บทที่ 9 ฉินชูลั่นวาจา
“พูดได้ดี! ขนาดศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในยังไม่กล้าทระนงตน แต่ศิษย์รับใช้กลับกล้า ถือว่าไม่เลว” ชายชุดขาวคนหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นมา
เมื่อชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา บรรดาศิษย์ทางการบนยอดเขาชิงจู๋ต่างประสานมือคารวะ แม้จะถูกชายชุดขาวผู้นี้ตำหนิ แต่ก็ไม่มีศิษย์คนไหนในยอดเขาชิงจู๋กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
“เขาคือศิษย์สืบทอดของปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาชิงจู๋นามว่าเหยียนอี้ และเป็หนึ่งในศิษย์สายหลักของสำนักชิงหยุน” เอ้อพั่งขยับเข้ามากระซิบข้างหูฉินชู
หลังจากฟังคำแนะนำของเอ้อพั่ง ฉินชูก็พลิกปลายกระบี่ลงพื้น มือทั้งสองข้างประสานกุมด้ามกระบี่และโค้งคำนับให้เหยียนอี้ จากนั้นก็มองไปทางหลิ่วเจ๋อ เขารู้ดีว่าตัวเองอาจเอาชนะหลิ่วเจ๋อไม่ได้ แต่ถึงคราวต้องสู้ เขาไม่มีทางลังเลเด็ดขาด
หลิ่วเจ๋อเหลือบมองฉินชู ก่อนถอยหลังไปสองสามก้าวและประสานมือคารวะเหยียนอี้เหมือนศิษย์คนอื่นๆ “คารวะศิษย์พี่เหยียนอี้”
หลิ่วเจ๋อเป็คนหยิ่งทระนงและมีผู้ใหญ่หนุนหลัง แต่เหยียนอี้คือศิษย์สายหลัก ซ้ำยังมีศักดิ์เป็ถึงศิษย์สืบทอดของปรมาจารย์ผู้คุมยอดเขาชิงจู๋ ต่อให้เธอกลายเป็ศิษย์สายหลักอย่างเป็ทางการแล้ว ก็ไม่อาจทำตัวอวดดีกับเหยียนอี้ได้ นอกจากนี้หลังจากเธอเลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายหลักระดับเดียวกับเหยียนอี้ ก็คงเลี่ยงการชุมนุมไม่ได้ ดังนั้นหากไปมีเื่กับเหยียนอี้ขึ้นมา เกรงว่าคงไม่เป็การดีกับอนาคตเธอเท่าไร
แต่ละยอดเขาของสำนักชิงหยุนจะมีเพียงศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในอาศัยอยู่ ส่วนศิษย์สายหลักจะรวมกันอยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อรับสืบทอดวิชาและการเลี้ยงดูจากเ้าสำนัก หรือก็คือท่านปรมาจารย์ใหญ่จากยอดเขาหลักชิงหยุน ต่างกันแค่เพียงศิษย์สายหลักแต่ละคนมีพื้นเพภูมิหลังไม่เหมือนกัน
ครั้งนี้เหยียนอี้เดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียนปรมาจารย์ของเขาที่ยอดเขาชิงหยุนและพบเจอเื่นี้เข้าโดยบังเอิญ
“หลิ่วเจ๋อ เกิดอะไรขึ้น ไม่นึกว่าเ้าจะชักกระบี่ใส่ศิษย์รับใช้เช่นนี้” เหยียนอี้เดินเข้ามากลางลาน
“เขาไม่เจียมตัวเ้าค่ะ” หลิ่วเจ๋อมองไปทางฉินชูด้วยแววตาเจือจิตสังหาร แต่เป็เพราะเหยียนอี้อยู่ด้วย เธอจึงไม่กล้าลงมือ
แล้วเหยียนอี้ก็คลี่ยิ้ม “น่าสนใจ! ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาชิงจู๋ต้องเจียมตัวกับศิษย์ที่ยอดเขาชิงหยุน เท่ากับว่าตอนนี้ข้าก็ไม่เจียมตัวเหมือนกันสินะ แล้วเ้าจะลงมือกับข้าด้วยหรือไม่”
สีหน้าหลิ่วเจ๋อถอดสีจนแทบดูไม่ได้ เธอไม่คิดว่าเหยียนอี้จะปรากฏตัวขึ้นมา มิหนำซ้ำยังไม่ไว้หน้าเธออีก แน่นอนว่าเธอไม่กล้าลงมือ เพราะเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะทัดเทียมกับเหยียนอี้ได้
“ฉินชู ข้าไม่ปล่อยเ้าไปง่ายๆ แน่ “ หลิ่วเจ๋อพูดระบายอารมณ์ใส่ฉินชู
“คิดว่าข้ากลัวเ้างั้นหรือ ที่จริงข้าสงสารเ้านัก พอเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า เ้ากลับไม่กล้าชักกระบี่ ได้แต่ทำตัวเป็สุนัขแกล้งตาย แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าเ้าไร้จิตใจอันแน่วแน่ หาใช่คุณสมบัติของผู้ที่แข็งแกร่งพึงมี!” ฉินชูคลี่ยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินชู หลิ่วเจ๋อก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนทันที เพราะมันช่างเป็คำพูดที่แทงใจดำยิ่งนัก แบบนี้เท่ากับบอกว่า เธอไม่เอาไหน ที่แย่ไปกว่านั้น มันเป็เื่จริงที่เธอไม่กล้าชักกระบี่ออกมาสู้กับเหยียนอี้ เธอไม่กล้าจริงๆ
“อย่ามาทำเป็ปากดี เ้ามันก็แค่ศิษย์รับใช้เส็งเคร็งเท่านั้น” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ หลิ่วเจ๋อเอ่ยปากพูด
“เ้าหมารับใช้ ไหนบอกชื่อเ้ามา” ฉินชูะโถามอย่างหยาบโลน เขาเกลียดพวกปากดีจอมสมทบพรรค์นี้ยิ่งนัก
“ลูกศิษย์สายในสำนักชิงหยุนนามว่าหลินชาง” ชายที่ไม่พอใจแทนหลิ่วเจ๋อขานตอบ
“อย่ามาทำเป็ปากดีกับข้า ข้าละเกลียดคนอย่างเ้ายิ่งนัก เป็ศิษย์สายในของสำนักชิงหยุนแล้วมันทำไมกัน อย่างเ้าไม่ได้อยู่ในสายตาข้าสักนิด” ฉินชูทำหน้าดูถูก
หลิวชาง หลิ่วเจ๋อและลูกศิษย์สายในคนอื่นๆ พากันอึ้งงัน เมื่อคำพูดอวดดีของฉินชูเช่นนี้ลั่นออกไป ทำเอาพวกเขาทุกคนรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าไปตามๆ กัน
“เ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าพวกเราไม่อยู่ในสายตาเ้า เ้ามีดีอะไรนักหนา ไอ้สวะ” หลิ่วเจ๋อะโด่ากลับ
ฉินชูกระชับด้ามกระบี่ในมือ “พวกเ้าก็แค่ฝึกตนเร็วกว่าข้าสองสามปี แล้วมาทำเป็ถือดีอวดดี ระวังตัวเถอะ ข้าจะไปถล่มพวกเ้าที่ยอดเขาชิงหยุน จนพวกเ้าวิ่งหนีหางจุกตูดไม่ทันเลยทีเดียว”
“ไว้ข้าจะรอเ้าแล้วกัน แล้วเ้าจะมาท้าสู้พวกเราเมื่อไหร่ ลำพังแค่ศิษย์สายนอกของยอดเขาชิงหยุนก็ฆ่าเ้าตายไปหลายรอบแล้ว” หลินชางแสยะยิ้ม
“ครึ่งปี! อีกครึ่งปี ข้าจะไปจัดการศิษย์สายนอกที่ยอดเขาชิงหยุนของพวกเ้า แล้วอีกหนึ่งปีจะไปจัดการศิษย์สายในอย่างเ้าต่อ” ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฉินชูก็ตัดสินใจ เขา้ากดดันตัวเองเล็กน้อยเพื่อการพัฒนาของเขาเอง
“ได้ แล้วพวกข้าจะรอ ถ้าถึงตอนนั้นเ้าไม่ไป ข้าขอไม่รับปากว่าชะตากรรมของเ้าจะจบลงอย่างไร พวกเราสำนึกชิงหยุนไม่เก็บพวกที่ชอบกลับคำพูดเอาไว้ให้เปลืองข้าวสุก” หลังจากฟังฉินชูจบ หลิ่วเจ๋อก็แสยะยิ้มให้กับการกระทำโง่เง่าที่ราวกับฆ่าตัวตายของฉินชู
“พาพวกสุนัขรับใช้ของเ้ากลับไปเถอะ แล้วอย่าได้มารังควานพวกเราอีก ข้าจะทำตามสัญญา เพราะพวกเ้ามันพวกไม่เอาไหน ขี้ขลาด ฉินชูอย่างข้าลั่นวาจาแล้วไม่คืนคำ” น้ำเสียงของฉินชูค่อนข้างอำมหิต เพราะหลิ่วเจ๋อเองก็กะเอาเขาถึงตาย
หลิ่วเจ๋อและพวกของเธอจากไป พร้อมกับพาลี่เฉิงไปด้วย
ในเมื่อเื่บานปลายถึงขนาดนี้แล้ว ลี่เฉิงจึงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ด้วยเส้นสายของหลิ่วเจ๋อ นางจะจับเขายัดไปอยู่หอศิษย์รับใช้ที่ยอดเขาลูกอื่นที่เหลือหาใช่ปัญหาไม่
เหยียนอี้ไม่สนใจฉินชูกับไป๋อวี้ แต่กลับหันไปพูดกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือ “เห็นแล้วหรือยัง เพราะพวกเ้ามันไร้พลัง คนอื่นเขาถึงมาหาเื่ถึงหน้าประตูได้ วันนี้ไม่มีใครฮึดสู้เลยสักคน มัวแต่รอให้คนอื่นออกมารับหน้าให้ ทำข้าผิดหวังเหลือเกิน ขืนเป็แบบนี้ต่อไป ยอดเขาชิงจู๋ก็เป็ได้แค่ยอดเขาอันดับท้ายสุดในบรรดาเจ็ดยอดเขาไปตลอดกาล”
จากนั้นเหยียนอี้ก็จากไป เขามาเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของยอดเขาชิงจู๋เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อปกป้องฉินชูกับไป๋อวี้แต่อย่างใด ในสำนักชิงหยุน ศิษย์รับใช้ก็คือศิษย์รับใช้
เหล่าลูกศิษย์ทางการของยอดเขาชิงจู๋ก็พากันทยอยกลับไปเช่นกัน พวกเขาไม่อยากเห็นหน้าฉินชู เพราะมันทำให้พวกเขานึกถึงคำดูถูกของพวกหลิ่วเจ๋อและคนจากยอดเขาหลัก
ฉินชูหันกลับไปพูดกับศิษย์รับใช้ด้านหลัง “ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจที่พวกเราเป็แค่ศิษย์รับใช้ แต่พวกเราห้ามให้ใครมาดูถูกเด็ดขาด ขอแค่ไม่ฆ่าพวกเราจนตาย พวกเราต้องรู้จักสู้กลับ”
จากนั้นฉินชูก็ไปจากหอศิษย์รับใช้และกลับมาฝึกต่อที่ผาหินตัด ฝึกวิชากระบี่พื้นฐานไปได้สักพักก็นั่งสมาธิดูดซับอณูปราณต่อ เขารู้ดีว่าพลังปราณคือรากฐาน หากไม่มีพลังปราณ กระบวนท่ากระบี่ก็ไร้ซึ่งพลังทำลายล้าง
เมื่อตกดึก ไป๋อวี้กับเอ้อพั่งก็มาส่งข้าวให้ฉินชู
“ลูกพี่คิดจะไปท้าสู้กับพวกลูกศิษย์ที่ยอดเขาหลักชิงหยุนจริงๆ หรือ” ไป๋อวี้เอ่ยถามฉินชู
ฉินชูพยักหน้า “เื่ที่ต้องทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำ เวลาครึ่งปี ข้าคิดว่าสามารถจัดการลูกศิษย์สายนอกระดับสองได้ ข้าฆ่าพวกสัตว์อสูรขั้นที่สองตายมานักต่อนักแล้ว”
“เวลาครึ่งปีก็สามารถจัดการพวกลูกศิษย์สายนอกได้ เพราะพวกเขาก็เป็ศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งผ่านการคัดเลือกเท่านั้น แล้วบางคนที่เป็ศิษย์สายนอกมาหนึ่งถึงสองปีก็น่าจะมีตบะสูงสุดอยู่แค่ขั้นที่สองตอนปลาย หากบรรลุขั้นที่สามได้ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายในโดยปริยาย แต่ระบบของศิษย์สายในนั้นต่างออกไป เมื่อครู่ข้าไปหาข้อมูลมา ได้ความว่า พวกที่เป็ศิษย์สายในมาแล้วสองสามปีต่อกรยากยิ่งนัก ยิ่งลูกพี่ไม่มีพลังปราณก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่” ไป๋อวี้พูดให้ฉินชูฟัง
ฉินชูครุ่นคิด “่นี้ต้องทำภารกิจเพิ่มอีก แล้วจะต้องแลกตำรายุทธ์ฝึกปราณมาให้ได้”
ฉินชูอยู่ฝึกฝนตลอดทั้งคืน ในที่สุดการดูดซับอณูปราณระดับหนึ่งก็เสถียรและเริ่มเข้าสู่การดูดซับอณูปราณระดับสอง พูดง่ายๆ ก็คือฉินชูก้าวเข้าสู่ตบะขั้นจวี้หยวนแล้ว ถึงแม้ระดับยังอยู่ห่างจากศิษย์สายนอกที่มีตบะขั้นหนิงหยวนอยู่อีกไกล แต่ฉินชูกลับไม่รีบร้อน เพราะตัวเขาพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ฉินชูก็พาไป๋อวี้มารับภารกิจที่หอคุณูปการ จากนั้นก็ออกเดินทาง
บรรดาลูกศิษย์ทางการที่อยู่ภายในหอคุณูปการชินกับการที่ฉินชูพาไป๋อวี้มารับภารกิจแล้ว ภายในใจพวกเขาล้วนตระหนักได้ว่าหากฉินชูกับไป๋อวี้ได้เป็ลูกศิษย์ทางการและได้รับการเลี้ยงดูชี้แนะที่เหมาะสม พวกเขาไม่มีทางตกเป็รองใครแน่นอน