แม้เขาไม่หาเื่เย่เฟิงตรง ๆ แต่ในใจกลับดูถูกเหยียดหยาม และยิ่งชิงชังเย่เฟิงที่ขโมยสามสมบัติไปจากงานประมูลแห่งเมืองลอยฟ้า
องครักษ์สองคนนั้นเห็นผู้มาเป็บุคคลสำคัญ จึงรีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม โดยไม่กล้าขวางทางแม้แต่นิดเดียว ท่าทีที่พวกเขามีต่ออีกฝ่ายก็แตกต่างกับท่าทีที่มีต่อเย่เฟิงอย่างสิ้นเชิง
บนโลกใบนี้ ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งและฐานะ เมื่อไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าไปที่ใดก็จะได้รับความดูถูกเหยียดหยามจากผู้คน
ไม่นานนักก็ถึงตาของเย่เฟิงในการคัดเลือก เมื่อเย่เฟิงบอกฐานะของตนเอง ผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกและองครักษ์สองคนนั้นต่างก็หันมามองเย่เฟิงในทันที
ล้อกันเล่นหรือ? ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่หนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง อัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีแห่งอาณาจักรจ้าว ฐานะเช่นนี้มีหรือจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่?
ดังนั้นหลังจากเย่เฟิงบอกฐานะของตนเองก็ถูกปล่อยเข้าวังหลวงทันที ซึ่งเย่เฟิงอยู่กับกลุ่มผู้ผ่านการคัดเลือก ไม่นานทุกคนก็มาถึงลานกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และยังมีเวทีประลองขนาดใหญ่อยู่ใจกลางของลานกว้าง รวมถึงอัฒจันทร์หลายแห่งอยู่รอบเวทีประลอง
ลานกว้างแห่งนี้เป็สนามฝึกพิเศษของราชวงศ์ เป็ที่สำหรับแลกเปลี่ยนวิชาและฝึกฝนของเชื้อพระวงศ์ และมีน้อยครั้งที่จะเปิดให้ผู้อื่นเข้ามา แม้ไม่ได้จัด ณ ลานประลองที่จัดงานชุมนุมหวงปั่ง แต่การตกแต่งกลับโอ่อ่าตระการตา แฝงด้วยความเกรงขามของราชวงศ์
นอกจากผ่านการตรวจสอบอันเข้มงวดก่อนเข้ามาแล้ว ภายในวังหลวงยังมีกฎของตัวเอง ดังนั้นเวลาในการเข้ามาที่นี่ของเย่เฟิงและทุกคนจึงเชื่องช้าพอสมควร
“คุณชายซือคงมาถึงแล้ว ทุกคนจงหลีกทางไปเสีย!” ขณะนั้นมีเสียงดังขึ้นที่ด้านหลังของเย่เฟิงและคนอื่น ๆ
“เป็ซือคงเสวียน พวกเรารีบถอยเร็ว ห้ามล่วงเกินซือคงเสวียนเด็ดขาด ไม่งั้นพวกเราต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมา!”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็อึ้งงันไปชั่วครู่ ่นี้ชื่อเสียงของซือคงเสวียนโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ลำพังชื่อเสียงของศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋นก็โด่งดังเพียงพอแล้ว ทั้งยังมีฐานะและความสามารถอันโดดเด่นอีกด้วย แม้หลาย ๆ คนไม่เคยเห็นตัวจริงของซือคงเสวียน แต่กลับเลื่อมใสศรัทธาซือคงเสวียนเป็อย่างมาก ไม่มีผู้ใดอยากล่วงเกินซือคงเสวียน และพวกเขาส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็ไม่ได้หวังว่าจะคว้าอันดับที่หนึ่งมาครอง
แม้องค์หญิงซินอี๋จะเป็เทพธิดาในใจของใครหลาย ๆ คน แต่คนส่วนใหญ่ต่างรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มีเพียงพวกเขาที่รู้จักศักยภาพของตนเอง
ผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังทั่วทั้งแดนชิงอวิ๋นมารวมตัวที่อาณาจักรจ้าว เพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเป็คนมีประสบการณ์และมากความสามารถ
ส่วนผู้ที่จะได้เป็ราชบุตรเขยและแต่งงานกับองค์หญิงซินอี๋ เกรงว่ามีเพียงอัจฉริยะอย่างเว่ยเจิ้นเทียนและซือคงเสวียนจึงจะมีสิทธิ์ นี่ทำให้ผู้คนไม่อยากล่วงเกินคนอย่างซือคงเสวียน
ผู้คนหลบไปข้าง ๆ จากนั้นหันไปมอง ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ แต่หนึ่งในนั้นดูโดดเด่นเป็พิเศษ คนผู้นี้สวมชุดสีขาว คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาว หน้าตาหล่อเหลา แฝงด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ ยามเดินก็มักจะปล่อยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม เขากวาดตามองผู้คนด้านหน้า ซึ่งคนเ่าั้ต่างอดก้มหัวลงเล็กน้อยไม่ได้ และไม่กล้าสบตามองอีกฝ่ายตรง ๆ
“ซือคงเสวียนสมกับเป็ศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋น ช่างสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ราวกับเป็มนุษย์ในหมู่ั!” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองซือคงเสวียนด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
“คุณชายซือคง ที่นี่ก็คือสนามฝึกเฉพาะเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรจ้าว การประลองยุทธ์เลือกคู่ในวันนี้ก็จัดขึ้นที่นี่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ ซือคงเสวียนกล่าวแนะนำพลางยิ้มจาง ๆ ชายวัยกลางคนผู้นี้ไว้หนวดเครา ดวงตาลึกซึ้ง ก้มหัวให้ซือคงเสวียนด้วยท่าทีเคารพนับถืออย่างมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีนามว่าหลัวจาง เป็ต้าหยวนระดับสองของราชวงศ์ปัจจุบัน ฐานะสูงส่ง รับผิดชอบการเก็บภาษีของราชสำนัก และอยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่จ้าวหยาง
ซือคงเสวียนมาเยือนอาณาจักรจ้าวครั้งนี้ องค์ชายใหญ่จ้าวหยางจึงส่งหลัวจางมาดูแลซือคงเสวียน หลังจากรับรู้ตัวตนของซือคงเสวียน แน่นอนว่าหลัวจางไม่กล้าดูิ่ มีเพียงความเคารพนับถือเท่านั้น
เมื่อเห็นซือคงเสวียนมาเยือน ผู้คนต่างหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็ถึงตาเย่เฟิงที่จะต้องตรวจสอบก่อนเข้าสนามพอดี ซึ่งเย่เฟิงไม่หลบ แต่จะเข้าสนามโดยที่ไม่สนใจซือคงเสวียน เพราะเขาเย่เฟิงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอีกฝ่าย
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทว่าเย่เฟิงเพิ่งก้าวเท้าก็มีเสียงเย็นเยือกดังขึ้น ทำเย่เฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นเขาหันไปมอง ก่อนจะเห็นซือคงเสวียน หลัวจาง และคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ หลัวจางกวาดตามองเย่เฟิงทันที “เ้าไม่เห็นคุณชายซือคงหรือไง? แล้วเ้าจะเข้าสนามก่อนได้เยี่ยงไร? ยังไม่รีบหลบไปอีก!”
หลัวจางนั้นไม่รู้จักเย่เฟิง เขาเห็นเย่เฟิงเป็เด็กหนุ่มอายุประมาณ 16-17 ปี ตบะต่ำต้อย จึงไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา เขาจึงพูดสั่งสอนเย่เฟิงอย่างดูแคลน
เย่เฟิงปรายตามองหลัวจางและซือคงเสวียนพลางเหยียดยิ้มเ็า ก่อนกล่าวว่า “เขาเป็ใครแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า? แล้วเหตุใดข้าต้องหลีกทางให้ด้วย?”
“เ้าหมอนี่ใจกล้ามาก แม้แต่ใต้เท้าหลัวจางก็ไม่ไว้หน้า ขนาดซือคงเสวียนก็ยังกล้าทำตัวเหิมเกริมใส่!” คนผู้หนึ่งได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวเสียงเบา หลัวจางและซือคงเสวียนคือบุคคลที่พวกเขามิกล้าล่วงเกิน แต่เย่เฟิงที่มีอายุน้อยกว่าพวกเขากลับกล้าดูิ่สองคนนี้ แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ!”
หลัวจางะเิหัวเราะ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เ้าเป็ใครมาจากไหน? แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ให้เกียรติ ซ้ำยังพูดจาโอหัง เ้าไม่รู้หรือว่าท่านนี้คือคุณชายซือคงแขกผู้มีเกียรติของอาณาจักรจ้าว? รีบคุกเข่าขอโทษคุณชายซือคงเสีย เขาอาจอภัยให้เ้าก็เป็ได้ หาไม่แล้วเ้าต้องตายสถานเดียว!”
ดวงตาของหลัวจางเผยประกายเย็นเยือก ไม่รู้ว่าเป็ใครมาจากไหนถึงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ หากไปล่วงเกินซือคงเสวียนเข้า เขาอาจจะเจอหายนะด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลังพูดกับเย่เฟิงไปเช่นนั้น หลัวจางหันไปพูดกับซือคงเสวียนด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซือคง ได้โปรดระงับโทสะ ข้าจะทำให้คนผู้นี้ขอโทษท่านบัดเดี๋ยวนี้”
ซือคงเสวียนปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่งด้วยสายตาเฉยเมย ในสายตาเขา เย่เฟิงเป็เพียงแมลงที่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง จากนั้นเขาหันไปมองหลัวจาง “ตามใจท่าน แต่ข้าไม่คิดว่าอาณาจักรเล็ก ๆ นี่จะมีคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเยี่ยงนี้”
น้ำเสียงของซือคงเสวียนเรียบเฉย แม้อาณาจักรจ้าวจะเป็อาณาจักรเล็ก ๆ ตามที่ได้กล่าวต่อ ๆ กันมา แต่เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ชาวอาณาจักรจ้าวบางส่วนได้ยินเช่นนั้นต่างรู้สึกไม่พอใจ จึงเผยสีหน้าโกรธเคือง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“คุณชายซือคงพูดถูก ข้าคิดว่าควรกำจัดพวกโง่เขลาที่ไม่รู้ความอะไร หาไม่แล้วชาวอาณาจักรจ้าวจะเสียหน้าเอาได้!”
หลัวจางเป็ถึงต้าหยวนระดับสองแห่งราชวงศ์จ้าว แต่กลับก้มหัวให้ซือคงเสวียนราวกับว่าเขาไม่ใช่ชาวอาณาจักรจ้าว ไม่ว่าผู้อื่นดูถูกอาณาจักรของเขาอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่นิดเดียว ซึ่งการกระทำของหลัวจางทำให้ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรจ้าวหลาย ๆ คนโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ทั้งยังมองหลัวจางด้วยสายตาดูแคลน
“น่าขันเสียจริง ๆ!”
เย่เฟิงเห็นหลัวจางประจบประแจงซือคงเสวียนก็อดเหยียดยิ้มดูแคลนไม่ได้ แม้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับอาณาจักรจ้าว แต่ก็ทนดูคนขี้ประจบเยี่ยงนี้ไม่ได้
“เ้าหนู เ้าจะพูดอะไร?” หลัวจางเอ่ยถามเย่เฟิงพร้อมเผยสีหน้าอึมครึม
“เป็ถึงชาวอาณาจักรจ้าว แต่กลับขายประเทศตัวเองเพื่อเอาใจผู้อื่น ทั้งที่ตนเป็ถึงขุนนางของราชสำนัก ในความคิดข้า เ้าก็ไม่ต่างจากชนชั้นล่างพวกนั้น ข้าช่างละอายใจยิ่งนักที่เป็ชาวอาณาจักรจ้าวเหมือนกับเ้า!” เย่เฟิงดูถูกเหยียดหยามด้วยถ้อยคำไม่เกรงใจ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรจ้าวที่ไม่พอใจหลัวจางได้ยินคำพูดของเย่เฟิงต่างก็เผยท่าทีตื่นเต้นดีใจ
หลัวจางถูกดูแคลนจึงเกิดโทสะจนหน้าแดงก่ำ จากนั้นตวาดใส่เย่เฟิงอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เ้าหนู เ้ากล้าดียังไงมาดูถูกข้า ข้าว่าเ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเ้าให้หลาบจำ!”
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้นอยู่ หลัวจางก็เดินออกมาพร้อมกับวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงด้วยความเร็วสูง ซึ่งหลัวจางมีอายุเกือบจะ 60 ปี แม้บำเพ็ญตบะมาหลายสิบปี แต่ศักยภาพก็ธรรมดา จนกระทั่งบัดนี้เพิ่งบรรลุขั้นยุทธ์แท้ ที่อาณาจักรจ้าวนั้นข้าราชการพลเรือนบางคนก็เป็เช่นนี้ แม้อายุจะมาก แต่ตบะกลับต่ำต้อย ถึงอย่างไรข้าราชการพลเรือนก็สู้ผู้บัญชาการทหารไม่ได้
ในความคิดของหลัวจาง เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ซึ่งเพียงพอที่จะจัดการเย่เฟิงได้
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก เขาไม่สนใจฝ่ามือของหลัวจาง แต่วาดฝ่ามือตบไปที่หน้าของหลัวจางโดยไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ
“เพียะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้คนต่างต้องใ จากนั้นเห็นร่างหลัวจางกระเด็นไปกองกับพื้น ก่อนจะกระอักเื ทั้งยังส่งเสียงร้องโหยหวน
“เศษสวะแบบนี้ สมควรเป็ขุนนางหรือ ข้าดูิ่ตำแหน่งหน้าที่ของเ้าขนาดนี้ ข้าว่าใช้โอกาสนี้ออกไปจากเมืองหลวงเสียจะดีกว่า!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองหลัวจางด้วยสายตาคมกริบ
ฝ่ามือเมื่อครู่นี้เย่เฟิงไม่ได้ออกแรงทั้งหมด หากเขาใช้พลังสามแสนจิน เกรงว่าศีรษะของหลัวจางคงแตกะเิไปนานแล้ว
“นี่...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ม่านตาหดแคบลง และมองเย่เฟิงด้วยความเหลือเชื่อ
“ชายผู้นี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ แม้แต่ใต้เท้าหลัวก็กล้าทำร้าย สงสัยเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว เขารู้ดีว่าหลัวจางเป็คนอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างเย่เฟิงจะต่อกรด้วยได้
“เ้าหนู เ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายข้า วันนี้เ้าต้องตาย!” หลัวจางยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะตวาดใส่เย่เฟิงด้วยโทสะ
“ข้าก็อยากดูว่าเ้าจะทำให้ข้าตายอย่างไร!” เย่เฟิงเหยียดยิ้มมุมปาก โดยที่ไม่เห็นหลัวจางอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
ซือคงเสวียนเห็นเย่เฟิงทำร้ายหลัวจางก็อดขมวดคิ้วจาง ๆ ไม่ได้ จากนั้นกล่าวกับเย่เฟิงว่า “เหตุใดเ้าจึงทำร้ายใต้เท้าหลัว? หรือชาวอาณาจักรจ้าวเ้าชอบทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้?”
“เขาทำร้ายข้าก่อน ไม่เห็นหรือไง? หรือเ้าจะปล่อยให้ข้านิ่งเฉยไม่ตอบโต้เขา!” เย่เฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะระดับหัวกะทิจากสำนักใหญ่ ๆ แต่ก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
ผู้คนต่างเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเห็นความโอหังของเย่เฟิงต่างก็อดเหงื่อตกไม่ได้ และพวกเขายังคิดว่าซือคงเสวียนไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะยั่วยุได้
“จับตัวคนชั่วนี่มาให้ข้า!”
ทหารที่เฝ้าอยู่ในสนามฝึกทราบเื่นี้ต่างก็มาที่นี่อย่างรวดเร็ว เมื่อหลัวจางเห็นทหารมาก็ออกคำสั่งในทันที หมายจัดการเย่เฟิง
“ขอรับ ใต้เท้าหลัวถูกทำร้ายเยี่ยงนี้ รีบจับตัวคนชั่วนี่เร็ว!”
หัวหน้าทหารเห็นหลัวจางถูกทำร้ายก็ต้องประหลาดใจ จากนั้นเขามองไปตามนิ้วที่หลัวจางชี้ ก่อนจะเห็นเย่เฟิง พร้อมออกคำสั่งทหารนายอื่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ขณะที่ทหารเ่าั้คิดจะลงมือจัดการเย่เฟิง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่น่าเกรงขามดังมาจากที่ใกล้ ๆ เมื่อเหล่าทหารได้ยินเสียงนั้นก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียง
เมื่อพวกเขาเห็นโฉมหน้าผู้มาอย่างชัดเจนก็อดใไม่ได้ จากนั้นได้ยินทหารนายหนึ่งพูดขึ้นว่า “เป็ใต้เท้าจง ใต้เท้าจงมาถึงแล้ว!”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็เผยสีหน้าสนใจ พวกเขารู้ว่าขุนนางแซ่จงเป็แซ่ที่หาได้ยากเป็อย่างมาก จึงมีความเป็ไปได้สูงที่ผู้มานี้จะเป็จงเหริน
“เป็ใต้เท้าจงเหริน เขามาทำอะไรที่นี่น่ะ?” คนผู้หนึ่งจำจงเหรินได้ จึงอดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรที่นี่
“ใต้เท้าจงมาแล้ว ข้าขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ!”
หลัวจางเห็นผู้มาคือจงเหรินก็ระบายยิ้มทันที ก่อนจะเดินไปหาอย่างอดไม่ได้ “ใต้เท้าจง เด็กผู้นี้ไร้มารยาท ลงมือทำร้ายข้าต่อหน้าผู้คน ใต้เท้าจงโปรดลงโทษเขา!”
