หลังจากนั้น เจียงเฉิงเยว่ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันเล็กน้อยในปรโลก อวี่ซูบอกเื่สำคัญบางอย่างแก่เขา เมื่อถามถึงหลิวเฟิง เขากล่าว “หลังจากคุณชายเรียกข้าก่อนหน้านี้ เ้าเมืองได้ไปแดน์ โดยไม่กลับมานานแล้ว ได้ยินว่าหลังจากภาพปากว้าของไท่ซวีซิงจวินออกมา แดน์ไม่สงบมากนัก คาดว่าถูกรั้งไว้ขอรับ”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า รู้สึกหดหู่เล็กน้อยจากก้นบึ้งหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดในใจว่าหลังจากที่หลิวเฟิงได้เลื่อนขั้น ช่างแตกต่างจากาาผีตัวน้อยแห่งปรโลกในอดีตเสียจริง มีเื่ราวมากมายที่ต้องกังวล ระยะห่างระหว่างอีกฝ่ายยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ กล่าวจากใจแล้วเป็ไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกหดหู่เลย สุดท้ายแล้วในอดีตทั้งสองคนเคยมีชื่อเสียงทัดเทียมกัน
หลังจากบอกลาอวี่ซูแล้ว เขากับหลี่อวิ๋นหังเดินบนถนนใหญ่ในตลาดผีอีกครั้ง ภายหลังคิดหาคำพูดจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อวี่ซูนับเป็คนสนิทของหลิวเฟิง หลังจากเื่ราวที่เมืองยง ข้าถูกตี้จวินผนึกไว้ที่เขาฉู่อวิ๋น เขาได้รับอวี่ซูไปหลังจากนั้น ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลนายพลที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดี แต่เพราะผู้บังคับบัญชาไร้ซึ่งคุณธรรมจึงลงเอยอย่างน่าสังเวชใจ ถูกฆ่าล้างบางทั้งตระกูลด้วยโทษฐานอาชญากรรมที่ไม่สมควร เวลาต่อมาแก้แค้นไม่สำเร็จ ต้องจบชีวิตด้วยความอยุติธรรม หลังจากตายจึงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ภายหลังถูกหลิวเฟิงปราบไว้ใช้งาน เวลาผ่านไปค่อยๆ กลายเป็คนสนิทของหลิวเฟิง เขาเกิดมาพร้อมกับการศึกษาสูงส่ง นิสัยอ่อนโยน และอาจมีแค่เขาที่ทนนิสัยชอบชี้นิ้วสั่งของคนผู้นั้นได้...” หลังพูดจบเขาส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าหลี่อวิ๋นหังให้ความสนใจกับจุดแปลกๆ เขาเลิกคิ้วพลางเอ่ย “โอ้ เ้าไม่ได้ถูกผนึกมาร้อยกว่าปีหรอกหรือ? เื่เกี่ยวกับ ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ อีกผู้หนึ่งกลับเข้าใจอย่างชัดเจนจริงเชียว?”
เจียงเฉิงเยว่ตะลึง จากนั้นหัวเราะด้วยความลำบากใจ “ข้า...ข้าเองก็เพิ่ง…เพิ่งติดต่อกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่เพราะเื่ราวที่อธิบายไม่ได้ในโซ่วหลิงที่ดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องหรอกหรือ? เขาไม่มีทางเลือกจึงคิดพาข้าออกมา”
หลี่อวิ๋นหังเย้ยหยันเสียงแ่ ไม่แสดงความเห็นใด
ทั้งสองคนเดินไปสักพัก บังเอิญพบกับคนที่คาดไม่ถึง หลังเจียงเฉิงเยว่เห็นเงาร่างที่โอ้อวดผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าพลันรู้สึกเปรี้ยวที่ลิ้น โคนผมกระจัดกระจาย ้าปิดหน้าของตนแล้วก้มศีรษะหมุนตัวลอบออกไปอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือดวงตาคมกริบของคนผู้นั้นที่ไม่ถูกกาลเทศะเท่าไรกลับเห็นเขาในแวบเดียว
“เฮ้ นี่มันนักพรตน้อยไม่ใช่หรือ?” คุณชายอวี้หลิวเดินมาหาอย่างเชื่องช้าพลางโบกพัดคลี่กระดูกหยก ยกยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน “นี่ช่างเป็วาสนาเสียจริง”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงแสร้งยิ้มแล้วประสานมือ “คุณชายอวี้หลิว”
หลิ่ววั่งซูโบกพัดพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อการพบกันคือวาสนา การพบกันอีกครั้งคงมีวาสนาไม่น้อย นักพรตน้อยยังไม่ยอมบอกนามอีกหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า “ข้าน้อยพบแม่ค้าขายแผ่นขนมปังต้นหอมที่หน้าจวนทุกวัน หากอิงตามที่คุณชายกล่าว ด้วยวาสนาเช่นนี้คงต้องไปแต่งงานด้วยแล้วกระมัง?”
หลิ่ววั่งซูหัวเราะเสียงดัง “นักพรตน้อยช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ไม่ทราบว่านักพรตน้อยคิดเื่ราว่ไม่กี่เดือนนี้แล้วหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้กับอาวุธวิเศษของหลี่อวิ๋นหัง เขายกยิ้มเย็นพลางกล่าวกับหลี่อวิ๋นหังโดยตรง “ก่อนหน้านี้คุณชายอวี้หลิวคาดเดาว่าดาบิญญาเล่มนั้นไม่ใช่อาวุธวิเศษของข้าไม่ใช่หรือ หากคุณชายลืมไม่ได้จริงๆ สู้ถามเ้าของที่แท้จริงโดยตรงดีกว่ากระมัง? ซ่างเซียน ตระกูลัครามเหยียนชิว้าซื้ออาวุธวิเศษของท่าน”
ถ้อยคำยังกล่าวไม่จบ งูสีเงินตัวน้อยที่คงเปิดสติปัญญาแล้วบนร่างของหลี่อวิ๋นหังหันกลับมาหาเขาราวกับฟังเข้าใจ หลังจากได้ยินจึงเลื้อยขึ้นไปบนไหล่ของหลี่อวิ๋นหังพร้อมเผยลิ้นออกมาด้วยท่าทางดุร้าย อาวุธเทพประเภทเลือกเ้าของเช่นนี้จะซื้อขายได้อย่างไร? งูสีเงินตัวน้อยรู้สึกว่าตนเองถูกสบประมาทอย่างสุดซึ้ง
หลี่อวิ๋นหังมองมันอย่างเฉยเมย ยื่นมือไปลูบศีรษะของมันอย่างปลอบประโลม งูสีเงินก้มตัวลงด้วยความรวดเร็ว หายไปบนไหล่ของเขาอย่างไร้ร่องรอย หลี่อวิ๋นหังมองหลิ่ววั่งซูที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางเอ่ยอย่างเหน็บแนม “คุณชายอวี้หลิวตกหลุมรักคนผิดเข้าแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่มองใบหน้าประหลาดใจและดวงตาเบิกกว้างของหลิ่ววั่งซู พลางปิดปากลอบยิ้ม
หลี่อวิ๋นหังเดินจากไป เจียงเฉิงเยว่ตามเขาไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนทิ้งคุณชายอวี้หลิวไว้ด้านหลัง หลิ่ววั่งซูกลับมาตอบสนอง รีบไล่หลังมาพูดด้วยเสียงเบา “นั่น...นั่นอะไร ท่านนี้คือ...ซ่างเซียนหรือ?”
ก่อนที่หลี่อวิ๋นหังจะตอบสนองใด เจียงเฉิงเยว่หงุดหงิดกับการเซ้าซี้ของคนผู้นี้ วุ่นวายกับเขาก็ช่างเถอะ แต่ยามนี้ถึงกับวุ่นวายหลี่อวิ๋นหังไปด้วยจึงทำให้เขาไม่พอใจยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงถามกลับอย่างไม่เกรงใจ “คุณชายอวี้หลิวยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่?”
อวี้หลิวกล่าว “เซียนจวิน พบกัน...” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เจียงเฉิงเยว่ขัดจังหวะอย่างหยาบคายยิ่งนัก “เป็วาสนาใช่หรือไม่? คุณชายอวี้หลิว ไม่ทราบว่าเปลี่ยนการทักทายใหม่จะได้หรือไม่กัน?”
หลิ่ววั่งซูไม่หงุดหงิด เขายังคงเอ่ยด้วยด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ “ก่อนหน้านี้เป็วั่งซูที่ไม่รู้จักความหนักเบาจริง หากทำให้เซียนจวินขุ่นเคืองใจ หวังว่าจะให้อภัย ข้าน้อยไม่มีเจตนาร้าย เพียง้าเป็เพื่อนด้วยเท่านั้น”
หลี่อวิ๋นหังไม่ไหวติง แต่เจียงเฉิงเยว่กลับมีเจตนาไม่ดี เขานึกอะไรได้อย่างฉับพลันจึงตบไหล่หลี่อวิ๋นหังด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรอสักครู่ เขามองหลิ่ววั่งซูแล้วถาม “คุณชายอวี้หลิว้าเป็เพื่อนด้วยเท่านั้นจริงหรือ?”
หลิ่ววั่งซูได้ยินแล้ว เขาพยักหน้าอย่างเร่งรีบด้วยท่าทางตื่นเต้นและประหลาดใจโดยพลัน หลี่อวิ๋นหังสังเกตเห็นว่าเจียงเฉิงเยว่กำลังมากไปด้วยแผนการ เขาหยุดเดินรอฟังถ้อยคำที่อีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างเงียบงัน
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มน้อย “ได้ยินว่าัครามเหยียนชิวอวดอ้างว่ารอบรู้ทุกเื่ในสามโลกใช่หรือไม่?”
หลิ่ววั่งซูกลับถ่อมตัวด้วยท่าทีพึงพอใจ “ช่างละอายใจนัก คำพูดนั้นเกินจริงแล้ว ฮ่าๆๆ”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “ไม่ทราบว่าคุณชายหลิ่วเคยได้ยินเขาเจียวซางกุยหรือไม่?”
หลิ่ววั่งซูตกตะลึง “นักพรตน้อย...้าซื้อข่าวจากเหยียนชิวของพวกเราหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ลอบคิดในใจ เ้าเด็กที่โอ้อวดคนนี้ดูไร้เดียงสา แต่ความจริงแล้วเฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่เสียทีที่เป็สายเืของัครามเหยียนชิวจริงเชียว “คุณชายอวี้หลิวเพียงบอกว่าเคยหรือไม่...”
หลิ่ววั่งซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเหม่อลอยสื่อสารทางจิตสักพัก เมื่อแววตากลับมาชัดเจนอีกครั้งจึงเอ่ยกับเจียงเฉิงเยว่ “ทราบเพียงผิวเผิน”
เจียงเฉิงเยว่แย้มยิ้มราวกับดอกไม้ “เช่นนั้นไม่ทราบว่าจะหาพวกเขาได้อย่างไร?”
หลิ่ววั่งซูกล่าวอย่างลำบากใจ “นักพรตน้อย ราคาของข้อมูลนี้ไม่น้อยเลย...”
หลี่อวิ๋นหังกำลังจะเอ่ยปากพูด เจียงเฉิงเยว่ขยิบตาให้ ส่งสัญญาณให้เขารอสักครู่ จากนั้นคว้าลำคอของหลิ่ววั่งซู เริ่มต่อรองราคาด้วยความสนิทสนมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ไอ้หยา คุณชายหลิ่ว ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกว่าอยากเป็เพื่อนกัน ระหว่างเพื่อนกันมาพูดคุยเื่ราคา ไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”
ถึงอย่างไรหลิ่ววั่งซูก็มาจากครอบครัวพ่อค้า เขาเช็ดเหงื่อเย็นพลางเอ่ย “นักพรตน้อย พูดเช่นนี้ไม่ได้ พี่น้องแท้ๆ ยังต้องสะสางบัญชี สุดท้ายแล้วเหยียนชิวของพวกเรานั้นทำการค้า หลังจากแหกกฎแล้ว หากใครมาหาข้าเพื่อใช้เส้นสายกันหมดจะทำอย่างไร? แน่นอนว่าสำหรับเพื่อนแล้ว ยังคงให้ส่วนลดกับนักพรตน้อยได้”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “จะให้ส่วนลดอย่างไร?”
หลิ่ววั่งซูครุ่นคิดเป็เวลานานแล้วรายงานราคา หลังจากได้ยินเจียงเฉิงเยว่ยิ้ม “คุณชายหลิ่ววางใจเถิด ข้าน้อยหลินเฉิน ศิษย์สำนักป้าเทียน คุณชายหลิ่วไปที่สำนักป้าเทียนเพื่อพบข้าได้!”
หลิ่ววั่งซูมีความสุข “ที่แท้นักพรตน้อยเป็บุคคลที่มีหน้ามีตาในสี่ขุนเขาเจ็ดดอยนี่เอง ค่อยเจรจากันง่ายหน่อย”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มเ้าเล่ห์ จากนั้นรับแผนที่จากในมือของหลิ่ววั่งซูที่ควบแน่นจากอากาศโดยไม่ละอาย บอกลาอีกฝ่ายเป็อย่างดี พลางลากหลี่อวิ๋นหังออกไปพร้อมกับแผนที่ซึ่งได้จากการหลอกลวงมา
เกือบจะออกจากตลาดผี หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้วเอ่ย “เ้าไปยุ่งเกี่ยวกับสำนักป้าเทียนั้แ่เมื่อไรกัน?”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “ผู้อื่นรีบทุ่มเทด้วยกำลังทั้งสำนักมาประจบประแจงข้า จะขัดขวางหรือ ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า?” ขณะที่พูดเขาหยิบแผนที่ออกมาจากถุงเอกภพในแขนเสื้ออย่างเบิกบานแล้วดูอย่างละเอียด จากนั้นส่งให้หลี่อวิ๋นหัง “เซียนจวินลองดูสักหน่อยเถิด...ว่าข้อมูลที่ซื้อมาจากเหยียนชิวนั้นเชื่อถือได้หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังรับมาระหว่างที่เดิน เมื่อดูแล้วจึงกล่าว “ที่ตั้งของเขาเจียวซางกุยนั้น แม้แต่์ยังยากที่จะพบ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเชื่อถือได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ไม่มีทางอื่นแล้ว สุดท้ายแล้วคุ้มค่าต่อการลองดูสักตั้ง”
หลี่อวิ๋นหังนิ่งค้างไป เขาขมวดคิ้ว “เ้าไม่คิดว่ามันผิดปกติหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตะลึงกับสิ่งที่เขาพูดเล็กน้อย รีบหยุดฝีเท้า “ผิดปกติตรงไหนกัน?”
หลี่อวิ๋นหังส่งแผนที่คืน “ไม่คิดว่าได้แผนที่นี้มาอย่างราบรื่นเกินไปหน่อยหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดอย่างอย่างละเอียดเป็เวลานานก่อนเอ่ย “ตระกูลัครามเหยียนชิวเป็เผ่าปีศาจในโลกมนุษย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเ้าเมืองปี่อั้น นอกจากนี้ข้าเชื่อใจซวีอวี่ เขาจัดการเื่ราวได้อย่างเหมาะสมและซื่อสัตย์ คงไม่ทำให้ข่าวให้รั่วไหล อีกทั้งการซื้อข้อมูลจากตระกูลัครามเหยียนชิว เป็ข้าที่ริเริ่มความคิดขึ้นมาชั่วครู่ คงเป็แค่เื่บังเอิญเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ตระกูลัครามเหยียนชิวจะขายแผนที่ปลอมให้พวกเราเพื่ออะไร?” เขามองหลี่อวิ๋นหังแล้วถามอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นแล้ว...ตามความหมายของซ่างเซียน พวกเราจะ...ไม่ไปหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังหัวเราะอย่างเ็า “แม้ว่าจะเป็การ ‘เชิญลงโอ่ง1 ’ หากไม่ลงโอ่ง...แล้วจะพบเจตนาของผู้ชักใยอยู่เื้ัได้อย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน เขาจึงปิดปากยิ้ม ดวงตาทั้งสองโค้ง “เซียนจวินกล่าวได้ถูกต้อง!”
ทั้งสองคนออกจากตลาดผี ค้นพบสถานที่ซึ่งนัดกับอี้จื่ออีไว้ก่อนหน้านี้ ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าไม่ใช่เพียงอี้จื่ออีที่รออยู่ตรงนั้น
เจียงเฉิงเยว่มองใบหน้ายิ้มแย้มของสวี่ฮ่วนเจ๋อกับเหล่านักพรตจากคงหลงซานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเงาร่างของเจียงเฉิงเยว่ ทั้งหมดประสานมือทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวิน”
เจียงเฉิงเยว่ดวงตาเบิกกว้าง รอยยิ้มแข็งกระด้างแล้วคว้าคอของอี้จื่ออีดึงอีกฝ่ายไปด้านหนึ่ง กัดฟันถาม “คุณชายอี้...นี่คือ?”
อี้จื่ออีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวิน เื่นี้โทษข้าไม่ได้จริงเชียว ในหมู่ผู้ฝึกฝนธรรมดาในโลกมนุษย์ ไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียวที่เป็ผู้สนับสนุนของท่าน ข้าเองก็พบพวกเขาโดยบังเอิญเช่นเดียวกัน ท่านคงไม่ทราบถึง ‘นักทำนาย’ ผู้นั้นของคงหลงซาน เพียงไม่กี่ประโยคคงถูกเขาคาดเดาได้ว่าข้ากำลังจัดการเื่ราวด้วยกันกับท่าน ณ ตอนนี้…”
เจียงเฉิงเยว่ลดเสียงลง “นักทำนาย?” เขาหันไปมองชาวคงหลงซาน ก่อนตรึงสายตาอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาในอาภรณ์สีขาวผู้นั้น “คนที่ท่านพูดถึงคือ...สวี่ฮ่วนเจ๋อคนนั้น?”
อี้จื่ออีกล่าว “ถูกต้อง อายุยังน้อยแต่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงอยู่อันดับต้นๆ เช่นเดียวกัน”
เจียงเฉิงเยว่ “ชิ” อันที่จริงเขาไม่ได้เกลียดเด็กคนนี้จากใจจริง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะติดต่อกับอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่ามองออกว่าเด็กคนนี้เฉลียวฉลาดยิ่ง ทั้งจัดการเื่ราวโดยไม่ใช้อารมณ์ ช่างคู่ควรกับฉายาที่ ‘มีชื่อเสียง’ ของอีกฝ่ายเสียจริง ดังนั้นจึงลังเลครู่หนึ่งแล้วถามต่อ “คงหลงซาน...นี่มันอะไรกัน? มาเพื่อช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?”
อี้จื่ออียังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวิน ถึงอย่างไรท่านก็เป็าาผีที่รู้จักกันดี ท่านมีความมั่นใจในตนเองหน่อยได้หรือไม่? สำนักป้าเทียนประจบประแจงท่านได้ จะไม่ให้สำนักจากสี่ขุนเขาเจ็ดดอยเกิดความคิดเช่นเดียวกันได้หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เบะปาก “เช่นนั้น...พวกเขารู้จักตัวตนของซ่างเซียนหรือไม่?”
อี้จื่ออีชำเลืองมองหลี่อวิ๋นหังพลางเอ่ย “คงจะไม่รู้กระมัง ข้าติดตามท่านเขาก็เดาออกด้วยตนเอง ส่วนที่เหลือข้าไม่ได้บอกอะไร...”
ก่อนที่ทั้งสองคนจะพูดจบ เห็นว่าชาวคงหลงซานซึ่งถูกพวกเขาทั้งสองทิ้งไว้ด้านนั้นด้วยความอึดอัดใจ ประสานมือทักทายหลี่อวิ๋นหังเพื่อขจัดความน่าอึดอัดใจ “ไม่ทราบว่าเซียนซือมีนามว่าอันใด?”
เจียงเฉิงเยว่กับอี้จื่ออีตกตะลึง อี้จื่ออีกระซิบเสียงเบา “จักรพรรดิเจาอู่ซ่อนแสงรัศมีไปแล้ว บางทีเขาอาจถูกมองว่าเป็ผู้ติดตามของท่าน”
เจียงเฉิงเยว่กลอกตา หันกลับไปกำลังจะช่วยหลี่อวิ๋นหังจากการปิดล้อม ทว่าได้ยินหลี่อวิ๋นหังกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าน้อยแซ่หลิน นามหลินเหิง”
“อุบ...” เจียงเฉิงเยว่ปิดปากเกือบจะหัวเราะออกมา พร้อมกล่าวอย่างคล้อยตาม “ถูกต้องๆ ท่านนี้คือ...นักพรตหลินเช่นเดียวกัน”
“อา” สวี่ฮ่วนเจ๋อมีท่าทางเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ได้ถามรายละเอียด จากนั้นนำเหล่าศิษย์คงหลงซานมาทำความเคารพแล้วเอ่ย “ที่แท้เป็นักพรตหลินเช่นเดียวกัน” หางเสียงคำสุดท้ายยังคงลากยาวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ อี้จื่ออีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวิน ท่านสั่งการเหล่าศิษย์คงหลงซานได้เต็มที่ ทุกคนมาที่นี่เพื่อค้นหาความจริงเช่นเดียวกัน และ้าจับผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เื้ัออกมา”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะ “พูดได้ดี พูดได้ดี”
ดังนั้นอี้จื่ออีจึงถูกำปั้น[2] “ฉิงชางจวิน เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ใดกันต่อ?”
เจียงเฉิงเยว่หยิบแผนที่จากแขนเสื้อซึ่งนำมาจากหลิ่ววั่งซู มองดูอย่างละเอียดแล้วเอ่ย “ไปเขาเจียวซางกุยก่อนแล้วกัน”
อี้จื่ออีโน้มตัวมาดูแผนที่บนมือของเขาด้วยท่าทางยินดี พลางเหลือบมองสวี่ฮ่วนเจ๋อจากสำนักคงหลงซาน อีกฝ่ายเข้าใจความหมายจึงเดินมาดูพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญจริงเชียว ตามแผนที่ของโลกปีศาจนี้ สถานที่นี้ระบุว่าอยู่ในเขตการปกครองของูเาคงหลงซานพอดี”
------------------------
[1] สำนวน เชิญลงโอ่ง หมายถึง ใช้วิธีของอีกฝ่ายมาจัดการกับอีกฝ่าย
[2] ถูกำปั้น หมายถึง การบรรยายลักษณะของคนที่กระตือรือร้นก่อนจะทำการใดๆ
