อวี๋เจียวหัวเราะ ไม่เอ่ยสิ่งใด
พวกเขาไม่กี่คนมาถึงทุ่งนาสตรีแซ่ซ่งแย้มยิ้มทักทายเมื่อเห็นอวี๋กานเฉ่ากับสามีมาช่วย
ถึงแม้หลี่ฮั่นชิวจะค่อนข้างท้วมแต่พวกเขาสองสามีภรรยาคือคนทำนาฝีมือดี เมื่อมีอวี๋กานเฉ่ากับสามีคอยช่วยงานในทุ่งนาเสร็จเร็วกว่าเดิมไม่น้อย
ครั้นถึงยามเย็นสตรีแซ่ซ่งไปยืมวัวเทียมเกวียนจากเพื่อนบ้านสกุลหวังมัดกอข้าวที่เกี่ยวเสร็จเรียบร้อยเมื่อตอนกลางวันแล้วใช้วัวเทียมเกวียนลากกลับจวนไปกลับประมาณสิบกว่ารอบถึงขนข้าวสาลีที่เกี่ยวเสร็จเรียบร้อยจนหมด
ในขณะกินข้าวเย็นสตรีแซ่จ้าวเอ่ยวาจาเสียดสีครอบครัวใหญ่อย่างอดไม่ได้ “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านกับพี่ใหญ่ช่างรู้จักเกียจคร้านจริงๆงานในทุ่งนามีมากมายถึงเพียงนั้นกลับทิ้งให้พวกเราทำ? บอกว่าป่วย ท่านพ่อของพวกเราก็เป็หมอให้ท่านพ่อเขียนเทียบยาให้พวกท่านแล้วรีบลงนาไปทำงานเสีย!”
สตรีแซ่จางไม่ส่งเสียงใด เพียงก้มหน้าก้มตากินข้าวอวี๋เฉียวซานถอนหายใจอีกครั้ง เขากลับอยากลงนาไปทำงาน แต่สตรีแซ่จางไม่ยอม
อวี๋หรูไห่ขมวดคิ้วมองอวี๋เฉียวซานและภรรยา ภายในใจบังเกิดเป็ความไม่พอใจ เพราะเื่ไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอตอนนี้วาจาผู้นำสกุลของเขาใช้การไม่ได้เสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเนรคุณ
“เ้าใหญ่ พรุ่งนี้พวกเ้าไปลงนาเกี่ยวข้าว”อวี๋หรูไห่ลั่นวาจาออกมา
สตรีแซ่จางลอบแค่นหัวเราะเสียงเย็น เื่ดีๆไม่เคยตกมาถึงครอบครัวใหญ่ของพวกนาง แต่เมื่อมีงานก็นึกถึงครอบครัวใหญ่ขึ้นมา
“ข้าเจ็บอก พี่ใหญ่ปวดหัว จะไม่ลงนาเ้าค่ะ”สตรีแซ่จางชำเลืองมองอวี๋ฮั่นซาน “พวกเ้าสามทั้งสองคนมีความสามารถถึงเพียงนี้มีหรือจะต้องให้ครอบครัวใหญ่ของพวกเราลงมือ!”
กล่าวจบวางถ้วยและตะเกียบ ตามด้วยดึงอวี๋เฉียวซานกลับเรือนฝั่งตะวันตกทันที
อวี๋หรูไห่เขวี้ยงตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยความโมโหผ่านไปครึ่งค่อนวันยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
สตรีแซ่อวี๋โจวรีบเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
อวี๋กานเฉ่าและสามีที่ยังอยู่โต๊ะอาหารรู้สึกราวกับนั่งบนกองไฟไม่กล้ากินข้าวต่อไป ทำได้เพียงลอบวางตะเกียบแล้วกลับไปเกลี้ยกล่อมสตรีแซ่จาง
หลังอวี๋เจียวกินข้าวเสร็จ นางนั่งย่อยอาหารอยู่ในลานเล็กเช่นปกติสตรีแซ่ซ่งล้างจานชามในห้องหุงต้มเสร็จ นางเอาผ้าป่านเก่าผืนหนึ่งออกมาภายใต้ความช่วยเหลือของอวี๋เมิ่งซาน นางปูผ้าป่านไว้ในลานเรือน จากนั้นหอบรวงข้าวมาวางบนผ้าป่าน
อวี๋เจียวเห็นแล้วรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นางช่วยหอบมัดข้าวหลายๆมัด จนกระทั่งทั่วทั้งผ้าป่านมีรวงข้าวสาลีวางแผ่อยู่้าเป็ชั้นหนาสตรีแซ่ซ่งเอาลูกกลิ้งหินที่ตั้งอยู่ตรงมุมกำแพงมาวางลงบนผ้าปูจากนั้นลากลูกกลิ้งหินบดลงบนรวงข้าวเพื่อกะเทาะเมล็ดข้าวออกจากเปลือก
“นี่คือการสีข้าวหรือเ้าคะ?” อวี๋เจียวเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้
สตรีแซ่ซ่งพยักหน้า นางใช้ผ้าซับเหงื่อบนลำคอและใบหน้าพยายามเดินลากลูกกลิ้งอย่างเหนื่อยยากต่อไป
เมื่อก่อนงานเหล่านี้ล้วนแต่เป็ของบุรุษในสกุลอวี๋แต่ตอนนี้อวี๋เมิ่งซานขาขาดไปข้างหนึ่งสองสามีภรรยาครอบครัวใหญ่กำลังขุ่นเคืองนายท่านอวี๋ฮั่นซานของครอบครัวสามยังเกียจคร้าน สตรีแซ่ซ่งจึงได้แต่ลงมือทำด้วยตนเองเก็บรวงข้าวกลับมาแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ไม่ไยดี
อวี๋เฉียวซานในเรือนฝั่งตะวันออกได้ยินเสียงในลานเรือนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มว่า“ข้าจะไปสีข้าว”
สตรีแซ่จางถลึงตาใส่เขาอวี๋กานเฉ่ารีบเอ่ยทั้งรอยยิ้มพลางผลักอวี๋เฉียวซาน“เดิมทีท่านอากับท่านอาสะใภ้สามไม่ใช่คนตั้งใจทำงานลงนาเกี่ยวข้าวได้ไม่ถึงหนึ่งมัดก็ไปพักบนคันนาเสียแล้ว ท่านกับท่านพ่อไม่ไปลงนาทำให้ท่านอาสะใภ้รองต้องพลอยเหนื่อยไปด้วยเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางยังคงไม่ยอม อวี๋กานเฉ่าถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านแม่วันพรุ่งนี้ข้ากับฮั่นชิวจะต้องกลับจวนแล้ว ไม่อาจช่วยท่านอาสะใภ้รองทำงานมากนักขาท่านอารองยังเป็เช่นนี้ หากท่านอาสะใภ้รองเหน็ดเหนื่อยจนไม่สบายจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
“วันพรุ่งนี้เ้ากับฮั่นชิวจะไปแล้ว?” สตรีแซ่จางรีบหยัดกายลุกขึ้นนางควานหาไข่เป็ดในชั้นล่างสุดของตู้ออกมาประมาณสิบกว่าฟองแล้วยัดใส่ห่อผ้าให้เรียบร้อย“นี่คือไข่เป็ดที่พี่สะใภ้ใหญ่ของเ้าเอามาจากบ้านมารดา แม่ซ่อนเอาไว้มาโดยตลอดเ้าเอาไข่พวกนี้กลับจวนไป”
อวี๋กานเฉ่ามองไข่ไก่หนึ่งห่อผ้า ภายในใจรู้สึกยินดีหากเอากลับจวนไป สีหน้าของแม่สามีอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่นางยังคงเอ่ยปฏิเสธ“ไม่ได้เ้าค่ะ นี่คือไข่เป็ดที่พี่สะใภ้ใหญ่เอากลับมาจากบ้านมารดาข้าจะเอาไปได้อย่างไร”
“เอากลับไปให้แม่หนูน้อยกิน แม่สามีของเ้า เ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไรตอนนี้เป็่ยุ่งกับการทำนา เ้าพาฮั่นชิวกลับมาทำงาน นางว่าอย่างไรบ้าง?” สตรีแซ่จางเอ่ย
อวี๋กานเฉ่ายกยิ้มขมขื่น นางไม่อยากพูดให้สตรีแซ่จางเป็กังวล ทำได้เพียงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่... ไม่ได้ว่าอะไรเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางรู้สึกเบาใจลง “ไม่ว่าอะไรก็ดีแล้วแม่สามีของเ้าเป็คนเื่มาก เ้ากับฮั่นชิวมีแค่แม่หนูน้อยคนเดียวควรจะลงแรงมีเพิ่มอีกสักคน ทางที่ดีรีบมีลูกชายให้เร็วที่สุด”
ใบหน้าของอวี๋กานเฉ่าเศร้าสลดหลังได้ฟังนับั้แ่ตกเืเมื่อสามปีก่อน นางก็ไม่ตั้งครรภ์อีกเลย เดิมทีก็ยากจะอยู่ร่วมกับแม่สามียามนี้จึงยิ่งถูกรังแกสารพัด
สตรีแซ่จางรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจเมื่อเห็นสีหน้าของอวี๋กานเฉ่าเอ่ยถามว่า “กานเฉ่า ตลอดสามปีนี้เ้าไม่มีวี่แววตั้งครรภ์มาโดยตลอดคงไม่ใช่เพราะเป็โรคอะไรกระมัง?”
นางฉีกยิ้มมุมปาก แสร้งทำท่าทางราวกับไม่เป็อะไรแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านแม่อย่าคิดอะไรไปเรื่อยเลยเ้าค่ะร่างกายของข้าแข็งแรงดี จะเป็อะไรได้อย่างไร?”
สตรีแซ่จางดูไม่ออกว่านางผิดปกติ ยังคงเอ่ยด้วยความสงสัย“ไม่ได้ป่วยเป็อะไรจริงหรือ? หรือว่าลูกเขย...”
อวี๋กานเฉ่ารีบเอ่ยขัดจังหวะ “ท่านแม่ ท่านอย่าพูดซี้ซั้วเ้าค่ะร่างกายของฮั่นชิวแข็งแรงดีเ้าค่ะ!”
“ร่างกายแข็งแรงดีทั้งคู่ก็รีบมีอีกสักคน กานเฉ่าเื่นี้เ้าต้องจำใส่ใจเอาไว้” สตรีแซ่จางเอื้อมมือไปดึงอวี๋กานเฉ่าคิดอยากให้นางนั่งลงบนขอบเตียง สองแม่ลูกจะได้พูดคุยเื่ส่วนตัวกันดีๆ
ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่แตะแขนของอวี๋กานเฉ่า ใบหน้าของนางพลันซีดเผือดและรีบถดกายหลบทันที
ท่าทีตอบสนองที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ทำให้สีหน้าของสตรีแซ่จางเปลี่ยนไปนางดึงแขนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของอวี๋กานเฉ่าออกมาแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาล้วนแต่เป็รอยหยิกสีม่วงคล้ำ
สตรีแซ่จางโมโหเป็ฟืนเป็ไฟทันใด เอ่ยด้วยความเกลียดชังว่า“นี่มันอะไรกัน? ฮั่นชิวทุบตีเ้า?”
กล่าวเสร็จก็เตรียมออกไปหาหลี่ฮั่นชิวที่กำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าอวี๋ในห้องโถง
อวี๋กานเฉ่ารีบขวางเอาไว้ อธิบายเสียงต่ำด้วยความร้อนรนว่า“ท่านแม่ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับฮั่นชิวเ้าค่ะ ข้าหกล้มโดยไม่ตั้งใจเองเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางทั้งปวดใจและโมโห ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ“เ้าคิดว่าแม่เป็คนโง่อย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เป็รอยหยิก วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้เป็ฝีมือแม่สามีของเ้าใช่หรือไม่?”
อวี๋กานเฉ่าอยากบอกว่าไม่ใช่ แต่ยังไม่ทันได้ปริปากน้ำตากลับไหลอาบลงมาเสียก่อน นางรีบเช็ดออก เดิมทีไม่อยากให้น้ำตาไหลแต่เมื่อถูกมารดาเอ่ยถามเช่นนี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจเต็มอกพลันพรั่งพรูออกมา
“ยายแก่สกุลหลี่ผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าจะทรมานเ้าเช่นนี้หลี่ฮั่นชิวเ้าตัวดี!” ราวกับภายในใจของสตรีแซ่จางมีไฟลุกโชนนางหันกายมุ่งหน้าไปทางนอกประตูเพื่อคิดบัญชีกับหลี่ฮั่นชิว
อวี๋กานเฉ่ารีบดึงสตรีแซ่จางเอาไว้ แก้ต่างแทนสามีของตนว่า“ท่านแม่ ไม่เกี่ยวกับฮั่นชิวเ้าค่ะ ยามอยู่ต่อหน้าแม่สามีเขาคอยปกป้องข้ากับพี่อวี้ตลอด ตอนแม่สามีลงไม้ลงมือกับข้านางมักฉวยโอกาสยามฮั่นชิวไม่อยู่ตลอดเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางคว้าแขนอีกข้างของอวี๋กานเฉ่าขึ้นมาทันทีที่ถลกแขนเสื้อขึ้นดู ผลคือเต็มไปด้วยรอยหยิกสีม่วงช้ำเช่นที่คิดเอาไว้สตรีแซ่จางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น “บนตัวเ้าเป็เช่นนี้ หลี่ฮั่นชิวมองไม่เห็นงั้นรึ?”
