหลือเกินว่าตราประทับแท่งนี้มาจากที่ใด ทว่าติดที่มันไม่สามารถปริปากพูดได้ จึงทำได้เพียงยื่นอุ้งเท้าเล็กๆ ออกไปเขี่ยตราประทับเบาๆ สองสามครั้ง
ทั้งที่นางเคยบอกกับเขาหลายครั้งหลายหนแล้วว่านางไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเป่ยเซวียนเฉิงอีกแล้ว ทว่าเหตุใดถึงยังเก็บตราประทับของเขาไว้ เป่ยเซวียนเฉิงไม่มีทางมอบของเช่นนี้ให้ผู้อื่นอย่างง่ายดายเป็แน่ ตกลงแล้วในยามนั้นนางกับเป่ยเซวียนเฉิงเปิดใจให้กันถึงขั้นใดกันแน่?
“เลิกเล่นมันได้แล้ว” เหยาเชียนเชียนลูบตัวแมวดำเบาๆ “นี่มันไม่ใช่ของดีอะไร หากท่านอ๋องเห็นเข้าข้าจะถูกสงสัยอีก”
แมวดำมองนางแวบหนึ่ง ยังถือว่านางมีสติอยู่บ้าง ของชิ้นนี้อย่าว่าแต่เขาเห็นเลย หากมีผู้ใดสักคนรู้เข้านางก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน
เหยาเชียนเชียนอุ้มแมวดำไว้พลางสางขนให้ ลูบไปสักพักหนึ่งก็วางมันลงบนโต๊ะ
“เ้าทำตัวดีๆ หน่อยนะ อาศัยจังหวะที่ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ข้าต้องรีบหน่อยแล้ว”
แมวดำวางอุ้งเท้าบนขอบจอกน้ำชาใบหนึ่งและมองนางอย่างจนใจ นางกำลังทำอะไรปิดบังเขาอีกเล่า เปิ่นหวังไม่คู่ควรให้เ้าเชื่อใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
แน่นอนว่าเหยาเชียนเชียนไม่ได้ยินความคิดในหัวของแมวดำ นางพบตราประทับของเป่ยเซวียนเฉิงโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นทำให้นางยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก รอบตัวนางยังมีของอันตรายเช่นนี้ซ่อนไว้อีกมากเท่าไรกัน นางจะต้องหาของทั้งหมดให้เจอจงได้
เหยาเชียนเชียนรื้อค้นจนแทบจะทั่วห้องของตัวเองตลอดทั้ง่เช้า โชคดีที่นอกจากตราประทับชิ้นนั้นก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดแล้ว
“ครั้งนี้ก็น่าจะวางใจได้บ้างแล้ว”
นางคว้าหมอนข้างที่อยู่ข้างตัวส่งๆ เตรียมจะไปกินของว่างสักเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยกลับมาจัดการทำความสะอาด นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน
“ข้าจำได้ ดูเหมือนว่าหมอนใบนี้ก็จะนำมาจากจวนตระกูลเหยาเช่นกัน” นางพึมพำกับตัวเอง สายตาเหม่อมองไปที่มุมด้านหนึ่งของหมอน “จวนชิงผิงอ๋องไม่มีสิ่งใดเลยหรืออย่างไร นางถึงได้เอามาเองโดยที่ไม่กลัวยุ่งยาก”
เหยาเชียนเชียนพลิกตัวลุกขึ้นและคว้าหมอนมานวดย้ำๆ แมวดำเห็นเหตุการณ์ก็ะโขึ้นไปบนขานางและแหงนหน้าขึ้นถูไถไปมา เนื้อััของเขาดีกว่าหมอนมากโข
นวดตัวเปิ่นหวังสิ
เหยาเชียนเชียนลูบตัวมันสองครั้งอย่างปลอบประโลมและหยิบกรรไกรจากตลับบนหัวเตียงออกมา ก่อนจะค่อยๆ ตัดหมอนใบนั้น
ข้างในหมอนคือเมล็ดเฉียวม่าย [2] ทว่านางพยายามรื้อค้นแล้วแต่กลับรื้อออกมาได้เพียงกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กและเรียวบางอันหนึ่ง มีความยาวราวหนึ่งฝ่ามือและมีความหนาประมาณนิ้วมือเท่านั้น
เหยาเชียนเชียนลมหายใจสะดุด ไม่คิดเลยว่าจะมีของอยู่จริงๆ นางเปิดมันออกด้วยจิตใจที่สับสน ข้างในมีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง นางจึงคลี่ออกและอ่านอย่างละเอียด ดูเหมือนกับเป็เทียบยาแผ่นหนึ่ง
“หรือว่านี่คือเทียบยาที่อวี๋ผินขอจากข้าในยามนั้นหรือ?”
เหยาเชียนเชียนอ่านอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็ไปได้ สิ่งที่ได้มาไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเ้าของร่างเดิมจะเก็บไว้ และยังซ่อนไว้ในที่ลึกลับเช่นนี้อีก
หรือว่านางกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองอาจไม่สามารถอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้ ดังนั้นจึงเก็บรักษาไว้ด้วยวิธีนี้ เพื่อให้องค์ชายสามใช้รักษาร่างกายต่อไป?
“ช่างหลงใหลในรักเหลือเกิน” เหยาเชียนเชียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “น่าเสียดาย สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย”
แมวดำมองนางจากข้างหลังอย่างเงียบเชียบ มันได้ยินเสียงพึมพำของเหยาเชียนเชียนแว่วๆ แต่กลับได้ยินเสียงถอนใจอย่างเศร้าโศกของนางได้อย่างชัดเจน
นางกล่าวว่าตัวเองหลงใหลในรัก ผลคือสุดท้ายแล้วกลับถูกหักหลังอย่างนั้นหรือ?
เป่ยเซวียนเฉิงมีอะไรดีกัน แมวดำเลียอุ้งเท้าเล็กน้อย ทั้งสติปัญญา ความกล้าหาญ ทั้งความปราดเปรียว และความน่ารักก็ล้วนเทียบกับเปิ่นหวังไม่ได้สักอย่าง ชิ! นางทอดถอนใจเพื่อคนผู้นั้นมันคุ้มค่าแล้วหรือ
สิ่งที่เป่ยเซวียนเฉิงให้นางไม่ได้ เขาสามารถชดเชยให้นางได้ทั้งหมด สิ่งที่เขามีคือสิ่งที่เป่ยเซวียนเฉิงไม่สามารถมอบให้นางได้ ความไว้วางใจมอบให้ผิดผู้ผิดคน ยามนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะสำนึกตัว เปิ่นหวังจิตใจกว้างขวาง ไม่คิดหยุมหยิมแน่นอน
“เสี่ยวไกวไกว มาตรงนี้สิ” เหยาเชียนเชียนกวักมือเรียกมัน “เ้าว่าข้าจะจัดการของเหล่านี้อย่างไรดี เทียบยานี้ข้าอาจจะเก็บมันไว้ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีผู้ใดรู้ถึงการมีอยู่ของมัน แต่ตราประทับอันนี้เล่าจะทำอย่างไรดี?”
ทำลาย? โยนทิ้ง?
ทว่าองค์ชายสามไม่ร้อนใจเลยหรือที่สิ่งของสำคัญขนาดนี้หายไป?
นางตัดสัมพันธ์กับเขาต่อหน้าธารกำนัลไปแล้ว เหตุใดเขาถึงยังไม่เอาของสิ่งนี้กลับคืนไปอีก เก็บไว้กับคนที่ไม่สนับสนุนตัวเองก็อาจจะมีอันตรายได้ทุกเมื่อไม่ใช่หรือ
“ดูไม่ออกเลยว่าองค์ชายสามจะไว้วางใจข้ามากถึงเพียงนี้” นางพึมพำ “ยามที่พบกับเขาสองต่อสอง เขาก็ไม่ได้เอ่ยว่า้าตราประทับของตัวเองคืนด้วยซ้ำ”
แมวดำสะบัดหางอย่างเย้ยหยัน จะมีอะไรเล่า บางทีตัวเขาเองอาจรู้อยู่แล้ว ว่าเขาก็ไม่ได้มีอำนาจใดมากมาย ต่อให้ถือครองตราประทับนี้ไว้ก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ เพียงแค่เก็บไว้เป็ของเล่นเท่านั้น
ทว่าของสิ่งนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่ควรเก็บไว้กับตัวหวังเฟยของเขาอยู่ดี แมวดำครุ่นคิดเล็กน้อย ลุกขึ้นะโออกจากอ้อมแขนของเหยาเชียนเชียนและวิ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
เหยาเชียนเชียนคว้าตัวมันไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งแล่นจากไปและลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เหตุการณ์เมื่อคืนยังไม่ทันได้กล่าวกับมันดีๆ เลย นางมักจะรู้สึกว่าเสี่ยวไกวไกวไม่ใช่แมวธรรมดา มันฉลาดมาก
“หวังเฟย” เด็กรับใช้เคาะประตูจากข้างนอก “จัดการสวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ หวังเฟยจะเสด็จไปทอดพระเนตรสักหน่อยหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนตอบรับคำ ก่อนจะยัดเทียบยาและตราประทับเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างลวกๆ ในสวนถูกจัดการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน นอกจากแผนที่จัดวางกำลังคุ้มกันนครหลวงที่อวี่เหลียนเอ๋อร์จงใจฝังไว้ครั้งก่อน ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วจริงๆ
“พวกเ้าไปหาเมล็ดพืชผักจำนวนหนึ่งมา และย้ายต้นทับทิมสองต้นนั้น จากนั้นก็ปลูกไว้ตรงนี้ด้วยกัน ท่านอ๋องชอบมองพวกมันผลิดอก”
ต้นทับทิม...ก็สามารถเข้าใจได้ ทว่าเื่หาเมล็ดพืชผัก เหล่าบ่าวไพร่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และแจ้งต่อเหยาเชียนเชียนอย่างอ้อมค้อมว่า ที่จริงแล้วในจวนอ๋องมีแปลงผักอยู่ มีผักที่เหล่าเ้านายโปรดปรานมากมาย และผักเ่าั้ล้วนเป็ผักที่คนในจวนปลูกกันเอง ไม่ได้ผ่านมือผู้อื่น
“เช่นนั้นก็พอดีเลย” เหยาเชียนเชียนพยักหน้า “ไปถามทางห้องเครื่องเล็กก็รู้ได้แล้วว่าปกติข้าชอบผักชนิดใด ทีนี้ก็ไม่ต้องไปแย่งอาหารกับท่านอ๋องแล้ว ปลูกไว้เองบ้างก็ดีเหมือนกัน”
ทันทีที่ชิงผิงอ๋องเข้ามาก็ได้ยินประโยคนั้นแล้ว หรือว่าระยะนี้เขาทำให้นางรู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อนางไม่ดีอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?
เหตุใดต้องขุดดอกไม้ในสวนออก และเปลี่ยนมาปลูกพืชผักผลไม้แทน
เหยาเชียนเชียนผินใบหน้าไปก็เห็นชิงผิงอ๋อง นางโค้งคำนับแสดงความเคารพอย่างรู้สึกผิด เหล่าบ่าวไพร่ที่ไม่รู้สถานการณ์ก็คุกเข่าตามไปด้วย
“ถวายบังคมท่านอ๋อง เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ”
ปฏิกิริยานี้ทำให้เป่ยเหลียนโม่พยายามกดมุมปากของเขาไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่เมื่อโดนนางปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ย่อมต้องเกิดความสงสัย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวใมากแล้วถึงได้เลิกหยอกล้อนางเล่น
“ลุกขึ้นเถิด” เขากล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน “ได้ยินว่าเ้าไปพบอวี่เหลียนเอ๋อร์มา นางพูดอะไรกับเ้าบ้างเล่า?”
เหยาเชียนเชียนมองเขาผลักประตูห้องเข้าไปต่อหน้าต่อตาพลางหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
ภายในห้องรกเละเทะไปหมด หมอนพังๆ ที่นางตัดเพื่อเปิดดูข้างในก็ยังอยู่บนพื้น เมล็ดเฉียวม่ายกระจัดกระจายไปทั่ว ชิงผิงอ๋องมองไปทางนางอย่างอดไม่ได้ พลางคิดในใจว่าเขารีบมาเกินไปหน่อย
“คือ...คือเมื่อครู่ในห้องมีหนูเพคะ” เหยาเชียนเชียนกัดฟันพูด “ก็เลยรกไปสักหน่อย ขายหน้าท่านอ๋องแล้วเพคะ”
น่าขันยิ่งนัก ั์ตาของเป่ยเหลียนโม่ปรากฏแววขบขันหลายส่วน เขาเลือกเก้าอี้ที่สะอาดสักหน่อยตัวหนึ่งมาและนั่งลง
“อวี่เหลียนเอ๋อร์ผู้นี้ เปิ่นหวังไม่คิดจะไว้ชีวิตนาง”
การเคลื่อนไหวของเหยาเชียนเชียนหยุดชะงัก นางทอดมองไปทางชิงผิงอ๋องด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรอวี่เหลียนเอ๋อร์ก็ยังเป็เด็ก แม้ว่าคนผู้นั้นจะใส่ร้ายนาง แต่หากต้องมาตายเพราะนางจริงๆ นางก็คงรู้สึกผิดอยู่ในใจ
“ท่านอ๋อง ยามนี้นางเพิ่งอายุไม่กี่ปีเองนะเพคะ พระองค์ดูสิ หากเลี้ยงไว้ข้างกายและอบรมสั่งสอนให้ดี จะสามารถให้โอกาสนางกลับเนื้อกลับตัวเป็คนดีได้หรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่มองนางและพยักหน้าน้อยๆ ทว่าคำที่กล่าวออกมานั้นหนักแน่นยิ่งนัก
“ไม่ได้เด็ดขาด หวังเฟยอย่าได้คิดเื่เ่าั้เลย”
เหยาเชียนเชียนเม้มปาก จะต้องฆ่าเด็กคนนั้นให้ได้เลยจริงๆ หรือ? เขาด่วนตัดสินใจเกินไปหน่อยหรือไม่?
“มีเื่หนึ่งที่เปิ่นหวังกำลังจะแจ้งแก่หวังเฟยโดยละเอียด” เป่ยเหลียนโม่ยกมุมปากขึ้น “หวังเฟยเห็นสภาพอวี่เหลียนเอ๋อร์เหมือนเด็กอายุราวเจ็ดแปดปีเช่นนั้น ทว่าแท้จริงนางอายุยี่สิบแปดปีแล้ว”
“อะ...อะไรนะ?”
เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเรียบ “มีคนประเภทหนึ่งที่จะจับตัวเด็กกลุ่มหนึ่งมาและกรอกยาให้ั้แ่ยังเด็ก ทำให้เด็กกลุ่มนั้นไม่เติบโตขึ้นอีก ร่างกายจะหยุดอยู่ที่วัยเด็กตลอดไป อวี่เหลียนเอ๋อร์ก็กินยานั้นเข้าไปเช่นกัน เพราะฉะนั้นนางไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเช่นที่เ้าคิดเลย”
เหยาเชียนเชียนแยกไม่ออกว่านางใหรือว่าปวดใจกันแน่ แต่ที่น่าสงสารยิ่งกว่าก็คือเด็กเ่าั้ที่ถูกทำลายชีวิตจนพังย่อยยับ
นางกล่าวว่าเคยได้ยินเื่ราวบ้าๆ เหล่านี้มาบ้าง แต่นี่เป็ครั้งแรกที่เหยื่อปรากฏตัวต่อหน้านางจริงๆ
“ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?” เหยาเชียนเชียนไม่เข้าใจ
“หรือเพียงเพื่อทำให้ผู้คนสงสารและเป็การหาเงินเท่านั้นหรือ อย่างเช่น...อย่างเช่นที่อวี่เหลียนเอ๋อร์ถูกบังคับให้ทำการแสดง และฝึกงูอะไรทำนองนั้น”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ ผู้ใดบอกนางกัน ในคราแรกอวี่เหลียนเอ๋อร์บอกว่าถูกบังคับให้ทำการแสดง หากนางไม่วางกลอุบายทำร้ายร่างกายตัวเองเช่นนั้น เหยาเชียนเชียนจะเชื่อและพานางกลับจวนอ๋องอย่างง่ายดายหรือ?
“โดยทั่วไปแล้ว การดัดแปลงร่างกายให้ตัวเล็กลงโดยมนุษย์ประเภทนี้จะใช้เพื่อขายให้แก่ย่านโสเภณี ทว่าการเร่แสดงกายกรรมเป็เพียงวิธีที่ง่ายที่สุด” เป่ยเหลียนโม่กล่าวอย่างสบายๆ “จิตใจมนุษย์นั้นล้ำลึกเพียงใด หวังเฟยคงไม่อาจจินตนาการได้”
เหยาเชียนเชียนไม่กล้ามองเขาด้วยไม่อยากจะเชื่อ นางอ้าปากพะงาบๆ คล้ายอยากจะพูด ทว่าความรู้สึกสะอิดสะเอียนผสมกับความโกรธทำให้นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนทำเื่ที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ได้ หากมีความเป็มนุษย์อยู่บ้างก็คงไม่ลงมือทำเื่เช่นนี้!
“เช่นนั้น...เช่นนั้นอวี่เหลียนเอ๋อร์ก็เป็เช่นนั้นหรือเพคะ?”
ถูกคนกรอกยาเพื่อทำให้ร่างกายหยุดเติบโตั้แ่เด็ก และใช้รูปลักษณ์เช่นนั้นตลอดไป...
มิน่าเล่า ในคืนนั้นถึงได้เห็นนางผัดแป้งทาหน้าอย่างช่ำชองเพียงนั้น เหยาเชียนเชียนรู้สึกหัวใจหนักอึ้งชั่วครู่
“วิธีการประเภทนี้ แม้จะผิดมนุษยธรรมและการเลี้ยงดูจนโตก็ไม่ได้ง่ายดาย แต่ก็ยังคงมีคนไม่น้อยที่ยินดีทำ เพียงคนเดียวก็มีมูลค่าราวกับทองพันชั่ง”
เหยาเชียนเชียนส่ายหน้า “ไม่ต้องพูดแล้วเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่พยายามโอบนางเข้าสู่อ้อมแขน เขาให้นางพิงลงบนไหล่ของตัวเองและลูบแผ่นหลังของนางเบาๆ
“ไม่เป็ไร ให้เป็หน้าที่ของเปิ่นหวังก็พอ เ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งนั้น”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วมุ่น ในคราแรกนางก็รับเื่ราวเหล่านี้ไม่ไหวอยู่แล้ว นางอิงซบลงบนไหล่ของเป่ยเหลียนโม่ พลางสูดกลิ่นที่ชวนให้รู้สึกใจสงบ และเอ่ยถามด้วยเสียงแ่เบาว่า
“ท่านอ๋อง อวี่เหลียนเอ๋อร์ต้องตายเท่านั้นหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่ชะงักไปชั่วครู่และตอบเบาๆ ว่า “นางมีเหตุผลที่ต้องตาย”
เชิงอรรถ
[1] เผือกร้อนลวกมือ หมายถึง เื่ราวหรือปัญหาที่แก้ไขยากหรือรับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ที่เมื่อถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พอง
[2] เฉียวม่าย หมายถึง เมล็ดบัควีท
