“กล้าหาญ มีไหวพริบ หน้าตาดุดัน ควบคุมคนได้” ชย่าลิ่วอีพูด “พรุ่งนี้ฉันจะเสนอให้พวกผู้าุโแต่งตั้งให้แกเป็ ‘หงกุ้น’ คนใหม่”
เสี่ยวหม่าร้องเสียงหลง “พี่ลิ่วอี พี่แค่าเ็เล็กน้อยเอง พี่จะรีบเกษียณทำไม? ผมมันแค่ลูกน้องตัวเล็กๆ จะไปทำงานของพี่ได้ยังไง? พี่ช่วยทำเองเถอะนะ!”
“ไอ้เวร” ชย่าลิ่วอีอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาอีกครั้ง “อย่าแช่งฉันสิวะ! ใครบอกว่าจะเกษียณ?! แล้วจากนี้ไปก็เรียกฉันว่า ‘พี่ใหญ่’ ด้วย!”
“หา...? หา?!” เสี่ยวหม่าร้องเสียงหลง
“หุบปาก” ชย่าลิ่วอีเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เขาพยักเพยิดให้เสี่ยวหม่าเข้ามาหาใกล้ๆ “หลังจากรับตำแหน่งแล้ว ไปช่วยฉันสืบเื่หนึ่งหน่อย ก่อนที่ชิงหลงจะตาย สวี่อิงเคยติดต่อกับใครบ้าง จับคนสนิทของเขามาสอบสวนทีละคนซะ”
สิ้นประโยคนั้น สีหน้าของเสี่ยวหม่าก็เปลี่ยนไปทันที “แต่ว่าคนสนิทของสวี่อิงถูกจับโยนลงทะเลไปหมดแล้วเมื่อคืนนี้ ไม่มีเหลือเลยแม้แต่คนเดียว”
“อะไรนะ?! ใครเป็คนสั่ง?”
“ว่ากันว่าเป็การตัดสินใจของเหล่าผู้าุโ พวกเขาบอกว่า ‘พวกมันมีใจคิดคด เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์’”
ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วแน่น เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “สืบต่อ ยังไงก็ต้องมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง ระวังตัวหน่อยแล้วกัน อย่าให้ใครจับได้”
“ได้ครับ”
ชย่าลิ่วอี้าเลื่อนขั้นให้ชุยตงตงขึ้นเป็รองหัวหน้าแก๊ง ตำแหน่งที่คนอื่นอยากได้แทบตาย ชุยตงตงกลับไม่อยากได้ เธอบอกว่าไม่อยากควบคุมคน เธอชอบดูแลบัญชีมากกว่า อย่าหาเื่ให้เธอ ชย่าลิ่วอีที่ถูกพันผ้าเหมือนมัมมี่อยู่บนเตียงได้ยินดังนั้นก็จ้องเขม็ง— ถ้าเธอไม่ทำ พวกผู้าุโก็จะส่งคนของพวกเขามาแทน เธอคิดว่าฉันเป็พี่น้องหรือเปล่า เธอจะทำไหม?!
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชุยตงตงจึงกล่าวว่าเพื่อปกป้องพี่ชายที่ดีอย่างเขาไม่ให้ถูก ‘สอดแทรก’ เธอจะรับตำแหน่งอย่างไม่เต็มใจ แต่เธอต้องได้อั่งเปาเพิ่มเป็สองเท่าทุกปี ชย่าลิ่วอีจึงขว้างหมอนใส่เธอ— ฝันไปเถอะ!
ณ ที่แห่งนี้ ชย่าลิ่วอีเริ่มบทบาทของหัวหน้าแก๊งด้วยร่างที่ถูกพันจนกลายเป็มัมมี่ของเขา— คนในวงการเรียกเขาว่า ‘หัวหน้าใหญ่ดาบคู่’ ทว่าหลังออกมาจากโรงพยาบาล หัวหน้าใหญ่คนนี้ก็ไม่เคยชักดาบอีกเลย เขาเปลี่ยนมาใช้ปืนแทน ส่วนทางด้านเหอชูซาน ไข้ที่ขึ้นสูงเริ่มลดลงแล้ว เขาค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบซ่อมในอีกหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าเขาสอบผ่านด้วยคะแนนสูง
ในฐานะคนที่มีความรู้สูงและมีการไตร่ตรองตนเองอยู่เสมอ สมองของเหอชูซานจึงมีความสามารถในการกรองข้อมูลที่สูงมาก ใน่ที่เขาเป็ไข้ เขาได้เผาผลาญไวรัสและความทรงจำอันดำมืดออกไปพร้อมกัน และเมื่อไข้ลดลงอย่างสมบูรณ์ก็เข้าสู่่ปิดเทอมฤดูร้อนพอดี เขาจึงใช้โอกาสที่มหาวิทยาลัยยังไม่ปิดนี้ยืมหนังสือมาจากห้องสมุดหลายถุงใหญ่ เหอชูซานทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านน้ำแข็งไสของอาหัวในตอนกลางวัน และกลับมาอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นที่บ้านในตอนกลางคืน ทุกเช้าเขาจะเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ตรงไปยังลานเล็กๆ หน้าโรงเรียนหลงจินอี้ในเขตเมืองกำแพงซึ่งเป็ซากโรงเรียนเก่าแก่สมัยราชวงศ์ชิง เพื่อฝึกไทเก๊กของสำนักตระกูลหยาง ลุงอาหัวซึ่งได้ลูกศิษย์ตอนแก่รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีแววจึงทุ่มเทสอนเขาอย่างเต็มที่ วันนี้ฝึกท่านี้สองชั่วโมง พรุ่งนี้ฝึกท่าเตะสามชั่วโมง!
เขาถูกลุงอาหัวฝึกอย่างหนักทุกวันจนแทบตาย ทั้งยังทำงานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะนึกถึงเ้าพ่อมาเฟียจอมโหดคนนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว มีเพียงเช้าวันหนึ่งที่เขาสะดุ้งตื่นจากฝัน แม้จะลืมเนื้อหาในฝันไปทันทีที่ลืมตา แต่บริเวณไหล่ขวาของเขากลับเริ่มปวดร้าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เขายกมือขึ้นกุมไหล่ขวาแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเตียงที่เคยมีใครคนนั้นนอนมาหลายสิบคืน ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนนั้นที่มีดวงดาวพร่างพราว นึกถึงน้ำตาที่คลอเบ้าของเ้าพ่อมาเฟียผู้ไร้หัวใจ นึกถึงใบหน้าที่เหนื่อยล้าและแฝงไปด้วยความเศร้าโศกของเขาขณะหลับ
นึกถึงเสียงครางต่ำๆ ของเขาเมื่อถูกไม้ไผ่ทิ่มแทง นึกถึงฝ่ามือที่ฟาดมาจากด้านหลังด้วยความโกรธแต่กลับไร้เรี่ยวแรง และนึกถึงเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเขาเมื่อถูกจ่อปืนที่หัว
มาเฟียจอมโหดคนนั้นช่วยเขาไว้สองครั้ง เขาตอบแทนไปสองครั้ง ถือว่าหายกันแล้ว เหอชูซานคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะมีเื่อะไรให้เกี่ยวข้องกันอีก แต่เขากลับไม่สามารถลบภาพของคนคนนั้นออกจากความทรงจำได้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถลืมฉากนองเืที่น่ากลัวเ่าั้ได้ลง
สิ่งที่ชย่าลิ่วอีทิ้งไว้ให้เขาไม่ใช่ความมืดมิด แต่เป็แรงกระตุ้นที่ทั้งเร่าร้อนและมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยเืเนื้อและความไม่ยอมแพ้ เหมือนกระแสน้ำที่ซัดสาดเข้ามาใน่น้ำขึ้น มันกระทบหัวใจของเขาอย่างแรงจนทิ้งเป็รอยแผลลึกไว้ ไม่ว่าเขาจะพยายามลบเลือนมันอย่างไร ในวินาทีที่เขานึกถึงชื่อนั้น เขาก็จะได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังก้องอยู่ในหูเสมอ
เขากุมไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ซุกหน้าลงกับผ้าห่ม ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างจนใจกับตัวเองที่เป็แบบนี้
……
เป็เวลากว่าสองเดือนที่ชีวิตของเหอชูซานดำเนินไปอย่างสงบสุข อีกไม่นานก็จะถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่แล้ว เช้าวันนี้หลังจากฝึกซ้อมท่าเตะจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาก็เดินโซซัดโซเซจากโรงเรียนหลงจินอี้ไปยังร้านน้ำแข็งไสของอาหัวโดยใช้เส้นทางของตรอกใกล้บ้านที่ได้กลายเป็เขตต้องห้ามสำหรับเขา ที่ที่เขาเคยถูกคนจับตัวไป
ชย่าลิ่วอีในชุดสูทสีดำยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดไปบนกำแพงฝั่งตรงข้าม ปิดกั้นถนนในตรอกนั้นได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเหอชูซานก็ได้ยินเสียงคลื่นทะเลที่ดังก้องอยู่ในหู หลังจากเหม่อไปครู่หนึ่ง เขาก็ทักทายอย่างเรียบง่าย “พี่ลิ่วอี”
“ฉันมาซื้อหนิวจ๋า” ชย่าลิ่วอีพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก มือซ้ายหยิบบุหรี่ออกจากปาก แล้วพ่นควันวงกลมออกมา “แล้วก็มาเอาดาบของฉันด้วย”
ลืมบอกไป ครั้งก่อนที่ชย่าลิ่วอีใช้มีดของชิงหลงจ่อคอเหอชูซาน จนถึงตอนนี้มีดคู่ก็ยังถูกห่อเก็บไว้ในเตาผิงที่บ้านของเหอชูซาน
เหอชูซานพยักหน้า “พ่อเก็บไว้อยู่ ตามผมมา จะพาขึ้นไปเอาข้างบน”
ชย่าลิ่วอีบี้บุหรี่ในมือแล้วพูดอย่างเ็าด้วยท่าทางหยิ่งยโส “ไปเอามันออกมา”
“ต้องขุดออกมาจากขี้เถ้าแล้วปัดทำความสะอาด ไปรอข้างบนก็ได้” เหอชูซานพูดด้วยความอดทน “ไม่ต้องกลัว พ่อจะไม่ถอนฟันพี่อีกแล้ว”
“แค่ก!” สิ้นคำนั้นชย่าลิ่วอีก็สำลักควันทันที! ยังไม่ทันได้ไอให้หายระคายเคืองคอสักสองสามทีก็โดนบุหรี่ลวกต่อ! “แค่กๆๆ... แม่ง! ใครกลัวพ่อแกกัน?!”
เขาเก็บขาทั้งสองข้างอย่างลุกลี้ลุกลน ทิ้งก้นบุหรี่ แล้วปัดขี้เถ้าที่กระจัดกระจายบนตัวออกอย่างรวดเร็ว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กคนนี้ก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร ทว่าไหล่กลับสั่นเล็กน้อย!
ชย่าลิ่วอีคว้าเข้าที่คอของเขาแล้วเขย่าไปมา “กล้าพูดเล่นกับพี่ใหญ่ของนายหรือ? ไอ้เวรนี่! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?!”
เหอชูซานหัวเราะขณะพยายามหลบหลีก ทว่าก็ถูกเขาบีบคอจนไอไม่หยุด
ชย่าลิ่วอีคว้าตัวของเหอชูซานเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วระดมทุบตี ตบไปที่หัวเขาหลายครั้ง “ลองกลับไปคารวะไหว้พี่ใหญ่สิ ดูสิว่าฉันจะมีอารมณ์ให้อภัยไหม!”
“ผมไม่เป็ลูกน้องของพี่หรอก” เหอชูซานหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความขบขัน “แผลของพี่เป็ยังไงบ้าง? หายดีหรือยัง?”
ชย่าลิ่วอีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เอ็นข้อมือขวาขาด ขยับได้แค่พอใช้ตะเกียบ”
เมื่อรู้สึกว่าเหอชูซานตัวแข็งทื่อไป ชย่าลิ่วอีก็หัวเราะ “กลัวอะไร? พี่ลิ่วอีคนนี้ไม่ให้แกชดใช้หรอก! ต่อให้ใช้มือเดียวก็ยังอัดแกจนหมอบได้!”
เหอชูซานยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไร บรรยากาศเริ่มอึดอัด ชย่าลิ่วอีจึงผลักตัวเขาอย่างหงุดหงิด “พอได้แล้ว อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้! ขึ้นไปหยิบอาวุธข้างบนมา!”
เหอชูซานเซถลาไปสองสามก้าวจากการถูกผลัก เขาหันตัวเพื่อเดินขึ้นไปหยิบมีดดาบคู่นั้นจากเตาผิง ชย่าลิ่วอีะโตามหลังมาทันที “เฮ้! ไอ้หนู เล่นสนุกเกอร์เป็ไหม?”
เหอชูซานหันหลังกลับทันที แล้วพูดออกมาแค่ “ไม่เป็ครับ”
“ฉันเปิดโต๊ะสนุกเกอร์หลายแห่งในจิ่วหลง ที่หน้ามหาวิทยาลัยของแกก็มีที่หนึ่ง หลังเลิกเรียนให้รีบมาหาฉันที่นั่น ถ้าเล่นไม่เป็ก็ไม่เป็ไร พี่ลิ่วอีจะสอนแกเอง”
เหอชูซานลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม “ข้างในไม่ได้ขาย ‘ผงขาว’ ใช่ไหม?”
“ไอ้เวร! ใครเขาขาย ‘ผงขาว’ ในร้านสนุกเกอร์กัน?! มีแต่ ‘แป้งฝุ่น’ ไว้เช็ดมือต่างหาก! จะเอาสักกี่กิโลก็บอกมาเลย!”
เหอชูซานพยักหน้าอีกครั้งแล้วพูดเบาๆ ในความมืดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปครับ”
จากนั้นเป็ต้นมา ชีวิตของเขาก็ได้เข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายจากเ้าพ่อมาเฟียผู้นี้อย่างไม่รู้จบ