เมฆได้ร่วงหล่นจากท้องฟ้าและแสงสว่างสุดท้ายก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด
ปรากฏพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องประกายสีเงินบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่แสงสีของจันทร์ที่หุบเขาหลิงหยุนเปรียบเสมือนความอ่อนนุ่มของหญิงสาวที่สะกดคนอีกทั้งแสงจันทร์ที่สาดส่องเถาวัลย์บนผนังูเาจนเปล่งประกายราวกับดวงดาวที่ส่องแสงแวววับและูเาที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตาดุจัั์ได้พ่นลมหายใจออกมาในความเงียบภายใต้บรรยากาศมีเพียงเสียงคำรามของสัตว์ิญญาจากป่าลึกที่ได้ทำลายความสงบจนต้องหวาดกลัว
“แกรบ แกรบ...”
ข้าเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นและเดินอยู่หน้าสุดอย่างระมัดระวังเมื่อผ่านต้นไม้โบราณต้นนั้นก็รู้สึกราวกับถูกดูดซับขึ้นไปบนกิ่งไม้และมองความลึกของเทือกเขาที่สี่จากไกลๆและอากาศภายในหุบเขาที่หนาทึบจนไม่สามารถมองทะลุผ่านไปได้ซึ่งข้าค้นพบพลังงานความร้อนเพียงกระต่ายที่อยู่ในพุ่มไม้สุนัขจิ้งจอกและสัตว์เล็ก
“ไม่มีอะไร ปลอดภัย”
ข้ากระซิบบอก
ซูเหยียนตั้นไถเหยา หลิวถงเอ๋อร์ที่ก้าวเดินบนพื้นหินตามหลังข้าตอนนั้นพวกเราก็ได้ยืนอยู่ตรงูเาสูงตระหง่านที่ห่างจากเชิงเขาที่สี่อีกระยะหนึ่ง
กลิ่นหอมกรุ่นที่เตะจมูกจากใบไม้ที่ร่วงหล่นเต็มพื้นในฤดูใบไม้ร่วงและผลไม้ิญญาที่ห้อยเป็ระยะตามต้นไม้ในป่าซึ่งส่วนใหญ่ถูกนกและสัตว์กินพืชกินไปหมดมีเพียงผลไม้ที่หลบซ่อนอยู่หลงเหลือให้พวกเรา
สวบ...
ร่างหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆตกลงบนต้นสนโบราณที่ยื่นออกมาจากหน้าผาพร้อมรองเท้าบูตเล็กที่เหยียบกิ่งไม้ราวกับก้าวอยู่ในอากาศเขามีน้ำหนักเบามากอย่างคาดไม่ถึงซึ่งมีเพียงถังเชวียหรานเท่านั้นที่มีน้ำหนักเบาแบบนี้ได้นางมองไกลออกไปด้วยดวงตาคู่สวยและพูดเบาๆ“ถ้าเกิดลงจากเขานี้ก็อย่าประมาทและระวังตัวด้วยเราจะพบกับกวางหิมะและสัตว์ิญญาอีกหกถึงเจ็ดตัวพวกมันกำลังขุดดินขุดหญ้าเพื่อสนองความหิว”
กวางหิมะเป็สัตว์ิญญาขนาดเล็ก ลักษณะพิเศษของมันคือหิมะและความว่องไวจัดได้ว่าเป็พันธุ์ที่โง่เขลาแต่ก็ดุดันและโหดร้ายเมื่อมันโมโหจะน่ากลัวมากมีตำนานเล่าว่ากวางหิมะสามารถใช้กรงเล็บฆ่าสัตว์ิญญาระดับห้าได้ภายในสิบวินาทีซึ่งไม่รู้ว่าเป็เื่จริงหรือเปล่า
“มันก็แค่กลุ่มกวางที่โง่เขลาเท่านั้น”
ข้าพูดอย่างมั่นใจ“แม้ว่ากวางหิมะนั้นมีความว่องไว แต่ความแข็งแกร่งของมันนั้นอ่อนแอและในแง่ของความแข็งแกร่งยังอยู่อันดับที่ต่ำกว่าบรรดาสัตว์ิญญาขั้นที่หกซึ่งระดับเทียบเท่ากับผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ขั้นแรกถ้าพวกเราร่วมมือกันล้มมันได้ก็ไม่มีปัญหาทว่าถ้ามันได้กลิ่นพวกเราก็จะเริ่มโจมตีทันที ถ้าอย่างนั้นโจมตีก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
“คนอื่นล่ะคิดว่าไงบ้าง?” ถังเชวียหรานเอ่ยถาม
ทั้งซูเหยียนและตั้นไถเหยาต่างพยักหน้าพร้อมกัน
แต่หลิวถงเอ๋อร์กลับพูดขึ้น“ให้เชวียหรานใช้ธนูจัดการมันก่อน ที่เหลือก็ให้ซูเหยียนกับปู้อี้เชวียนจัดการส่วนอาเหยาเ้าก็คอยสนับสนุนกำลังให้กับเชวียหรานก็พอ”
“อืม ไปกันเถอะ!”
ถังเชวียหรานลอยลงมาจากกำแพงหินที่เหยียบอยู่เมื่อครู่
เมื่อเหยียบจนถึงเมฆก็เกิดเปลวไฟะเิที่ไร้เสียงและข้าก็ลอยลงมาที่หน้าผาและเดินตามถังเชวียหรานไปตามขอบหน้าผาส่วนซูเหยียนและหลิวถงเอ๋อร์ที่ตามหลัง ด้วยดาบที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ตามไม่ทันขณะที่ตั้นไถเหยาได้แสดงพลังความสามารถนั้นร่างกายของถังเชวียหรานก็ส่องแสงขึ้นและเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
พลั่ก...
ถังเชวียหรานที่อยู่บนต้นไม้โบราณค่อยๆยกธนูคลื่นมรกตขึ้นมาชั่วพริบตานางก็ดึงคันธนูที่มีพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่เก้าไหลวนตรงลูกธนู ซึ่งข้าััได้ถึงความคมและแสบร้อนจากลูกธนูที่แข็งแกร่งของถังเชวียหรานหากความแข็งแกร่งของนางก้าวะโใน่เวลานี้ก็จะเป็ชัยชนะครั้งใหญ่
ฟู่!
ลูกธนูพุ่งเคลื่อนไปยังพุ่มไม้ที่มีกวางกลุ่มนั้นอยู่ทันใดนั้นเืจากกวางหิมะตัวหนึ่งที่ถูกธนูปักตรงหน้าผากตายก็กระเด็นออกมา
ฟิ่วฟิ่ว...ฟิ่ว ฟิ่ว...
ส่วนกวางหิมะที่เหลือก็เริ่มตื่นตัวและกลายเป็สายฟ้าบินตรงไปยังต้นไม้โบราณที่ถังเชวียหรานปักหลักอยู่อย่างรวดเร็วความเร็วของพวกมันนั้นน่าทึ่งมาก!
แต่ถังเชวียหรานนั้นแข็งแกร่งและยิงลูกธนูออกไปอีกทันใดนั้นร่างของกวางหิมะสามตัวก็ถูกยิงเข้าอย่างแรงและตกลงไปในพุ่มไม้และหญ้า
โดนแล้ว!
ข้าะเิพลังพุ่งตัวออกไปขวางทางระหว่างกวางหิมะทั้งสองตัว
ฟู่ฟู่!
พวกมันอ้าปากกัดพลางส่งเสียงคำรามออกมาพวกมันไม่เพียงรวดเร็วแต่ยังดุร้ายด้วย
ทว่าความเร็วของข้ามีมากกว่าอีกทั้งัทะเลทรายเหนือวิชาลมหายใจัขั้นสิบเอ็ดหมุนเวียนเข้ามาในร่างกายจึงทำให้ความเร็วของพวกมันลดลงไปมากกระบี่คมจันทราได้แหวกอากาศออกมาพร้อมกับกระบี่ของวิชาเพลงกระบี่ดินแดนหิมะซึ่งขณะที่ไม่มีการเคลื่นไหวใดๆ กระบี่ทั้งสองเล่มก็ฟาดฟันออกไป
ฟึ่บฟึ่บ...
ชั่วพริบตากวางหิมะทั้งสองตัวก็ถูกหั่นเป็สี่ท่อนและตกลงพื้นพร้อมกับเืที่แข็งตัว
อีกด้านหนึ่งซูเหยียนลอยลงมาพร้อมกับแสงพลังระบำเมฆาเพลิงัและสังหารกวางหิมะสามตัวพร้อมกันในเปลวเพลิงพวกเราสามารถจัดการศึกนี้ได้โดยใช้เวลาสั้นๆ แค่ห้าวินาทีทั้งยังได้ฆ่าหั่นและกวางหิมะที่อับโชคทั้งหมดเก้าตัวถึงกวางหิมะจะเป็สัตว์ิญญาระดับหกแต่ก็ไม่นับว่าเป็ภัยคุกคามสำหรับพวกเรา
จากการลงสำรวจพื้นบริเวณนั้นนึกไม่ถึงว่าจะเจอจินตานระดับหกจึงใช้แหวนกระดูกจักรภพของหลิวถงเอ๋อร์เก็บของส่วนรวมไว้ก่อนเมื่อกลับไปก็ค่อยนำมาแบ่งกัน
เมื่อถือซากศพของกวางหิมะสองสามตัวนั้นกลับมาสี่สาวก็ลงมาบนพื้นด้วยกัน
ซูเหยียนมีท่าทางเหนื่อยล้าและพูดขึ้น“เดินทางมาทั้งวัน ข้าทั้งหิวและเหนื่อยมาสักพักแล้ว พวกเราตั้งที่พักกันไหม?”
“อืม ตรงนั้นมีลำธาร เราก็ตั้งที่พักตรงนี้ได้”
ถังเชวียหรานถาม“ท่านปู้ เราจะก่อไฟไหม?”
“ก่อสิ”
ข้าพยักหน้าก่อนจะพูด“เรามีทั้งหมดห้าคน แม้จะต้องเจอกับผู้บำเพ็ญิญญาคนอื่นๆ ก็ไม่เสียเปรียบซึ่งการก่อไฟก็ไม่เกี่ยวกัน แต่การก่อไฟจะช่วยขับไล่สัตว์ร้ายที่เข้ามารบกวนตอนกลางคืนได้”
“อืม!”
เืที่กลั่นจากกวางหิมะจะทำให้พลังิญญาหิมะของข้าเพิ่มขึ้นมากรวมทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายก็ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากนั้นข้าก็ไปที่ลำธารเพื่อลอกหนังของมันออก เมื่อกลับมาก็พบว่าทั้งสี่สาวได้ตั้งเต็นท์และก่อกองไฟเรียบร้อยแล้วซึ่งขณะนั้นก็ต้มเนื้อของกวางหิมะในหม้อใหญ่และข้ายังพบผักป่าปรุงรสอยู่ใกล้ๆจึงนำมาใส่ในซุปเพื่อเพิ่มรสชาติให้น้ำซุป
ถึงแม้จะเป็กวางโง่แต่เนื้อและรสชาติของมันดีเลยทีเดียว
หลังจากกินอิ่มแล้วก็ได้ฝึกฝนวิชาลมหายใจัในการเดินทางครั้งนี้ข้าจะต้องเข้าใจแก่นแท้ของวิชาลมหายใจัระดับสิบสอง“ัเยือนพิภพ” ถึงกระนั้นพลังของข้าก็จะพัฒนาไปอีกหรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเข้าไปบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ขั้นกลางได้
พลังวิชาลมหายใจัขั้นสูงจะทำให้เืที่สูบฉีดค่อยๆระเหยกลายเป็ควันเมฆล้อมรอบตัว และเปล่งพลังออกมาอย่างง่ายดายแต่ก็เป็สิ่งหนึ่งที่ทำให้นอกโลกเกิดการแปรปรวนอย่างมากทว่าัเยือนพิภพนั้นก็ยากที่จะบรรลุผ่านแม้จะค่ำคืนแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด อีกอย่างซูเหยียนกับคนอื่นๆ ก็นอนกันแล้ว
ครั้งนี้ตั้งเต็นท์เพียงสามหลังส่วนข้าก็นอนกับเสื้อผ้าและหลับไป
...
ยามเช้าตรู่กองไฟข้างนอกเต็นท์ดับลงและเหลือไว้เพียงกลิ่นจางๆ เท่านั้น ในป่าที่มีหมอกบางมีเสียงนกน้อยร้องดังกังวานข้าตื่นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสน่ห์ และตีไปที่เต็นท์ข้างๆ พลางพูด“เสี่ยวเหยียน อาเหยา ตื่นกันได้แล้ว!”
แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดq
“ชิ...”
ข้าแตะจมูกโดยไม่ตั้งใจเพื่อดูว่ามีเืกำเดาไหลหรือไม่แต่ก็ไม่ไหลขณะที่รอไม่ไหวข้าอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเพื่อจะเดินเข้าไปในเต็นท์ของสาวงามทั้งสองถ้านี่เป็...ถึงตายก็คุ้มค่าล่ะ!
“ฟ้าสว่างแล้ว?”
ซูเหยียนงัวเงียมองมาที่ข้า
“ใช่ ฟ้าสว่างแล้ว ตื่นได้แล้ว”
“อืม อาเหยาตื่นได้แล้ว เ้านี่ี้เีจริงๆ!”
“...”
ข้าเดินไปเรียกถังเชวียหรานและหลิวถงเอ๋อร์ให้ตื่นนอนแต่แล้วฉากที่ได้ช่างน่าหลงใหลและยังเป็ศึกระหว่าง C และ D ที่ไม่เป็ระเบียบพักหนึ่งซึ่งสามารถคร่าชีวิตคนได้โชคดีที่ข้าสกัดอารมณ์ตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นคงตายเพราะเืกำเดาไหลไม่หยุด
...
ไปเอาน้ำและทำอาหารเช้า
เช่นเดียวกับที่เราทานอาหารเสร็จเสียงเกือกม้าก็ดังมาแต่ไกลจนนกที่อยู่ในป่าใบินออกไป
“ทหารม้า?”
ตั้นไถเหยามองซูเหยียนด้วยความสงสัย“จะมีคนขี่ม้าเข้ามาในหุบเขาหลิงหยุนได้เหรอ?”
“ไม่ได้สิ...”
ซูเหยียนขมวดคิ้วพลางพูด“นอกเสียจากมีคนจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นการขี่ม้าเข้ามาในหุบเขาก็เหมือนกับมาหาความตาย”
“เหมือนพวกเขากำลังมา” ถังเชวียหรานลุกขึ้นพร้อมกับมือที่มีพลังหมุนวนราวกับการรวมพลังของธนูคลื่นมรกตเพื่อเตรียมป้องกัน
ข้าลุกขึ้นและเดินไปอยู่ข้างหลิวถงเอ๋อร์ในมือก็จับกระบี่คมจันทราไว้แน่นและเพ่งมองผ่านสายหมอกยามเช้าไปยังกลุ่มคนพวกนั้น
กลุ่มเงาเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆพร้อมกับเสียงเกือกม้าที่ชัดเจนขึ้น
เมื่อใกล้พอก็ปรากฏให้เห็นร่างของชายคนหนึ่งที่มีคิ้วหนาและดวงตาโตทั้งยังสวมเกราะิญญาอันแวววับ คาดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 25 ปี ม้าที่เขาขี่เป็ม้าพันธุ์ดีสีดำและกีบเท้าทั้งสี่ข้างยังคล้ายกับชามแค่มองก็รู้ได้ว่าเป็ม้าราคาแพงข้างหลังของเขาคือชายวัยกลางคนสองคนกำลังขี่ม้าคนหนึ่งมีลักษณะที่ด้อยกว่าแต่แข็งแกร่งไม่น้อยอย่างน้อยเขาก็คงบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับพิภพแล้ว ส่วนอีกคนนั้นเต็มไปด้วยพลังซึ่งก็เป็ไปได้ว่าจะเป็ยอดฝีมือในการบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับพิภพขั้นสูงสุด!
ถังเชวียหราเดินไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจและพูดขึ้น“ท่านอาจารย์เลี้ยนหง”
ชายหนุ่มที่ชื่อเลี้ยนหงก็ประหลาดใจเช่นกัน“แม่นางถัง...ทำไมเ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้ากับเพื่อนเข้ามาฝึกบำเพ็ญในหุบเขาหลิงหยุน ท่านล่ะ?”
ถังเชวียหรานมองผ่านหมอกเข้าไปก็เห็นว่าจำนวนคนได้เพิ่มมากขึ้นประมาณ 40-50 คนได้ซึ่งเลี้ยนหงกับยอดฝีมือสองคนนั้นล้วนแต่บำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับพิภพส่วนด้านหลังมีคนสวมเกราะเงินพร้อมกับขี่ม้าพยศป้องกันอีก 12 คน รู้ได้ทันทีว่าบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ ส่วนที่เหลืออีก 20-30คน ได้บำเพ็ญระดับต้นทั้งห้าซึ่งบนหลังม้าของแต่ละคนต่างแบกอาวุธที่ส่องแสงสีเงินคล้ายกับปืนถังเชวียหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและถามขึ้น “ขบวนรบใหญ่ขนาดนี้ท่านอาจารย์หอคลังสมบัติจะไปสู้รบเหรอ?”
หอคลังสมบัติ?!
ข้าย่นหน้าด้วยความสงสัยตามคำเล่าลือว่าหอคลังสมบัติที่เข้าใจอยู่นั้นก็คือพ่อค้าเขตเหนือที่มีชื่อเสียงไม่น้อยและยังเป็การค้าที่ใหญ่รองจากหอเจ็ดเทพ ก็ไม่น่าแปลกที่จะมีขบวนใหญ่เช่นนี้
“จริงๆ แล้วแม่นางถังยังมีเพื่อนเหล่านี้หรือ?”
สายตาของเลี้ยนหงมองผ่านพวกเราไปทีละคนจากซูเหยียนมาที่ตั้นไถเหยา และเมื่อมาถึงหลิวถงเอ๋อร์ก็ตกตะลึงในความงามจากนั้นก็มองมาที่ข้าอย่างเหยียดหยามและยิ้มบางๆ ก่อนพูดขึ้น“บอกเ้าก็คงจะไม่เป็ไรสายรายงานของหอคลังสมบัติค้นพบัิญญาเพลิงในูเาลูกที่สามของหุบเขาหลิงหยุนดังนั้นข้าจึงเกณฑ์คนมากมายและยอดฝีมือจากบ้านของข้ามาเพื่อตามล่าัิญญาเพลิงนี้”
“ัิญญาเพลิงเหรอ?”
ถังเชวียหรานขมวดคิ้วและพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นก็ขออวยพรให้ท่านโชคดี”
“อืม ขอบใจมาก”
เลี้ยนหงมองกลับมาที่ข้าอีกครั้งก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “ก็ขอให้ทุกคนประสบผลสำเร็จในการฝึกฝน ข้าลาตรงนี้ล่ะไต้ซือโจวจิ้นฉี ไต้ซือกัวชี...พวกเราไปกันเถอะ!”
“ขอรับ นายน้อย!”
อาจารย์ทั้งสองก้มหัวทำความเคารพอาจารย์โจวจิ้นฉีที่บำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับพิภพขั้นสูงสุดจ้องมองข้าพลางยกยิ้มมุมปากและหัวเราะเสียงต่ำโดยไม่ตั้งใจและพูด “ช่างน่าสนใจจริงๆ!”
หรือว่าเขาจะมองเห็นอะไร?
ข้าขมวดคิ้วขึ้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หอคลังสมบัติก็เป็หอการค้าใหญ่ที่ได้ลงทะเบียนในสหพันธ์โดยปกติแล้วก็จะรักษากฎ แม้แต่ในพื้นที่ที่วุ่นวายอย่างหุบเขาหลิงหยุนก็จะไม่มายุ่งวุ่นวายซึ่งก็เหมือนความปลาบปลื้มใจของหอเจ็ดเทพทว่าเปลี่ยนเป็กลุ่มทหารรับจ้างและนักฆ่า เกรงว่าคงจะมีปัญหาตามมาถึงพวกเราแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้