“ชาติกำเนิดของเ้ารึ?” กู้จวิ้นเฉินตกตะลึงเล็กน้อย “เ้าไม่ใช่บุตรชายของหลี่ซวี่หรอกหรือไร? เช่นนั้นการหมั้นหมายระหว่างเราจะทำเช่นใดเล่า?” ที่ฉีอ๋องเป็กังวลคมีแค่เื่นี้
“ไม่ใช่ เป็ฝั่งมารดาผู้ให้กำเนิดข้า” หลี่ลั่วกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ในรถม้าเงียบสงบยิ่งนัก จากวังหลวงไปจวนจงหย่งโหวระยะทางไม่ใกล้ แต่เมื่อทั้งสองต่างนิ่งเงียบ เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งรถม้ามาหยุดลงหน้าประตูจวนจงหย่งโหว
“ถึงแล้ว” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้น
“อืม” กู้จวิ้นเฉินรับคำครั้งหนึ่ง จากนั้นมองเขา หลี่ลั่วก็มองเขาเช่นกัน ทั้งสองคนจึงมองกันอยู่อย่างนี้ เฮ้อ...กู้จวิ้นเฉินถอนใจครั้งหนึ่ง “หลังจากข้าไปแล้ว เ้าอย่าเอาแต่ใจจนเกินไปนัก”
“...อืม” เขาเป็คนเอาแต่ใจเช่นนั้นหรือ?
“หาก้าเงิน ให้ไปเอาจากพ่อบ้านกู่ ข้าจะกำชับเขาเอาไว้” กู้จวิ้นเฉินกล่าวอีก
“อื้ม” หลี่ลั่วรับคำอย่างรวดเร็ว เงินเป็ของดี
“อย่าไปล่วงเกินผู้ใด คนบางคนอาจจะเห็นว่าเ้ายังเป็เด็กจึงไม่ถือสาเอาความกับเ้า แต่เ้าอย่าได้ก่อเื่จนเกินกว่าเหตุ” ที่กู้จวิ้นเฉินไม่วางใจที่สุดคือเื่นี้ “หากเกิดเื่อันใดขึ้น ให้เข้าวังไปหาเสด็จอา เ้าเป็บุตรชายของหลี่ซวี่ หลี่ซวี่นั้นตายเพราะเสด็จอา ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น เสด็จอาติดค้างชีวิตของพ่อเ้า แค่จุดนี้ เขาย่อมใจกว้างและอภัยให้เ้าเป็แน่”
“ข้ารู้” นั่นเป็ฮ่องเต้ที่มีเืเนื้อและจิตใจท่านหนึ่ง
กู้จวิ้นเฉินหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมือออกมาลูบเส้นผมของหลี่ลั่ว “ข้ายังต้องยืมคนจากเ้าคนหนึ่ง”
“ผู้ใดกัน?”
“หลี่จงิ เขาติดตามบิดาเ้าอยู่ซีเป่ยเป็เวลายี่สิบกว่าปี ไม่ว่าจะเป็เื่ของพื้นที่ในซีเป่ยและสถานการณ์อื่น เขาย่อมกระจ่างแจ้งกว่าพี่ชายของข้า ดังนั้น ข้าจำเป็ต้องพาเขาไปซีเป่ยด้วย” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“ข้าจะพูดกับท่านอาหลี่”
“เ้า...” กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง “เขียนจดหมายให้ข้าได้”
“ได้” หลี่ลั่วตอบรับอย่างเชื่อฟัง
กู้จวิ้นเฉินพูดไม่ออกว่าจิตใจที่หดหู่ของเขาในยามนี้คืออะไร หลี่ลั่วที่น่ารักเชื่อฟังในยามนี้ไม่เหมือนกับหลี่ลั่วในยามปกติซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่สดใสคึกคัก “เ้า...” เขากำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเห็นหลี่ลั่วโถมกายเข้ามาในอ้อมอกของเขา จากนั้นกอดเอวของเขาไว้แล้วพูดเสียงอู้อี้ว่า “ท่านจะต้องปลอดภัยกลับมานะ”
กู้จวิ้นเฉินไปซีเป่ยครั้งนี้ ทำให้เขาวางใจไม่ลงจริงๆ
“อืม ข้ารับรอง” มือของเขาขยับแล้วขยับอีก สุดท้ายวางลงบนหัวไหล่ของหลี่ลั่ว “เ้าต้อง...รอข้ากลับมาอย่างเชื่อฟัง”
“ได้”
“รอข้ากลับมา...รอข้ากลับมา...” กู้จวิ้นเฉินพูดแล้วก็หยุด ติ่งหูเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ “รอข้ากลับมาแล้ว พวกเรามาแต่งงานกันเถิด”
“...” อะไรนะ? หลี่ลั่วยังคงคิดตามไม่ทัน
“มีคนมากมายที่เลี้ยงเ้าสาวเด็ก[1]เอาไว้ และแต่งงานกันเร็วมาก ห้องหอนั้น...การร่วมหอรอจนกระทั่งเ้าเข้าพิธีสวมกวานได้” ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีจึงจะเข้าพิธีสวมกวาน
หลี่ลั่วทึมทื่อไปเลย
“ดีใจจนพูดไม่ออกรึ?” เห็นเขาไม่ตอบความ กู้จวิ้นเฉินจึงคิดเช่นนั้น
หลี่ลั่วอยากจะพูดว่า เขาถูกทำให้ใเสียแล้ว แต่หากพูดเช่นนี้ คาดว่าเขากับฉีอ๋องคงต้องแง่งอนกันอีก
“เ้าลงไปเถิด” กู้จวิ้นเฉินจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาแล้วปล่อยตัวเขา
หลี่ลั่วพยักหน้า จากนั้นลงจากรถม้า แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน เขายืนอยู่หน้าประตูมองรถม้าของจวนฉีอ๋องวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ เขามองไม่เห็นคนบนรถม้า จึงไม่รู้ว่ามีคนในรถม้าคนหนึ่งหันมามองเขาอยู่เช่นกัน
“โหวเหฺย กลางคืนอากาศเย็น เข้าไปกันเถิดขอรับ” หลี่ฉางเฉิงกล่าวเตือน
หลี่ลั่วมองจนไม่เห็นรถม้าของจวนฉีอ๋องแล้วจึงเดินเข้าไปในจวนโหว คนอื่นๆ ยังไม่กลับมา ผู้ที่กลับมาก่อนมีเพียงเขาและหลี่ฉางเฉิง “อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมาย พรุ่งนี้เ้านำไปให้บิดาของเ้าแต่เช้า”
“ขอรับ”
“จากนั้นเก็บข้าวของ พรุ่งนี้เ้าและ...หยวนโม่ไปวัดก่วงเปยพร้อมกับข้าเถิด ให้ลวี่ผิงไปด้วย เพื่อปกป้องชื่อเสียงของหยวนโม่” หลี่ลั่วกล่าวอีก อย่างไรเสียในวัดก็มีห้องสำหรับแขกผู้หญิง
“ขอบคุณโหวเหฺยขอรับ”
กลับมาถึงเรือนโฉวงจี๋ได้ หลี่ลั่วก็อาบน้ำก่อนเป็อันดับแรก ขณะที่แช่น้ำอยู่นั้นเขาคิดถึงเื่ของแคว้นหลัวเหมิน ของขวัญวันเกิดของเขายังไม่ได้มอบออกไปเลย เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ซินเป่าจึงปรนนิบัติหลี่ลั่วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นไปห้องหนังสือเขียนจดหมายให้หลี่จงิ วันนี้อยู่ในวังหลวงทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ทว่ายามนอนหลี่ลั่วหยิบสร้อยประคำพระยูไลที่นักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวมอบให้เส้นนั้น แล้วหยิบสร้อยประคำอีกเส้นที่บิดาทิ้งไว้ให้เขาเมื่อตอนที่เขาถือกำเนิดออกมา
สร้อยประคำทั้งสองเส้นอยู่ในมือ หลี่ลั่วลูบไปทีละเม็ดๆ คนผู้นั้นในยามนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็เช่นใดบ้าง ทันใดนั้น หลี่ลั่วพลันขมวดคิ้ว เขาค้นพบสิ่งของบางอย่าง เมื่อแรกเริ่มนั้นเขาไม่ได้สังเกต ที่จริงแล้วสร้อยประคำทั้งสองสายมีร่องรอยอยู่บนผิวของมัน หลี่ลั่วเดินมาอยู่ใต้แสงไฟ นำสร้อยประคำทั้งสองสายมาดูผิวของมันรอบหนึ่ง เขาพบปัญหาอย่างหนึ่ง เมื่อดูเพียงสร้อยประคำเพียงสายเดียวจะไม่พบปัญหาใดๆ แต่เมื่อนำสร้อยประคำแม่ลูกทั้งสองสายมาประกอบไว้ด้วยกันแล้ว นำลูกประคำใส่เข้าไปในลูกประคำแม่ เช่นนั้นบนผิวของลูกประคำจะมีร่องรอยที่สามารถลูบคลำและรู้สึกได้
คิดมาถึงตรงนี้ หลี่ลั่วรีบวิ่งออกจากห้อง หน้าประตูห้องมีองครักษ์ยืนยามอยู่สี่นาย พวกเขากลุ่มหนึ่งมีห้าคน วันนี้เป็เวรของพวกเขายืนยาม เมื่อเห็นหลี่ลั่วออกมา ก็ให้คิดว่าเกิดเื่อันใดขึ้น “โหวเหฺย เกิดเื่อันใดขึ้นหรือขอรับ?”
“ไป ไปเรียกซินเป่า ฉางเฉิง และสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่มาให้ข้า”
“ขอรับ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซินเป่า ฉางเฉิง และสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่ต่างก็มาถึงห้องของหลี่ลั่ว
“โหวเหฺย ท่านให้เรียกหาพวกเราหรือขอรับ”
หลี่ลั่วพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้า้าให้พวกเ้าไปหาซื้อของอย่างหนึ่ง เป็ของที่สามารถมองทะลุไปได้ เหมือนกับกระจก แต่ไม่ใช่กระจก คือเมื่อนำสิ่งของนี้ไปวางบนสิ่งของอื่นแล้วสามารถขยายใหญ่ได้ เช่น...แว่นขยาย” ในยุคสมัยนี้ แม้จะไม่ใช่ยุคของประเทศจีน แต่เมื่อครั้งหลี่ลั่วไปหอชมจันทร์กับกู้จวิ้นเฉิน เขาเคยเห็นของจำพวกคล้ายคลึงกล้องส่องทางไกล อาจจะดูได้ไม่ไกลเท่ากับกล้องส่องทางไกล แต่เวลานั้นกู้จวิ้นเฉินได้กล่าวเอาไว้ว่า สิ่งของเหล่านี้มาจากแคว้นอื่น ซึ่งก็คือ ที่นี่มีประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ หรืออเมริกา เช่นนั้นย่อมต้องมีแว่นขยาย “รู้หรือไม่ว่าเป็สิ่งของอะไร?”
“พอจะเข้าใจว่าเป็สิ่งของอันใดแล้วเ้าค่ะ พรุ่งนี้บ่าวจะออกไปหาดูแต่เช้าเ้าค่ะ”
“อืม พวกเ้าไปด้วยกัน พรุ่งนี้ข้ายังต้องเดินทางไปวัดก่วงเปย ดังนั้นหาแว่นขยายได้ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“ขอรับ”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ฉางเฉิงไปส่งจดหมายที่จวนสกุลหลี่ให้หลี่จงิ จากนั้นบอกกล่าวถึงการเดินทางของตน และเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ หลี่จงิสองสามีภรรยาฟังแล้วต่างรู้สึกว่าช่างโชคดีเหลือเกินที่หลี่ฉางเฉิงไม่ได้ชมชอบสตรีเช่นเจียงซูเอ๋อร์ สตรีเช่นนี้ ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
“เ้าติดตามเสี่ยวโหวเหฺยไปวัดก่วงเปยก็ดี ยามนี้เป็องครักษ์ขั้นเจ็ดแล้ว อย่าได้ทำให้เสี่ยวโหวเหฺยผิดหวังต่อความเชื่อมั่นที่มีในตัวเ้า” หลี่จงิปลาบปลื้มยินดียิ่ง
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกกระจ่างแจ้งดีขอรับ”
ภรรยาของหลี่จงินั้นเป็หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ มีนิสัยซื่อสัตย์และใจกว้าง เมื่อเห็นสามีมีผลงานทางทหาร บุตรชายเองก็มีผลงานทางทหารเช่นกัน และปีหน้าก็จะแต่งภรรยาแล้ว นางดีใจจนหาอันใดเปรียบไม่ได้
ที่จริงของเล่นที่มาจากฝั่งตะวันตกในเมืองหลวงนั้นมีไม่มาก แต่ต่อให้มีไม่มาก ร้านค้าที่ไปฝั่งตะวันตกย่อมหาซื้อมาได้ หรือจะไปหาตามร้านของโบราณ ก็ยังมีร้านขายเครื่องประดับสำหรับหญิงสาว ด้วยรู้ว่าผู้ที่หันมาเล่นของเล่นทางฝั่งตะวันตกนั้นมีไม่มาก ผู้ที่มีความสนใจต่อของเล่นจากฝั่งตะวันตกมีน้อย ดังนั้นในเวลาไม่นานนัก แว่นขยายที่หลี่ลั่ว้าจึงหาซื้อมาได้แล้ว
เมื่อมีแว่นขยายแล้ว หลี่ลั่วจึงส่องดูร่องรอยบนผิวของลูกประคำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และพอดีกับที่กำลังจะได้พบกับก่วงฉือไต้ซือซึ่งมีความรู้กว้างขวางอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ หลี่ลั่วยังสามารถให้เขาชี้แนะอธิบายให้ฟังได้อีกด้วย
ยามเที่ยงหลังจากกินอาหารกลางวัน หลี่ลั่วนำพาซินเป่า หลี่ฉางเฉิง หยวนโม่ และลวี่ผิง แล้วยังมีองครักษ์อีกห้านายออกเดินทาง สำหรับเื่การเปิดร้านการกุศลจึงต้องหยุดเอาไว้เป็การชั่วคราว
จากเมืองหลวงถึงวัดก่วงเปยใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เนื่องจากอากาศดีไม่ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง ด้วยเป็่เวลายามบ่าย สำหรับวัดแล้ว วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนคนที่มาไหว้พระจะหนาแน่น ดังนั้นวัดก่วงเปยในเวลานี้จึงเงียบสงบยิ่งนัก รถม้ามาถึงหน้าประตูวัดก่วงเปยแล้ว หลี่ลั่วได้กลิ่นธูปเทียนที่ลอยออกมาจากในวัด เขามองรูปปั้นพระหินแกะสลักที่อยู่ตรงปากประตู ภายในใจรู้สึกสงบเหลือเกิน
พูดกันว่าผู้ที่เห็นรูปปั้นพระแกะสลักแล้วจิตใจสงบนิ่งนั้น ล้วนเป็คนที่เชื่อถืองมงายในเื่ผีสางเทวดา แต่ในวันนี้ความรู้สึกของตนหลังจากที่เกิดเื่ราวกับตนเองมากมาย หากเขาไม่งมงายสิจึงจะผิดปกติ
หลี่ลั่วเดินเข้าไปในวัดก่วงเปยจนมาถึงห้องโถงของวิหาร หลี่ลั่วคุกเข่าลง กราบสักการะด้วยความนับถืออย่างจริงใจ ท่าทางการไหว้พระของเขาถูกต้องแม่นยำ เพราะคุณย่าในโลกยุคปัจจุบันนั้นจะกินอาหารเจทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า พ่อแม่ของเขาทำงานค่อนข้างยุ่ง เขาถูกเลี้ยงอยู่ที่บ้านคุณปู่และคุณย่า เมื่อไม่มีอะไรทำก็จะไหว้พระกับคุณย่าด้วย เมื่อท่าทางไม่ถูกต้องคุณย่าก็มักจะช่วยแก้ไขท่าทางของเขาให้ถูกต้องอยู่เสมอ
คุณย่าบอกว่า ท่าทางเมื่อไหว้เ้าแม่กวนอิมนั้นจะต้องทำให้ถูกต้อง
หลี่ลั่วกราบสักการะเ้าแม่กวนอิมแล้ว อีกด้านหนึ่งมีสามเณรน้อยเดินเข้ามา “ขออภัย โยมคือจงหย่งโหวหลี่ลั่วใช่หรือไม่? เป็ศิษย์ฆราวาสอาจารย์อาที่เพิ่งรับเข้ามาใช่หรือไม่?” เมื่อเช้าตอนที่หลี่ลั่วยังไม่ได้ออกเดินทางได้ส่งคนมาส่งจดหมายแล้ว
“เป็ข้าเอง ท่านอาจารย์คือ?” หลี่ลั่วถาม
“มิกล้าเป็อาจารย์ของอาจารย์อา ก่วงฉือไต้ซือได้กำชับเอาไว้แล้ว หากอาจารย์อามาถึง ให้เชิญไปที่เรือนของเขาทันที เชิญอาจารย์อาขอรับ” สามเณรน้อยโค้งกายน้อยๆ กล่าวคำ
“ต้องรบกวนศิษย์หลานนำทางแล้ว” แม่เ้า ฐานะของก่วงฉือไต้ซือสูงยิ่ง หลี่ลั่วมีความรู้สึกภาคภูมิใจจนแทบจะลอยได้
สามเณรน้อยพาหลี่ลั่วเข้าไปที่เรือนของก่วงฉือไต้ซือ ก่วงฉือไต้ซือเป็ผู้าุโที่สุดในวัดก่วงเปย เรือนของเขาอยู่ค่อนข้างไกลออกมาเล็กน้อย ทว่ากว้างขวางมาก ต่อให้่หลายปีก่อนหน้านี้ยามที่เขาออกเดินทางไปทั่วโลกไม่ได้อยู่ที่นี่ เรือนของเขาก็จะมีสามเณรน้อยมาคอยทำความสะอาดให้ทุกวัน ไม่มีคราบฝุ่นเกาะอยู่เลยแม้แต่น้อย “อาจารย์ใหญ่สั่งไว้ว่า ให้อาจารย์อาและคนอื่นๆ อาศัยอยู่ที่เรือนตะวันตกเรือนนี้ขอรับ ภายในเรือนของอาจารย์ใหญ่ในยามปกตินั้นไม่มีผู้ใด ยามปกติมีเพียงศิษย์และอวี๋จี้เดินไปมา รับผิดชอบการดำเนินชีวิตของอาจารย์ใหญ่และอาจารย์อา ศิษย์ชื่ออวี๋ิขอรับ” สามเณรน้อยกล่าว
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “อวี๋จี้ อวี๋ิ คงไม่ใช่หมายความว่า ‘จดจำชื่อ’ หรอกนะ?”
สามเณรน้อยกล่าว “ความหมายคือจดจำชื่อจริงๆ ขอรับ อาจารย์ใหญ่เก็บศิษย์และอวี๋จี้กลับมา อวี๋จี้นั้นมาก่อนศิษย์ ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้ว่า จี้ จาก จี้ิ ที่แปลว่าจดจำชื่อขอรับ”
สิ่งแวดล้อมของเรือนตะวันตกเงียบสงบยิ่ง ก่วงฉือไต้ซืออาศัยอยู่ที่เรือนตะวันออก ทั้งสองเรือนมีสวนดอกไม้คั่นกลาง สวนดอกไม้นั้นปลูกต้นไม้เพียงต้นเดียว ทว่าต้นไม้ต้นนั้นใหญ่มาก ให้ความรู้สึกเป็ต้นไม้ที่เก่าแก่มีอายุยาวนานมากจริงๆ เมื่อเห็นหลี่ลั่วได้แต่จ้องมองต้นไม้ต้นนั้น สามเณรน้อยกล่าวอีกว่า “อาจารย์ใหญ่และก่วงเปยไต้ซือปลูกต้นไม้ต้นนี้ร่วมกัน ได้ยินว่ามีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วขอรับ”
[1] การเลี้ยงเ้าสาวเด็ก (童养媳) คือประเพณีโบราณของจีนสมัยโบราณที่บ้านของฝ่ายสามีจะรับเลี้ยงดูทารกหญิงหรือเด็กหญิง และรอจนกว่าเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นแล้วจึงแต่งงานอย่างเป็ทางการได้