โจ๊กข้าวขาวใส่หมูสับที่ลู่หยวนซีพึ่งทำเสร็จ ถูกนำมาวางลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง นางมองร่างผอมดั่งไม้ฟืนที่นอนสงบนิ่งไม่ไหวติงก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ที่เขาแสดงออกเช่นนี้หรือว่าเขายังไม่หายโกรธที่นางบังคับเขาให้อาบน้ำ ได้อย่างไรสกปรกเพียงนั้นใครจะไปทนนอนดมอยู่ได้ ถึงมันจะเป็สิ่งที่ไหลออกมาจากร่างกายตนเองก็เถอะ
“คุณชาย ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้นนั่งทานข้าวนะเ้าคะ”
นางใช้หมอนหนุนหลังกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ก่อนจะช่วยป้อนข้าวให้เขา
“คุณชายท่านอ้าปากหน่อยสิเ้าคะ โจ๊กชามนี้ข้าเป่าแล้ว ไม่ร้อนเท่าไหร่”
ลู่หยวนซียื่นช้อนเข้าไปใกล้ปากของเขา ก่อนจะรอให้ชายหนุ่มทำตามที่ตนบอก แต่ผลลัพธ์กลับเป็ตรงกันข้าม เขายังคงนิ่งเฉยไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่นางพูดเลยสักนิด ลู่หยวนซีได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ดูเหมือนสองคนนี้ไม่น่าจะใช่คนที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ดูจากท่าทีที่เขาแสดงออกก่อนหน้านี้เช่นกัน เขาเกรี้ยวกราดกับนางมากราวกับว่าสองคนนี้เป็ศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน
กู้จิ่งเหยียนเห็นนางเงียบไป เขาก็เงี่ยหูรอฟังว่านางจะบังคับเขาอย่างไรถ้าหากเขาไม่ให้ความร่วมมือ ผ่านไปนานมีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ของนางเท่านั้นที่เขาได้ยิน เหตุใดหญิงร้ายกาจผู้นี้ถึงไม่บังคับเขาดั่งเช่นเมื่อก่อน หรือว่านางยอมแพ้ไปแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน หลังจากที่กู้จิ่งเหยียนถูกส่งตัวมายังที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากตระกูลกู้แห่งนี้ สาวใช้เพียงคนเดียวที่ถูกสั่งให้มาดูแลเขาก็คือสตรีผู้นี้ นางทั้งเอ่ยประชดประชัน ทั้งทุบตีเขา เพราะเขาไม่ให้ความร่วมมือกับนาง
บางครั้งก็แกล้งเขาโดยนำโจ๊กมาให้ทานโดยที่ไม่บอกว่ามันยังร้อนอยู่ ทำให้ลิ้นของเขาถูกลวกจนพองไม่สามารถทานสิ่งใดได้อยู่หลายวัน จากนั้นมาเขาก็ไม่ยอมทานอาหารที่นางป้อนอีก พอนานวันเข้านางก็เลิกสนใจที่จะดูแล ในทุกวันจะมีเพียงโจ๊กหนึ่งชามวางเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงเท่านั้น เขาจะทานหรือไม่นางไม่สนใจ บางครั้งนางยังโทษว่าที่ตนเองต้องมาลำบากในหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้เป็เพราะเขาคนเดียว
ลู่หยวนซีมองใบหน้าเฉยชาของชายหนุ่ม ก่อนจะลุกออกจากห้องไป บางทีเขาอาจจะยังไม่ไว้ใจนางเพราะตัวประกอบหญิงผู้นี้ดูเหมือนจะร้ายกาจไม่เบาทีเดียว เอาเถอะ ให้เวลาเขาได้ปรับตัวอีกสักหน่อย อีกอย่างวันนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ไปเก็บกวาดเรือนหลังนี้ให้เสร็จแล้วค่อยอาบน้ำก็แล้วกัน
เสียงกวาดลานหน้าเรือนที่มีต้นท้อต้นใหญ่ขึ้นอยู่ริมรั้วดังอย่างต่อเนื่อง กู้จิ่งเหยียนนั่งฟังมาได้สักพักเขาก็ใช้มือคลำๆ ไปยังชามโจ๊กที่นางวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าเย็นแล้วจึงตักเข้าปากทั้งที่ตามองไม่เห็น
ความรู้สึกแรกที่ลิ้นของเขาได้ััคือ รสชาติกลมกล่อมและความเนียนละเอียดของเนื้อโจ๊ก จากนั้นเป็รสชาติของเนื้อหมูที่เขาไม่ได้ลิ้มรสมาเป็เวลานาน กลิ่นหอมยังโชยเข้าจมูกทั้งที่ไม่มีความร้อนหลงเหลืออยู่ ช่างน่าแปลกนัก เมื่อก่อนสิ่งที่เขาทานเข้าไปในแต่ละวันไม่ต่างจากอาหารหมู รสชาติราวกับน้ำเปล่าที่เวลาตักเข้าปากแทบจะััไม่ได้ว่ายังมีเม็ดข้าวอยู่ในชาม
สตรีผู้นี้เป็ใครกันแน่ ความสงสัยเริ่มผุดขึ้นภายในใจของกู้จิ่งเหยียน ปีนี้เขาอายุยี่สิบสาม ความจริงเขาควรจะอยู่ในราชสำนักในตำแหน่งขุนนางคนสำคัญของฮ่องเต้
แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับมีอาการป่วยอย่างกะทันหัน อาการป่วยที่แม้แต่หมอหลวงยังตรวจหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นขาทั้งสองข้างก็เริ่มอ่อนแรง เพียงไม่นานอวัยวะท่อนล่างของเขาก็ไร้ความรู้สึกและไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป เท่านั้นยังไม่พอ ดวงตาที่เคยมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็เริ่มมืดดำจนกลายเป็มองไม่เห็นไปโดยปริยาย
อาการที่เกิดกับเขาทั้งหมด มันได้เกิดขึ้นกับพี่ชายต่างมารดาของเขาด้วย หลังจากหาหมอภายในเมืองทั้งหมดก็ยังไม่สามารถรักษาทายาทตระกูลกู้ทั้งสองได้ บิดาที่ร้อนใจได้ออกจากจวนเพื่อสืบเสาะหาหมอมารักษาพวกเขาพี่น้องไปทั่วทุกหนแห่ง
ผ่านไปหลายเดือนหัวหน้าตระกูลกู้ได้กลับมาพร้อมกับหมอเทวดาชื่อดัง หมอเทวดาได้วินิจฉัยว่าพวกเขาพี่น้องถูกพิษและโชคดีที่เขาเองก็มียารักษาอยู่ แต่น่าเสียดายยาแก้พิษที่เขามีนั้นสามารถรักษาชีวิตบุตรชายตระกูลกู้เอาไว้ได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น เพราะสมุนไพรส่วนประกอบที่สร้างยาหนึ่งเม็ดขึ้นมาล้วนแต่เป็สมุนไพรที่หายาก บางอย่างเป็สมุนไพรที่เหล่าบรรพบุรุษของอาจารย์ที่ทิ้งเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลัง เวลานี้มีเพียงหนึ่งระหว่างสองพี่น้องที่สามารถมีชีวิตรอดไปได้
ไม่ต้องคิดให้ลำบาก แม้เขาจะโดดเด่นเหนือพี่ชายแต่บิดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่คิดที่จะเลือกเขาอย่างแน่นอน และเป็อย่างที่กู้จิ่งเหยียนคิด หลังจากที่พี่ชายได้รับการรักษาจนหายดี ตำแหน่งขุนนางที่เคยเป็ของเขาและสตรีที่เขารัก ก็ถูกพี่ชายต่างมารดา่ชิงไปอย่างหน้าไม่อาย ถึงแม้กู้จิ่งเหยียนจะเป็บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยา แต่เขากลับมีรูปลักษณ์และความสามารถที่โดดเด่นเหนือใคร แม้แต่บุตรที่เกิดจากภรรยาหลวงก็ไม่สามารถเทียบได้
หลังจากที่กลายเป็คนพิกลพิการไปแล้ว เขามักจะหวนกลับมานึกถึงคำพูดสุดท้ายของมารดาอยู่เสมอ ก่อนสิ้นใจนางได้สั่งให้เขารีบออกจากตระกูลกู้ไปเสีย เวลานั้นกู้จิ่งเหยียนยังอยู่ในวัยทะเยอทะยาน เขาคิดว่าตนเองฉลาดหลักแหลมเหนือผู้อื่น ลูกหลานตระกูลกู้ทั้งหมดไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้ ทำให้เขาไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียของมารดา
เพราะความ้าเอาชนะบุตรที่เกิดจากภรรยาหลวง ทำให้เขามุ่งมั่นจนสามารถสอบได้จอหงวนและแสดงความสามารถของตนให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร กู้จิ่งเหยียนได้เข้าทำงานในราชสำนักในตำแหน่งสำคัญ แต่แล้วทุกอย่างที่เคยเป็ของเขาเวลานี้เหลือเพียงความว่างเปล่า
ใบหน้าที่เคยงดงามเป็เลิศ เมื่อยามที่สตรีใดได้เห็นเป็ต้องเอียงอาย เวลานี้กลับกลายเป็อัปลักษณ์ดั่งอสูรร้าย แม้แต่สาวใช้ที่เคยทำงานในเรือนก็ไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้ามอง
หลังจากที่อาการป่วยของเขาเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ ข่าวลือที่เกี่ยวกับเขาก็เริ่มแพร่กระจายออกไปด้านนอก ตระกูลกู้ที่รักหน้าตาและเกียรติยศยิ่งชีพ มีหรือที่ยอมเก็บคนพิการอย่างเขาเอาไว้เป็เสนียดภายในจวน
เมื่อย้อนนึกถึงอดีต กู้จิ่งเหยียนก็ไม่มีความอยากอาหารอีกต่อไป เขาวางชามโจ๊กเอาไว้ที่เดิมจากนั้นพยายามพยุงตัวเองโดยใช้แขนทั้งสองข้างที่ไร้กล้ามเนื้อดันตัวเองให้นอนลง
เสียงทอดถอนใจภายในห้องดังขึ้นเป็ระยะ คงเพราะวันนี้ได้อาบน้ำชำระกายทำให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าทุกวัน จึงไม่รู้ว่าเขาเผลอหลับไปั้แ่เมื่อใด แต่เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามดังแว่วอยู่ไกลๆ
ลู่หยวนซีที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาและสายฝนที่กำลังพรมละอองบางๆ ลงมาไม่ขาดสาย หมอกสีขาวปกถูกคลุมไปทั่วบดบังทัศนวิสัยรอบด้าน เพราะเรือนของนางตั้งอยู่บนเชิงเขาทำให้มองลงไปทางหมู่บ้านเห็นเพียงแค่เงาเลือนราง
สายลมด้านนอกเริ่มพัดกระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ สร้างความหนาวสะท้านให้กับร่างบางที่ยืนอยู่ชานเรือน เมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าบ่งบอกถึงพายุที่กำลังใกล้เข้ามา
“คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือเ้าคะ”
ลู่หยวนซีมองชามโจ๊กที่ยังเหลือเกินกว่าครึ่ง นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนยกชามโจ๊กนั้นออกจากห้องไป ช่างเถอะ อย่างน้อยเขาก็ยังทานเข้าไปบ้าง เอาไว้ลองทำอาหารอย่างอื่นให้เขาทานดู เผื่อว่าเขาจะเจริญอาหารมากกว่านี้ เพราะบางทีคนป่วยมานานนางเดาว่าลิ้นอาจจะไม่ค่อยรับรส
ลู่หยวนซีทึกทักไปเองว่าที่เขาไม่ยอมทานอาหาร เป็เพราะอาการป่วย นางเดินเข้าไปภายในห้องกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่นางใช้ เป็กลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ เมื่อกู้จิ่งเหยียนได้กลิ่นจากกายของนางทำให้ความรู้สึกของเขาปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
เขารออยู่นานว่าเมื่อใดนางจะออกไปจากห้องนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงขยับตัวเสียที ทำให้เขาจำต้องเอ่ยปากไล่นางตรงๆ ทั้งที่ไม่คิดจะพูดกับนางอีก
“เหตุใดเ้ายังอยู่ในห้องนี้ ออกไปเสียข้า้าพักผ่อน”
แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะฟังดูกระด้างเล็กน้อย แต่ก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ลู่หยวนซีมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยตะขาบไฟพาดผ่าน ก่อนขยับเข้าไปใกล้อีกนิด นางจ้องมองดวงตาคมที่กลายเป็สีม่วงไปแล้วในยามนี้พลางทอดถอนใจอย่างเวทนา หลังจากนี้ไปนางจะหาทางรักษาเขาอย่างไรดี แต่นั่นคงไม่ใช่เื่สำคัญเป็อันดับแรก ก่อนอื่นคงต้องทำให้เขาเชื่อในตัวของนางเสียก่อน
“คุณชายเ้าคะ ความจริงนี่เป็ห้องของข้า ห้องที่ท่านเคยอยู่คงไม่สามารถเข้าอยู่ได้อีกสักพัก เรือนหลังนี้มีเพียงสามห้อง ห้องของท่าน ห้องของข้า แล้วก็ห้องเก็บของ อีกอย่างตอนนี้ข้างนอกฝนตก ข้าคงไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ ถึงท่านจะไม่พอใจแต่ก็อดทนอีกสักสองสามวันเถอะ ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ชอบใจนักที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นเราสองคนมาสงบศึกชั่วคราวจนกว่าท่านจะหายดี ดีหรือไม่ หลังจากนั้นข้าจะไปตามทางของข้าเอง ไม่อยู่ให้ท่านรู้สึกระคายอารมณ์แน่นอน”
เอ่ยจบลู่หยวนซีก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากช่องว่างในอากาศ หนังสือเล่มนี้เป็นิยายที่ระบบส่งให้นางก่อนหน้านี้ คงต้องเอาออกมาอ่านฆ่าเวลาอันแสนน่าเบื่อนี้ไปก่อน จากนั้นค่อยหาทางหนีทีไล่ให้ตนเอง เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เนื้อเื่ในนิยายดำเนินไปถึงไหนแล้ว
ั้แ่ที่ลู่หยวนซีเอ่ยขึ้น จนกระทั่งเสียงหน้ากระดาษถูกเปิดเป็ระยะ กู้จิ่งเหยียนมิได้เอ่ยปากแม้เพียงครึ่งคำ เขายังคงเงี่ยหูฟังอากัปกิริยาของนาง ทั้งยังรู้สึกสงสัยว่าสตรีนางนี้รู้หนังสือด้วยอย่างนั้นหรือ หรือว่านางแค่แสร้งทำไปอย่างนั้น
หลังจากอ่านนิยายเล่มนั้นไปได้สักพัก แสงสว่างรำไรที่อยู่ภายนอกก็เริ่มหายไป นางเดินไปหยิบตะเกียงน้ำมันมาวางที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจุดมันขึ้นด้วยหั่วเจ๋อจื่อหรือกระบอกจุดไฟ จากนั้นจึงหันไปถามคุณชายที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง
“ท่านหิวหรือไม่ ถ้าไม่อยากทานโจ๊ก หรือจะเปลี่ยนเป็อาหารอย่างอื่นแทน ข้ากำลังจะเข้าครัว เดี๋ยวทำเผื่อท่านเพิ่มอีกสักหน่อย”
ไร้เสียงตอบกลับมา มีเพียงเสียงของสายฝนที่เริ่มซาตกกระทบพื้นดินและใบหญ้าเสียงดังเปาะแปะ กลิ่นดินที่ถูกน้ำฝนโชยมาทำให้รู้สึกสดชื่น
“ถ้าท่านไม่ตอบ เช่นนั้นข้าก็จะทำตามใจตนเองนะ”
เอ่ยจบนางก็เดินออกจากห้องไป ในใจก็ได้แต่แอบบ่นเขาอยู่คนเดียว คนผู้นี้เอาใจยากเสียยิ่งกว่าเด็กสามขวบที่บ้านเด็กกำพร้าฉือชุนเสียอีก
ลู่หยวนซีหายออกจากห้องไปเพียงไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมอาหารสามอย่าง นั่นก็คือผัดผัก ไข่เจียว และน้ำแกงกระดูกหมูพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ สองชาม ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงาน
สิ่งของเหล่านี้ล้วนถูกซ่อนเอาไว้ภายในห้องของนาง ดูเหมือนตัวประกอบหญิงที่ไร้ค่าคนนี้จะซ่อนอาหารเอาไว้ทานเพียงคนเดียวไม่น้อยเลย ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ทั้งที่เป็เพียงตัวประกอบในนิยายที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ กลับมีผลต่อการมีชีวิตรอดของตัวร้ายมากกว่าใคร
“คุณชาย ข้าป้อนให้ท่านดีหรือไม่ รับรองว่าอาหารที่ข้าทำต้องอร่อยถูกปากท่านแน่นอน เพราะน้องๆ ของข้าพูดเสมอว่าข้าทำอาหารเก่ง”
ลู่หยวนซีพยายามพูดตะล่อมเอาใจให้เขารู้สึกถึงความเป็มิตรของนาง แต่กู้จิ่งเหยียนกลับยังคงนิ่งเฉย ตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าควรทำเช่นไรต่อไปดีให้เขารู้สึกว่านางไม่ได้มาร้าย ถ้าหากจะให้บังคับนางก็กลัวว่าเขาจะตั้งกำแพงกับนางสูงมากกว่าเดิม
“หรือไม่อย่างนั้น ถ้าไม่ชอบให้ข้าป้อนท่านก็ทานเองดีหรือไม่ มาเถอะข้าช่วยพยุง”
ลู่หยวนซีมองปฏิกิริยาเล็กน้อยที่เขาตอบสนองด้วยใบหน้าพอใจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตั้งแง่กับนางมากจนเกินไป ลู่หยวนซีจับมือของกู้จิ่งเหยียนให้จับชามและตะเกียบ จากนั้นนางคีบอาหารลงไปในชามให้เขา กู้จิ่งเหยียนรอสักพักก่อนจะยอมทานอาหารแต่โดยดี ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพราะเขารอให้ได้ยินเสียงขยับตะเกียบทานอาหารในชามของนางก่อน
ทั้งข้าวในชามและน้ำแกงกระดูกหมูที่นางทำ กู้จิ่งเหยียนยอมทานเข้าไปทั้งหมด หลังจากนางยกชามเปล่าออกจากห้องไปนางก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ร่างบางนั่งอ่านหนังสือนิยายที่ยังคงอ่านค้างเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงเงียบๆ มีเพียงเสียงเปิดหน้ากระดาษเบาๆ ให้รู้ว่านางยังคงนั่งอยู่ในห้องนั้น ถึงแม้นางจะดูเหมือนกำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือนิยายตรงหน้า แต่ลู่หยวนซีก็เงยหน้ามองกู้จิ่งเหยียนเป็ระยะ ตอนนี้เขาเองก็นั่งพิงหัวเตียงเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
“คุณชายท่านนอนพักผ่อนดีหรือไม่ อาหารที่ทานเข้าไปคงจะย่อยไปบ้างแล้ว อีกสองสามวันข้าจะสั่งทำรถเข็นให้ท่านสักตัว เวลาเบื่อๆ จะได้ออกไปนั่งเล่นหน้าเรือนอาบแดดบ้าง”
ลู่หยวนซีช่วยพยุงร่างของกู้จิ่งเหยียนให้นอนลง ก่อนที่ตัวนางเองจะกลับมาอ่านนิยาย่สุดท้ายให้จบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้