วันรุ่งขึ้น
ฉินอวี่และสยงท่าเทียนเดินตรงเข้าป่าลึกไปตลอดทาง และความเร็วของกิ้งก่าทองยมโลกนั้นก็ไม่เชื่องช้า การเคลื่อนที่ของมันสร้างแรงสั่นะเืไปทั้งผืนดิน เพราะมีกิ้งก่าทองยมโลกอยู่ด้วยเช่นนี้ ตลอดทางที่ผ่านมาจึงไม่พบเจอกับอสูรร้ายเลยแม้แต่ตัวเดียว
“สยงท่าเทียน เ้านำเสี่ยวเฮยเก็บไว้ในถุงเก็บอสูรได้หรือไม่?” ฉินอวี่พูดพลางจ้องไปยังถุงใบหนึ่งซึ่งทำมาจากหนังของสัตว์อสูรที่แขวนอยู่ตรงเอวของสยงท่าเทียน ฉินอวี่รู้จักมันดี ว่านั่นคือถุงเก็บอสูร
“ได้สิ!” สยงท่าเทียนพยักหน้า ในขณะที่เขาพูดเขาก็ถอดถุงเก็บอสูรออกจากเอว และเตรียมที่นำเสี่ยวเฮยใส่เข้าไปด้านใน
“เดี๋ยว สยงท่าเทียน เ้าพอจะช่วย... นำเืจากเสี่ยวเฮยออกมาสักหน่อยได้หรือไม่?” ฉินอวี่ถามอย่างหยั่งเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าสยงท่าเทียนเสี่ยวเฮยไว้เพียงแค่ใช้ฝึกฝนร่างกายของตนเอง ฉินอวี่ก็คงไม่กล้าจะเอ่ยปากขอเช่นนี้
“พี่ฉินจะเอาเืของเสี่ยวเฮยไปทำอะไรหรือ?” สยงท่าเทียนถามอย่างสงสัย
“ข้ากระหายน้ำนิดหน่อย...” ใบหน้าของฉินอวี่แดงก่ำ และเขารู้สึกผิดเหมือนตนเองกำลังหลอกเด็ก
“ข้าคิดว่ามีแต่ข้าที่ชอบดื่มเื ที่แท้พี่ฉินก็ชอบเช่นกัน เ้าหลี่เทียนจีที่แสนน่าเบื่อนั่นเอาแต่คอยดูถูกข้า ข้าว่าเขาดูงี่เง่ามาก อ้อจริงสิ พี่ฉิน ท่านดื่มนี่เถอะ อันนี้อร่อยกว่าเืของเสี่ยวเฮยมาก” สยงท่าเทียนยื่นน้ำเต้าออกมาให้ฉินอวี่ ราวกับว่าเขากำลังได้พบกับสหายคนสนิท
ฉินอวี่สงสัยและถามออกมา “มีอะไรอยู่ข้างในหรือ?”
“มันคือเืน่ะสิ ไม่ใช่ของเสี่ยวเฮยหรอก เอ่อ... คือข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือเือะไร แต่มันอร่อยดี ข้าดื่มมาั้แ่เด็ก” สยงท่าเทียนคิดอยู่นาน ก่อนจะตอบออกไป
ฉินอวี่ดึงที่อุดปากน้ำเต้าออกอย่างสงสัย ดมมันหนึ่งหน จึงพบว่ามันไม่มีกลิ่นอะไรเลย หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็จิบไปหนึ่งคำ ทันทีที่ของเหลวในน้ำเต้าไหลเข้าปาก ฉินอวี่ก็สงสัยขึ้นมาว่าเืในปากของเขาเหมือนจะให้ความรู้สึกหวาน
อร่อยจริงๆ ไม่เลวเลย!
ในความประหลาดใจนั้น ฉินอวี่กลืนเืลงไปในช่องท้องของเขา แต่ในขณะที่เืไหลผ่านลำคอ ดวงตาของฉินอวี่ก็เบิกกว้าง และเขารู้สึกเพียงอาการที่เหมือนมีลูกไฟตกลงจากคอเข้าสู่ช่องท้องของเขา จนฉินอวี่รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังตกลงไปในเตาไฟ
“อ้อ จริงสิพี่ฉิน ในหนึ่งหนนะ ท่านไม่สามารถดื่มเืนี้มากจนเกินไป ข้าเองสามารถดื่มได้มากสุดครั้งละสามหยดเท่านั้นเอง ท่าน...” จู่ๆ สยงท่าเทียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี่แทบจะเผ่นหนีเมื่อเขาได้ยินคำพูดของสยงท่าเทียน พลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็อย่างยิ่ง เขาเพียงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกเผาผลาญ และความเ็ปที่ชัดเจนนั้นเ็ปกว่าการชุบกระดูกสามชั้นเป็สิบเท่า
ฉินอวี่นั่งขัดสมาธิลงด้วยใบหน้าที่น่ากลัว กัดฟันแน่น และปกป้องจิตใจของตนเองอย่างหนัก เขาไม่รู้ว่าเืนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เืที่บรรจุอยู่ในน้ำเต้านั้นกลับมีพลังปราณที่พิเศษจนน่าใ
“เวิ่ง เวิ่ง!”
ร่างกายของฉินอวี่สั่นสะท้านและส่งเสียงดัง ภายใต้พลังชนิดนี้ ร่างกายที่ผอมบางอยู่แต่เดิมได้ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าพลังนั้นกำลังจะพุ่งออกจากร่างกายของเขา
“แย่แล้ว!” ฉินอวี่ร้องอุทานในใจ พลังของเืนี้แรงเกินไป และหากเป็เช่นนี้ เขาจะต้องะเิตายแน่นอน
“ปีศาจคลั่งปริวรรตที่หนึ่ง!” ในวินาทีวิกฤตนั้น ฉินอวี่ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เขาจึงรีบเรียกใช้วิชาปีศาจคลั่งปริวรรตที่หนึ่งทันที
ทันใดนั้นพลังปราณของฉินอวี่ก็ะเิออกมา ลำแสงสีแดงจางๆ ก็โผล่ออกมาจากิั พลังอันบริสุทธิ์และทรงพลังถูกเติมเต็มไปทั่วทั้งแขนขาของเขา สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องหวาดกลัว คือพลังบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในพลังปราณนั้นยังคงปะทุอย่างไม่ขาดสาย!
“ต่อยข้าสิ!” ฉินอวี่ะโไปทางสยงท่าเทียนด้วยใบหน้าที่ดุดัน
สยงท่าเทียนมองไปที่รูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของฉินอวี่ และคาดเดาได้ว่าคงเป็เพราะว่าฉินอวี่ดื่มเืมากเกินไปหน่อย ทำให้เขารู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ในตอนนี้ เขาก็มองไปทางฉินอวี่อย่างสงสัย และพูดออกไป “พี่ฉิน ท่านจะให้ข้าต่อยท่านจริงหรือ? ข้าเกรงว่าท่าน... ท่านจะรับไม่ไหว...”
“ต่อย!” ฉินอวี่ส่งเสียงะโดัง
สยงท่าเทียนได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ยืดหมัดอันใหญ่โตของเขาออกไปอย่างช้าๆ และต่อยฉินอวี่เบาๆ
ฉินอวี่โกรธมาก จึงะโสูงขึ้นไปก่อนจะโจมตีออกมาทันที...
“ตูม ตูม ตูม!” การโจมตีของฉินอวี่ที่โจมตีสยงท่าเทียนเป็เหมือนสายฝนที่ตกหนัก และสยงท่าเทียนก็ถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าการโจมตีของฉินอวี่จะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ในส่วนของร่างกายที่ทรงพลังไร้ที่เปรียบของเขา กลับไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง
“รีบต่อยข้าเร็วเข้า!” ฉินอวี่ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง มีเพียงอาการาเ็เท่านั้นที่สามารถเผาผลาญพลังปราณได้มากขึ้น
สยงท่าเทียนรู้สึกได้ถึงความวิตกกังวลของฉินอวี่ เขาจ้องไปทางฉินอวี่และพูดว่า “พี่ฉิน ถ้าเช่นนั้น... พี่ก็ต้องระวังหน่อยนะ พลังของข้าแข็งแกร่งมากนะ”
ฉินอวี่ใช้หมัดต่อยตรงเข้าตรงหน้าอกของสยงท่าเทียน บีบให้เขาก้าวถอยหลังไป และะโอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง “ต่อย!”
“ตูม!” ฉินอวี่รู้สึกถึงพลังปราณที่เดือดพล่านในร่างกายของตนเอง พลังอันรุนแรงพุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขาทันที จนซี่โครงทั้งสองด้านของเขาเกือบหัก ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจนกระเด็นออกไป ก่อนจะตกลงมาราวกับดาวตกกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง และต้นไม้ที่อยู่โดยรอบต่างก็หักโค่นตามกันไป
ฉินอวี่ปีนลุกขึ้นมาด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ แม้ว่าหมัดของสยงท่าเทียนเกือบจะทำให้อวัยวะภายในเคลื่อนที่ แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ประหลาดใจก็คือ การขยายตัวจากพลังที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่เกิดความต่อเนื่อง ด้วยความประหลาดใจของฉินอวี่ เขาจึงรีบตรงไปที่สยงท่าเทียน และพูดขึ้นเสียงดัง “เอาอีก!”
ตูมๆๆ!
เสียงะเิดังที่ดูน่าอึดอัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยังไม่รู้เลยว่าเืที่บรรจุอยู่ในนั้นมีความทรงพลังเพียงใด ไม่ว่าฉินอวี่จะได้รับาเ็เช่นไร การเผาไหม้ก็เกิดขึ้นไม่จบสิ้น ฉินอวี่จึงใช้จังหวะนี้เริ่มฝึกฝนวิชายุทธ์ว่านจ้ง
ใน่ต้น เขาสร้างวิชายุทธ์ว่านจ้งขึ้นมาในรูปแบบของวิชาบ่มเพาะจิติญญา สิ่งที่เขาเน้นคือการทับซ้อนกันของพลัง ฉินอวี่ได้รับแรงบันดาลใจในสิ่งนี้จากตำราโบราณชุดหนึ่ง เมื่อพลังสูงถึงระดับหนึ่ง พลังจะสามารถทับซ้อนกันได้ ส่งผลให้พลังมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
ในตอนนี้ ด้วยวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต ร่างกายของฉินอวี่เกิดความพลุ่งพล่าน เขาจึงเริ่มทดลองรวมพลังออกมาซ้อนทับกัน ซึ่งฉินอวี่เรียกสิ่งนี้ว่าพลังว่านจ้ง
“พลังทุกชนิดมีจุดสะท้อน สิ่งที่ข้าต้องทำคือหาจุดสะท้อนของพลัง เพื่อจะรวมพลังของพลังว่านจ้งออกมา” ฉินอวี่โจมตีไปพลางแอบพูดอย่างลับๆ
ทีละเล็กทีละน้อย
ฉินอวี่จมดิ่งสู่วิชายุทธ์ว่านจ้ง สยงท่าเทียนได้รับแรงกระตุ้นจากจิติญญาการต่อสู้ของฉินอวี่ เขาจึงพูดเสียงดัง “พี่ฉิน ข้าจะระงับพลังลง พวกเรามาแลกเปลี่ยนอะไรกันหน่อยเถอะ” พูดจบ สยงท่าเทียนก็ส่งเสียงะโอย่างตื่นเต้นและเริ่มโจมตีอีกครั้ง
ขณะที่ฉินอวี่และสยงท่าเทียนกำลัง “แลกเปลี่ยน” กันอยู่นั้น หลี่เทียนจีก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางที่ดูไม่ได้อย่างมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และยังคงมองไปรอบๆ เป็ครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขายังไม่ยอมแพ้ และยัง้าจะรอดูว่าคนที่อาจารย์ของเขาทำนายไว้จะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อตั้งความหวังไว้มาก ก็ย่อมผิดหวังมาก
ในท้ายที่สุด หลี่เทียนจีกัดฟันและเลิกสนใจไป เขาเริ่มสนใจการสนทนาของฉินอวี่และสยงท่าเทียน เมื่อมองไปทางฉินอวี่ผู้มีรอยแผลทั่วร่าง และเปล่งประกายด้วยแสงสีแดงเพลิง การเยาะเย้ยก็ปรากฏที่มุมปากของหลี่เทียนจี ราวกับว่าเขากำลังหัวเราะที่ฉินอวี่ไม่รู้จักเจียมตัว
หลี่เทียนจีรู้จักและมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเพี้ยนของสยงท่าเทียนเป็อย่างดี พลังของคนผู้นี้นั้นเรียกได้ว่าทรงพลังอย่างมากเลยทีเดียว เกรงว่ามีเพียงผู้ฝึกตนในขั้นเทียนชุ่ยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะต่อสู้กับสยงท่าเทียนได้ และด้วยระดับการฝึกฝนในขั้นยุทธ์ระดับหกของฉินอวี่ การเข้าต่อสู้กับสยงท่าเทียนจึงเป็การพาตัวไปตายเสียมากกว่า
สำหรับฉินอวี่ หลี่เทียนจีผู้โอหังนั้นมองว่าฉินอวี่เป็ผู้น่าดูถูกและน่าขยะแขยงมาก คนผู้นี้ชอบทำตัวโอหังอวดดีอยู่ไม่สุข สยงท่าเทียนออกปากเรียกว่าพี่ใหญ่ ก็ควรจะอยู่อย่างสงบและสบายใจ สยงท่าเทียนเป็คนของเผ่าขวงสยง แม้ว่าคนของเผ่าขวงสยงในตอนนี้จะเหลือน้อยนัก แต่ศักยภาพของสยงท่าเทียนก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ความสำเร็จในภายหน้าคงจะต้องยิ่งใหญ่เหนือคนทั่วไปเป็แน่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลี่เทียนจีไม่้าที่จะยอมรับมัน แต่การที่สยงท่าเทียนเรียกเขาเป็พี่ใหญ่ฉินอวี่ ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขาและสยงท่าเทียนรู้จักกันมาเกือบสองปีแล้ว แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตสยงท่าเทียน แต่เขาก็ไม่เคยถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ แต่กลับถูกะโเรียกอยู่เป็ประจำ
หลี่เทียนจีก็ยังคาดเดาได้ด้วยว่าเหตุใดสยงท่าเทียนจึงเรียกฉินอวี่ว่าพี่ใหญ่ เพราะในสองปีมานี้ เขาคอยย้ำกับทุกคนเสมอว่าตัวเขาคือคนตระกูลขวงสยง แต่กลับพบแต่ความเมินเฉย บางคนถึงกับหัวเราะเยาะ สิ่งนี้จึงทำให้สยงท่าเทียนรู้สึกเสียใจและไม่ค่อยพอใจ แต่จู่ๆ ฉินอวี่กลับรู้จักตัวตนของสยงท่าเทียน ทำให้สยงท่าเทียนนั้นรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
“นี่เป็เพียงความตื่นเต้นชั่วคราวของสยงท่าเทียน” หลี่เทียนจีเยาะเย้ย แม้ว่าเขาจะรู้ แต่หลี่เทียนจีก็ยังรู้สึกหงุดหงิด ทำไมสยงท่าเทียนถึงไม่เคยเรียกตนเองว่าพี่ใหญ่บ้างเลยแม้จะชั่วคราว?
“ช่างเถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นที่อาจารย์พยากรณ์เอาไว้จะเข้ามายังแดนสุสานอสูรแล้วหรือยัง อาจารย์ยังเคยกล่าวไว้ว่าจะมีพลังงานที่ไม่รู้จบสิ้น สามารถร่วมเป็สหายกับข้าได้ อีกทั้งจะช่วยแก้ไขภัยพิบัติมากมายให้ข้าได้... ตอนที่อาจารย์ทำการพยากรณ์ เขามองเห็นหมู่ดวงดาวอันกว้างใหญ่ คนผู้นั้นจะต้องมีคำว่าซิงเฉินอยู่ในชื่อ แม้ว่าจะไม่มี ก็จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับซิงเฉิน... เดี๋ยวนะ ซิงเฉิน... หรือว่าจะเป็สำนักซิงเฉิน?” หลี่เทียนจีคิดอยู่ในใจ
ทันใดนั้น เขาก็ผงะ มองที่ฉินอวี่อีกครั้ง และคิดกับตัวเองว่า “หรือจะเป็เขา? ชื่อของเขาไม่ได้มีคำว่าซิงเฉิน แต่อาจเป็ไปได้ว่า... เป็คนของสำนักซิงเฉิน?”
“เป็ไปไม่ได้! ศิษย์ของสำนักซิงเฉินจะมาที่บริเวณชายขอบเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร”
หลี่เทียนจีฝืนยิ้มที่มุมปาก ตนเองคงคิดฟุ้งซ่านไปแล้วจริงๆ คนผู้นี้จะเป็คนที่อาจารย์ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการพยากรณ์ไปได้อย่างไร? คนผู้นี้ดีที่สุด... ก็คงเป็ตัวตลกเท่านั้น
หลี่เทียนจีคิด
หนึ่งวันต่อมา
“ฮ่าๆ พี่ฉิน ไม่เลวเลย ต่อเถอะ ฮ่าๆ นานแล้วที่ข้าไม่ได้สู้อย่างสนุกเช่นนี้” สยงท่าเทียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หลี่เทียนจีมองไปทางฉินอวี่ที่ยังคงต่อสู้กับสยงท่าเทียนด้วยความประหลาดใจด้วยสายตาที่น่าสงสัย
ผู้ชายคนนี้มีความอดทนขนาดนั้นเลยหรือ?