หลังจากดูแล จัดเตรียมเื่อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พร้อมหมดแล้ว และได้กำชับครอบครัวนายบุญ รวมถึงหมายและใจ แม่บ้านที่ดูแลนายอารักษ์และนางวัลภา ให้ดูแลทั้งคู่ให้ดี พร้อมทั้งยังไปขอให้อรศรีช่วยแวะเข้ามาดูเป็ครั้งคราว กานต์และอนงค์ก็พาลูกเดินทางลงกรุงเทพฯ ไปอย่างวางใจหายห่วง ทั้งสามคนใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ กันอย่างมีความสุข หลังจากเสร็จงานพวกเขาก็ได้พาอนงค์กานต์ไปเที่ยวทะเลแถบภาคใต้อีกหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะพากันกลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ เมื่อกลับมาถึงบ้าน สองสามีภรรยาก็ยังคงวิ่งวุ่นกันอีกตามเคย แต่คราวนี้เป็เื่ของอนงค์กานต์
อีกไม่ถึงสองเดือนอนงค์กานต์ต้องไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัยแล้ว ข้าวของที่จำเป็ ต้องเตรียมให้พร้อม กานต์และอนงค์ถึงกับทิ้งงานทั้งที่หน้าร้านและโรงงาน ปล่อยให้ ทอง นวล และเพ็ญรับมือไปอย่างเต็มตัว แล้วไปช่วยกันจัดหาของใช้สำหรับลูกสาวตัวเอ้กันอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าอะไรก็ล้วนคิดว่าจำเป็ต้องเอาไปด้วยทั้งนั้น อรศรีมองข้าวของสารพัดที่กองสุมอยู่ตรงพื้นห้องถึงกับหัวเราะด้วยความขบขัน ไม่รู้ว่าต้องใช้กระเป๋ากี่ใบถึงจะจุได้หมด แต่ก็นั่นแหละ หัวอกคนเป็พ่อและแม่ ลูกต้องไปอยู่ไกลจากอก ยิ่งเป็ผู้หญิงด้วยแล้ว ความห่วง ความวิตกกังวลยิ่งเพิ่มทวีคูณเป็สิบเท่า
“นิด มานี่จ้ะ แม่จะสวมสร้อยพระให้” อนงค์หยิบสร้อยทองเส้นยาวออกมาจากกล่อง ตรงปลายสร้อยแขวนพระรอดหยกองค์เล็กไว้
“อีกตั้งเดือนกว่าจะเปิดเทอม แม่รีบให้จัง” อนงค์กานต์ยกมือไหว้ขอบคุณอนงค์ระหว่างนั่งให้แม่ติดตะขอสร้อยให้
“สวมติดคอไว้แต่เนิ่น ๆ จะได้ชิน ใส่ติดตัวไว้นะลูก พระท่านจะได้ช่วยคุ้มครอง ไม่จำเป็จริง ๆ อย่าถอด ไม่ต้องกลัวสร้อยพัง พังแล้วก็ซื้อใหม่ ใส่อาบน้ำ ใส่นอนได้เลย แม่เลือกสร้อยเส้นนิ่ม ๆ ให้จะได้ใส่สบาย” อนงค์ลูบผมนิ่ม ๆ ของลูกอย่างเบามือ กระบอกตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งระยะเวลาเดินใกล้เข้ามาเธอก็ยิ่งใจหาย ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา ลูกสาวของเธอไม่เคยอยู่ห่างจากอกเลยสักครั้ง ครั้งนี้ถึงกับไปอยู่ไกลคนละจังหวัด ถึงจะบอกตัวเองทุกครั้งว่าลูกไปเพื่ออนาคต และใช้เวลาแค่สี่ปีเท่านั้นแต่เธอก็อดที่จะอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ ไม่รู้เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ เธอจะทำใจได้มากแค่ไหน
“แม่จ๋า ไม่ทำตาแดง รับรอง 4 ปีนี้นิดจะกลับมาบ่อย ๆ จนแม่เบื่อหน้าเลย” อนงค์กานต์เบียดตัวซุกเข้าไปในอกของอนงค์พร้อมเอ่ยเสียงอ้อน เธอเองก็รู้สึกใจหายไม่ต่างกันเมื่อคิดว่าต้องอยู่ไกลจากพ่อและแม่ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าแค่ 4 ปีเท่านั้นและไม่ใช่การจากตายเหมือนชาติที่แล้ว
“หรือนิดจะเปลี่ยนใจสมัครเรียนราชภัฏในจังหวัดเราเหมือนเชอรี่ดี จะได้กลับมาหาพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์เลย”
“ทำเป็พูดไป ถ้าเป็แบบนั้นจริง เรานั่นแหละจะมานั่งจ๋อยเสียดายทีหลัง” กานต์พูดสัพยอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้า่ไหนลูกไม่ว่างกลับ พ่อกับแม่จะไปหาเอง”
“พี่ ไปส่งลูกคราวนี้เราลองหาบ้านหลังเล็กหรือคอนโดไว้สักห้องดีไหม เวลาพวกเราไปหาจะได้สะดวกเื่ที่พัก”
“ดีเหมือนกันนะ เลือกเป็คอนโดเถอะ เอาใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย พี่อรบอกว่าคอนโดใหม่ ๆ ตอนนี้ผุดขึ้นเป็ดอกเห็ด เราดูที่สภาพแวดล้อมและระบบรักษาความปลอดภัยดี ๆ พอขึ้นปีสอง ถ้านิดไม่ได้อยู่หอในมหาวิทยาลัยต่อ ก็ให้มาอยู่ที่คอนโดเลย”
“งั้นตอนไปส่ง พวกเราไปอยู่กันให้นานขึ้นอีกหน่อยเถอะจะได้เดินดูหลาย ๆ ที่” อนงค์ต่อรอง แบบนี้เธอจะได้อยู่กับลูกนานขึ้นอีกหลายวัน “สงสัยคงต้องขอให้เอกช่วยรวมชื่อคอนโดย่านนั้นมาให้คร่าว ๆ ก่อน แต่ไม่รู้่นี้เขาจะว่างไหม นงไปคุยกับพี่อรเลยดีกว่า” อนงค์ลุกเดินไปตรงไปหาอรศรีที่บ้านทันที
-----
ไอ้เอก มึงจะเดินวนอีกนานไหมวะ จะได้ดูหนังเื่โปรดของกูไหมวันนี้” วิทิตถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
“มันเดินวนมาเกือบสิบวันแล้วนะโว้ย มึงเพิ่งมาบ่น” ปราการพูดเหน็บ
ชากรมาวนเวียนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า หากนับดูก็เป็วันที่เก้าเข้าไปแล้ว เขาเลือกเดินโซนของกระจุกกระจิก เครื่องประดับของใช้สำหรับผู้หญิงทุกวัน เดินทุกวันก็ยังไม่เห็นของที่อยากได้ วัน ๆ ก็ได้แต่หยิบดูแล้ววาง หยิบดูแล้ววาง บางชิ้นถึงกับใช้เวลาเพ่งพิศและครุ่นคิดอยู่เป็นานสองนาน วันนี้ก็เช่นกัน
“ไอ้เอก มึงจ้องนานขนาดนี้ระวังของในมือมึงคลอดลูกนะโว้ย” ปราการเอ่ยปากแซว ชากรหันไปมองตาขวาง
“กูว่า มึงเอาตัวมึงนั่นแหละผูกโบว์มอบเป็ของขวัญให้น้องเค้า ดีกว่าซื้อของให้ตั้งเยอะ” วิทิตสอดหน้าเข้ามาแนะนำ ชากรนึกภาพตามแล้วอมยิ้ม ถ้ากานต์ไม่แพ่นกบาลเขาเสียก่อนน่ะนะ ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้ จึงขอดูกระเป๋าใบที่หมายตาไว้
“ผมรับใบสีเขียว 1 ใบครับ” เขาแจ้งความจำนงกับพนักงานหลังจากยืนดูอยู่ครู่ใหญ่
“ทำไมไม่เอาสีฟ้าหรือสีชมพูวะ สาวๆ ชอบ” วิทิตรีบเสนอความคิด
“น้องเค้าชอบเงิน สีนี้แหละเหมาะแล้ว”
วิทิตถึงกับทำหน้างง “สีเขียวมันเกี่ยวอะไรกับเงิน”
ชากรอมยิ้มและหมุนตัวเดินตามพนักงานไปเพื่อจ่ายเงินค่ากระเป๋าโดยไม่ยอมอธิบายให้เพื่อนคลายสงสัย
