มู่หรงฉิงแสยะยิ้มให้กับคำพูดของฮูหยินเฉิน แต่นางกลับถามคำถามที่สำคัญที่สุด “ทำไมเมื่อหลายอึดใจก่อน กลิ่นหอมของผลไม้นั่นถึงล้มเหลวล่ะ?”
“ตอนเที่ยงคืนสิ่งที่เคยเป็ยารักษา จะกลายเป็อาวุธสำหรับการฆาตกรรม” เขาเอ่ยตอบอย่างเนิบช้า จ้าวจื่อซินหันมองและมองตรงไปที่มู่หรงฉิง “สิ่งที่เ้าอยากรู้ ข้าพูดไปหมดแล้ว เวลานี้ เป็่เวลาที่เ้าจะต้องตอบคำถามของข้าแล้ว”
ภายใต้แววตาซึ่งมีแต่ความงงงวยของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินหยิบกล่องหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ เมื่อมู่หรงฉิงเห็นกล่องนั้น นางก็ตะลึงงัน “ทำไมเ้าถึงมีน้ำมันใส่ผมที่ทำจากผลไม้นิรนาม?”
ดวงตาของจ้าวจื่อซินเต็มไปด้วยความหนาวเย็น และดวงตาปราศจากอารมณ์ใดๆ ของเขาทำให้ผู้คนเห็นแล้วเป็ต้องใจสั่น มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า นี่ถือเป็การใช้ไม้อ่อนก่อนใช้ไม้แข็งใช่หรือไม่?
ในตอนแรกจ้าวจื่อซินพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินเทียนหยู และสิ่งเ่าั้ก็ล้วนเป็สิ่งที่มู่หรงฉิง้าทราบจริงๆ เพราะอย่างน้อยนางกำลังอาศัยอยู่ในจวนเฉิน และหากนาง้าช่วยพี่ชายใหญ่ นางจะต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ให้กระจ่างแจ้งก่อน นางถึงจะสามารถหาทางออกที่สมบูรณ์แบบได้
“นายท่านเฉินจัดแจงให้คนสนิทไปเฝ้าผลไม้นิรนาม อย่ากลัวว่าคนอื่นๆ จะเก็บไป เพราะแม้กระทั่งจะเห็นต้นไม้นั้นก็เป็เื่ที่ยากเลย แต่น้ำมันใส่ผมกล่องนี้ทำด้วยผลไม้นิรนามอย่างน้อยสิบลูก!”
ด้วยน้ำเสียงดุดันกอปรกับดวงตาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก มู่หรงฉิงรู้สึกเพียงว่าจ้าวจื่อซินที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็เหมือนหมาป่าที่กำลังจะตะครุบเหยื่อ ถ้านางพูดผิดพลาดไป เขาก็จะเผยฟันเขี้ยวอันแหลมคมให้เห็นพร้ะครุบและฉีกนางกลายเป็ชิ้นๆ
“ในวันนั้น เฉินเทียนหยูออกไปนอกเมือง ส่วนข้าอยู่ห่างออกไปในระยะทางไม่ถึงสิบก้าว เขาก็ถูกชายชุดดำผู้มีทักษะกล้าแกร่งไม่น้อยไปกว่าข้าล่อไป ขณะที่ข้าไล่ตามเขาก็มีคนชุดดำจำนวนสิบสามคนซุ่มโจมตีคอยขวางทางข้า หลังจากข้าตามไปทัน เขาก็ไปถึงลานสนามหญ้าหน้าเรือนของเ้าแล้ว”
คำพูดเสียงเบาปราศจากอารมณ์และเ็า ยามออกจากริมฝีปากบางทั้งสองของเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเสียงมหัศจรรย์ที่ล่อให้คนหลงใหล
“เ้าใช้กลิ่นหอมของผลไม้ ล่อลวงให้คุณชายรองทำอะไรไม่ดีกับเ้า และทำให้จวนเฉินต้องตัดสินใจจัดงานแต่งงานด้วยความรู้สึกละอายใจครึ่งหนึ่งและรู้สึกมีความสุขครึ่งหนึ่ง เพียงแต่การแต่งงานในคราวนี้ สำหรับเ้าแล้วเกรงว่าจะไม่ดีกระมัง”
ถ้วยในมือของเขาถูกวางลงบนโต๊ะและเสียงที่คมชัดทำให้มู่หรงฉิงถึงกับตะลึงพรึงเพริด เมื่อเห็นว่าถ้วยชาใบนั้นแตกกลายเป็สองซีก
“เ้าทำไปเพื่ออะไรหรือ?”
ตอนท้ายของถ้อยคำสุดท้าย จ้าวจื่อซินมองไปทางมู่หรงฉิงด้วยสายตาเยียบเย็นและรอคำตอบของนาง
มู่หรงฉิงจ้องมองจ้าวจื่อซินด้วยความงุนงง ตลอดทั้งวันนางต้องใมากแล้ว แต่นางไม่คาดคิดเลยว่า ในห้องหอในคืนแต่งงาน ชีวิตของนางจะถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย และจากนั้นนางก็ถูกสอบปากคำคล้ายกับนักโทษ นางไม่ได้เป็อะไรนอกจากเป็ผู้หญิงที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเท่านั้น เมื่อสามปีที่แล้ว นางใช้ชีวิตโดยปราศจากความวิตกกังวล นางอ่านหนังสือ วางท่าสง่างามตลอดทั้งวัน หรือไม่เช่นนั้นนางก็ละเลงพู่กันวาดภาพผู้คนและใต้หล้า ถึงแม้ว่านางได้ฝึกทักษะการต่อสู้ในยามว่าง แต่กระนั้นนางแค่ฝึกหมัดเท้าปักบุปผาเพื่อป้องกันตัว
ั้แ่ท่านแม่ของนางเสียชีวิต นางได้เรียนรู้วิธีการรับมือกับอนุหนิงซึ่งทำให้รับรู้ว่า เื้ัท่านแม่นั้นเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ยามว่างในแต่ละวันของนาง ใน่เวลาสามปีที่ผ่านมา นางคิดว่านางทำผลงานได้ดีมากแล้ว แต่นางไม่คิดไม่ฝันว่า วันเวลาเ่าั้กลับเป็เพียงแค่เื่ตลกเล็กๆ น้อยๆ ที่อนุหนิงสร้างขึ้นมาเพื่อเป็ความบันเทิงแก่ตัวเองก็เท่านั้น
ถ้าไม่ััลมฝนคงจะไม่มีวันรู้จักความทุกข์ในโลก เมื่อนางเข้าใจว่านางจะต้องแต่งเข้าจวนเฉินและจะต้องเป็ภรรยาของเฉินเทียนหยูที่โง่งมคนนั้น นางจนใจ นางลังเล นางเกลียดชังและหงุดหงิดด้วย แต่อย่างไรก็ดี หลังจากรู้สึกหงุดหงิดและเกลียดชัง สุดท้ายนางก็ต้องเผชิญกับความเป็จริง
ดังนั้นเมื่อนางแต่งเข้าจวนเฉิน นางจึงไม่งอแงร้องไห้ฟูมฟาย และไม่ได้คร่ำครวญเสแสร้งทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ เดิมนางคิดว่าโชคชะตากลั่นแกล้งนางให้ต้องแต่งงานกับคนโง่งม แต่นางไม่นึกคิดเลยว่าโชคของนางจะร้ายถึงกับต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เพียงแต่โง่งมเท่านั้น แต่ยังเป็คนที่คลุ้มคลั่งเช่นสัตว์ประหลาดด้วย
ความคิดของผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะสวยงามและนิ่มนวล มู่หรงฉิงคิดว่าความเ็าใน่เวลาสามปีที่ผ่านมาฝึกฝนนางให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ปราศจากจิตใจอันเลวร้าย ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดเลยก็คือ หลังจากก้าวเข้ามาในจวนเฉินวันแรก ความแข็งแกร่งที่นางฝึกฝนตลอดระยะเวลาสามปีกลับถูกโจมตีอย่างไม่เหลือซาก
ก่อนอื่น นางใกลัวเฉินเทียนหยูจนถึงกับร้องไห้โดยไม่อาจแสร้งทำเป็เข้มแข็งได้ จากนั้นนางก็ใกลัวกับรูปลักษณ์ที่คลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยู ก่อนที่นางจะหายใจอย่างโล่งอก ในขณะนี้นางกลับต้องเผชิญกับจ้าวจื่อซินซึ่งเดิมควรจะเป็ผู้ใต้บัญชา โดยถูกเขาตั้งคำถามบังคับให้ตอบ
เฮ้อ... นาง, มู่หรงฉิงทำอะไรผิดหรือ? ถึงได้พบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ภายในหนึ่งวัน หากเื่ของวันนี้ถูกเขียนลงในหนังสือเล่มเล็กเพื่อบอกเล่าเื่ราวในโรงน้ำชา เกรงว่าเหตุการณ์ที่เกิดจะสามารถสาธยายได้ถึงสิบวันครึ่ง
ความขุ่นเคืองของมู่หรงฉิงนั้นแผดเผาอยู่ในหัวใจ แต่เมื่อนางรู้สึกร้อนรน นางกลับสงบอย่างน่าอัศจรรย์ นางคิดอย่างใจเย็นว่า จ้าวจื่อซินผู้นี้เป็ใครกัน? เขารู้เื่ของเฉินเทียนหยูอย่างกระจ่าง มิหนำซ้ำเขาก็ไม่ได้เรียกขาน ‘คุณชายรอง’ แต่เขากลับเรียกขาน ‘เฉินเทียนหยู’ ได้เต็มปาก
เหอะ! น่าสนใจ นางถูกกับดักของอนุหนิงให้แต่งงานกับผู้ชายโง่งม แต่นางกลับแต่งงานเข้ามาในกรงที่แปลกประหลาดเช่นนี้
ร่วมมือหรือ? เขา้าจะทำอะไรหรือ? นางมีประโยชน์อะไรสำหรับเขาหรือ?
ด้วยการหัวเราะเย้ยหยัน มู่หรงฉิงพลอยนึกขอบคุณอนุหนิงสำหรับการทำให้นางต้องประสบกับเหตุการณ์มากมายในอดีต นางจึงไม่ถึงกับงุนงงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือกล่าวอีกนัยคือนางไม่ถึงกับไม่สามารถสงบสติอารมณ์เมื่อยามพบเจอกับอันตราย เนื่องจากถ้านางตายไป นางก็คงนอนตายตาไม่หลับเป็แน่
“ข้าไม่รู้ว่าเ้าเป็ใครด้วยซ้ำ ข้าจะร่วมมือกับเ้าได้อย่างไร” ครั้นพูดจบ มู่หรงฉิงก็ยกมือขึ้นหยิบถ้วยเปล่า รินน้ำชาหนึ่งถ้วย และเลื่อนสายตามองจ้าวจื่อซินอย่างใจเย็น
มู่หรงฉิงสงบลงใน่เวลาสั้นๆ ซึ่งทำให้จ้าวจื่อซินค่อนข้างชื่นชมนาง โดยทำการยอมรับพันธมิตรผู้นี้ในใจ แต่ปากกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าแค่รู้รายละเอียดของเฉินเทียนหยูก็เพียงพอแล้ว ส่วนข้าเป็ใครนั้น มันสำคัญด้วยหรือ?”
“ข้าไม่อยากจะถูกฆ่าตายโดยปราศจากร่องรอยในวันใดวันหนึ่งก็เท่านั้น ถ้าข้าจะร่วมมือกับเ้า แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเ้าเลย นั่นจะไม่ใช่การมอบชีวิตของข้าไว้ในกำมือของเ้า และปล่อยให้เ้าได้บีบข้าตามอำเภอใจหรือ” มู่หรงฉิงคิดว่าการร่วมมือทำอะไรบางอย่างนั้นมีความจำเป็ ถึงอย่างไรจ้าวจื่อซินก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุความเป็มาของเฉินเทียนหยู พูดอีกนัยหนึ่งคือถ้านางร่วมมือกับจ้าวจื่อซิน นางจะได้รับการคุ้มครองขณะที่เฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งขึ้นมาใช่หรือไม่?
เพียงแต่มู่หรงฉิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจ้าวจื่อซินเลยแม้แต่เศษเสี้ยว และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น นางไม่รู้ด้วยว่าจ้าวจื่อซินร่วมมือกับนางด้วยจุดประสงค์ใด? หากนางเชื่อใจจ้าวจื่อซิน โดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย นางย่อมไม่อาจรับรองได้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าถ้าจ้าวจื่อซินหลอกใช้นางจนหมดประโยชน์แล้ว เขาจะไม่ฆ่านางเพื่อปิดปากหรือ
“ข้าบอกได้เพียงว่า การร่วมมือกับข้านั้นดีสำหรับเ้า” หลังจากรินน้ำชาอีกหน จ้าวจื่อซินก็ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก เขาแค่ยกถ้วยขึ้นไปทางมู่หรงฉิงด้วยสายตาอันแน่วแน่ “หวังว่าการร่วมมือของเราจะเป็ไปได้ด้วยดี”
หวังว่าการร่วมมือของเราจะเป็ไปได้ด้วยดีหรือ?
ผู้ชายคนนี้ช่างหลงตัวเองจริงๆ เขากำลังคิดว่าตัวเองเป็ใหญ่ โดยไม่มีใครอยู่ในสายตาเสียจริง!
มู่หรงฉิงไม่ได้ยกถ้วยชา แต่จ้าวจื่อซินกลับยิ้มที่มุมปาก และผลักถ้วยที่อยู่ตรงหน้านางเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่มู่หรง การร่วมมือกันในคราวนี้ เ้าจะมีแต่ได้กับได้ พูดเช่นนี้แล้วเ้ายังลังเลอีกหรือ?”
“ข้า้ายาแก้พิษนั่น!”
ทันทีที่คำพูดของจ้าวจื่อซินสิ้นสุดลง มู่หรงฉิงก็ยกถ้วยชาขึ้น ในจังหวะที่ถ้วยชาชนกัน มู่หรงฉิงก็พูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สูงและไม่ต่ำ โดยไม่รอให้จ้าวจื่อซินเอ่ยตอบ มู่หรงฉิงก็ดื่มน้ำชาหมดถ้วย “เนื่องจากเ้าพูดแล้วว่า มันจะดีสำหรับข้า ข้ามีแต่ได้กับได้ ถ้าเช่นนั้นก็มอบรางวัลให้ข้าก่อนสิ มิเช่นนั้นข้าจะกลายร่างเป็แมลงเม่าเข้าสู่กองไฟ ไปเผชิญกับอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ดวงตาของมู่หรงฉิงมีแต่ความสดใส ทว่าแฝงด้วยความสุขุม ทั้งยังมีร่องรอยของความเ้าเล่ห์
จ้าวจื่อซินถึงกับพูดไม่ออก หลังจากชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงจิบชาในถ้วย หลังจากคว่ำถ้วยลงกับโต๊ะ เขาก็หัวเราะเบาๆ “ตกลง!”
ด้วยคำว่า ‘ตกลง’ มันเหมือนกับตาข่ายที่มองไม่เห็นซึ่งเกี่ยวพวกเขาทั้งสองเข้าด้วยกัน แม้มู่หรงฉิงจะไม่รู้ว่าจ้าวจื่อซิน้าร่วมมือกับนางเพื่ออะไร แต่นางสามารถยืนยันได้สิ่งหนึ่งคือนาง้ายาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ ซึ่งจ้าวจื่อซินเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า การหายาแก้พิษนั้นเป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ดียามนี้เขากลับตอบตกลง
ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้นางสามารถตัดสินได้ว่า ความสามารถของจ้าวจื่อซินนั้นขยายไปสู่ยุทธภพได้ ใช่หรือไม่?
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฮูหยินน้อยจะให้ผู้น้อยอยู่ที่นี่หรือออกไป?” มู่หรงฉิงยังคงคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำต่อไป ขณะที่เสียงของจ้าวจื่อซินได้หวนคืนสู่สภาพที่เ็าเช่นเดิม และแม้กระทั่งการเรียกขานก็เปลี่ยนไป เห็นได้กระจ่างว่าอารมณ์ของจ้าวจื่อซินอยู่ในเกณฑ์ดี
มู่หรงฉิงหันมองเฉินเทียนหยูที่นอนหลับอยู่บนเตียงโดยสัญชาตญาณ อีกไม่กี่ชั่วยามท้องฟ้าก็จะสว่างแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วกระมัง?
ด้วยความคิดนั้นนางจึงพูดกับจ้าวจื่อซินว่า “เวลาดึกมากแล้วจริงๆ เ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ” นางคิดว่าเหตุการณ์ในห้องหอจะต้องแพร่สะพัดในจวนในวันรุ่งขึ้น เฉินเทียนหยูเป็บ้าไปแล้ว และจ้าวจื่อซินก็มาช่วย นั่นเป็เื่ปกติ เวลานี้ก็ผ่าน่เวลาเที่ยงคืนแล้ว ถ้าจ้าวจื่อซินยังคงอยู่ เกรงว่าจะตกเป็ขี้ปากของผู้คนเอาได้ นางไม่้าถูกตั้งข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับผู้ใต้บัญชาทั้งที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเฉินได้แค่สองวัน
“เ้าแน่ใจหรือ?” ถ้อยคำสบายๆ แต่เจือแววสัพยอก มู่หรงฉิงได้แต่กัดฟันและพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่ใจสิ!”
หลังจากเห็นท่าทางมั่นใจของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินก็จากไป แต่อย่างไรก็ดีหลังจากที่จ้าวจื่อซินก้าวเท้าออกจากห้อง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “อนุคนที่สองที่ถูกรัดคอตาย คือตอนที่เขาตื่นจากความฝันนะ”
ตอนที่เขาตื่นจากความฝันหรือ...มันไม่ใช่การคลุ้มคลั่งอีกหน หลังจากเื่วุ่นวายยกที่หนึ่งสิ้นสุดลงหรือ?
มู่หรงฉิงยิ่งนึกเกลียดชังจ้าวจื่อซินผู้นี้ขึ้นมาฉับพลัน ทำไมจิตใจของเขาถึงเลวร้ายนัก?
เด็กสาวกัดฟันและเดินกลับไปด้านข้างเตียง มองสภาพแวดล้อมรอบๆ จังหวะนั้นนางได้เห็นตาข่ายถูกโยนลงบนพื้น และจู่ๆ ความคิดของนางก็เปลี่ยนไป
นางนั่งยองๆ มองตาข่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจับััมัน นางรู้สึกว่าตาข่ายนุ่มมาก แต่เป็เื่ยากที่จะเคลื่อนไหว เมื่อดึงด้วยมือทั้งสองข้าง “มันทำมาจากอะไรหรือ? คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแรงมากเช่นนี้”
หลังจากคิดตรึกตรองก็คิดว่าใช่ เพราะถ้าไม่ใช่ของดี จ้าวจื่อซินจะนำมันมาใช้ควบคุมเฉินเทียนหยูได้อย่างไร?
เนื่องจากจ้าวจื่อซินได้บอกแล้วว่า เฉินเทียนหยูคงจะคลุ้มคลั่งหลังจากหลับไปครึ่งทาง ดังนั้นนางไม่จำเป็ต้องสุภาพแล้ว
นางจึงนำตาข่ายมาคลุมร่างเฉินเทียนหยูโดยไม่เกรงใจใดๆ คิดเสียว่าเป็การแก้แค้นที่ทำให้นางหวั่นกลัวซ้ำๆ หลายหนและเกือบทำให้นางต้องเสียชีวิต
จวบจวนกระทั่งเฉินเทียนหยูถูกมัดทั้งตัว หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัย มู่หรงฉิงก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความพึงพอใจ ร่างกายอันแสนเหนื่อยล้าของนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มากมายเกินไป ถ้าเขียนเป็เื่ราวเกรงว่าจะสามารถบันทึกได้เป็หมื่นคำ แต่นางไม่มีแรงจะคิดเื่อื่นแล้ว เด็กสาวนอนอยู่ด้านข้างเฉินเทียนหยูที่ถูกห่อตัวคล้ายกับบ๊ะจ่าง ก่อนรู้สึกว่าสมองของนางเริ่มหนักขึ้น เวลาเพียงไม่นานหลังจากนั้น นางก็ผล็อยหลับไป
ในขณะที่ภายในห้องเงียบสงบ จ้าวจื่อซินผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่างก็กระตุกมุมปาก
เหอะ! มู่หรงฉิงผู้นี้น่าสนใจจริงๆ นางก็คิดได้ ไม่นึกเลยว่าจะใช้ ‘ตาข่ายฟ้า’ นั่น ห่อตัวเฉินเทียนหยูไว้ข้างในนั้นจริงๆ