รองผู้บัญชาการคนนั้นกำลังจ้องมองดวงตาไร้อารมณ์ของหลินเฟิงและลมปราณที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สีหน้าของรองผู้บัญชาการดูอึมครึม เงามายาสัตว์อสูรวานรของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว ขณะที่มันส่งเสียงคำราม
“ตาย!”
รองผู้บัญชาการะโอย่างโกรธเกรี้ยวขณะโจมตีหลินเฟิงด้วยฝ่ามือ ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาลจู่ๆ ก็กลายเป็เงามายา ซึ่งฝ่ามือขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรวานรก็สามารถครอบคลุมหลินเฟิงได้ทั้งร่าง
“ตูม!!!”
พละกำลังอันเหลือเชื่อกำลังพุ่งเข้าหาหลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกหายใจอย่างยากลำบาก
อย่างไรก็ตามเจตจำนงการต่อสู้ไม่ได้หายไป แต่เขาก็ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด หลินเฟิงกำหมัดแน่นเพื่อใช้ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหมัดนี้เปรียบเสมือนดาบที่แหลมคมเล่มหนึ่ง จากนั้นฝ่ามือของรองผู้บัญชาการและหมัดของหลินเฟิงก็ปะทะกันอย่างรุนแรง
“ตูม!!!”
เกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ผืนดินใต้เท้าหลินเฟิงเกิดรอยแตก ตอนนี้รองผู้บัญชาการราวกับเป็สัตว์อสูรวานร และเปรียบเสมือนูเาที่ตั้งตระหง่าน
เสียงที่ดังออกมาจู่ๆ ก็หยุดลง ฝ่ามือของรองผู้บัญชาการเริ่มกดทับร่างกายของหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกเหมือนกระดูกและอวัยวะภายในกำลังจะแตกสลาย แต่เขายังคงยืนตรงไม่ได้หนีแต่อย่างใด ทำให้ผู้คนจับจ้องหลินเฟิงอย่างเอาเป็เอาตาย
บรรยากาศกลายเป็เงียบงัน เืกำลังไหลไปตามมือของรองผู้บัญชาการ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น กำปั้นของหลินเฟิงได้ตัดผ่านฝ่ามือของมัน มีรูขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่หยุดมือเพราะเขารู้ว่าหลินเฟิงาเ็หนักกว่าเขามาก
ในขณะนั้นกำปั้นของหลินเฟิงยังคงอยู่ที่ฝ่ามือของรองผู้บัญชาการ หลินเฟิงยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ั์ตาสีเทาที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ ทุกอย่างรอบตัวยังคงปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน นั่นคือโลกของหลินเฟิง
กระดูกของเขาแตกหัก อวัยวะภายในได้รับความเสียหายรุนแรง จนดูเหมือนอาจตายได้ทุกเวลา แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้เช่นนั้น
ในโลกสีดำของเขา น้ำแข็งเป็สีฟ้า คลื่นดาบเป็สีขาวและเจตจำนงการต่อสู้ก็เป็สีทอง ทุกอย่างในโลกของเขาสามารถมองเห็นได้ภายในหัวของเขา
อำนาจ เป็การยืมพลัง ยืมพลังจากฟ้าดิน และผสานเป็หนึ่งเดียวกัน มันจึงสามารถโจมตีได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ขอบเขตการผสานเป็จุดสูงสุดของอำนาจ การหลอมรวมกับอำนาจ ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น มันจะทรงพลังมากยิ่งขึ้นในการโจมตีแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็อำนาจหรือขอบเขตการผสาน พวกมันล้วนแต่ยืมพละกำลังจากโลกภายนอก ซึ่งมันไม่ใช่พลังของตัวเอง แต่มันเป็เพียงการประยุกต์ใช้และความเข้าใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็มีขีดกำจัดของมัน
ท่ามกลางโลกของเขา หลินเฟิงต้องใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างมาก
ท่ามกลางโลกของหลินเฟิง มีเพียงสามสีที่กำลังหมุนไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับ้าหลอมรวมเป็หนึ่ง และในเวลาเดียวกันบนร่างของหลินเฟิงก็ไม่มีเจตจำนงแห่งน้ำแข็งและเจตจำนงแห่งดาบแล้ว แม้แต่เจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่ร้อนแรงก็ไม่มีแล้ว ซึ่งเขาในตอนนี้ราวกับคนธรรมดา กระทั่งการบ่มเพาะก็เหมือนกับมนุษย์ที่ทั้งจืดชืด ไร้ความตื่นเต้น ไม่มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงดูเหมือนคนธรรมดาอย่างมาก แต่กลับมีบางอย่างที่ลึกลับ บางอย่างที่ดูเหมือนว่ามันเป็ความลึกลับของ์
ร่างกายของหลินเฟิงกำลังดูดกลืนหยวนชี่ฟ้าดิน และหยวนชี่ฟ้าดินนั้นกำลังซึมซับเข้าสู่ทุกๆ อณูในร่างกายของฟลินเฟิงไม่ว่าจะเป็กระดูกหรือิั กระดูกทั้งร่างของเขาที่กำลังส่งเสียงกรอบแกรบ ราวกับว่ามันกำลังรวมตัวกันใหม่จากสภาพที่แตกหักก่อนหน้านี้
เส้นทางแห่งนักรบนั้น สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งได้
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากความแข็งแกร่ง ซึ่งก็เหมือนกับทักษะยุทธ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนกระดูก เนื้อและกล้ามเนื้อของผู้ฝึกยุทธ์ได้ เพื่อทำให้ร่างกายเหมาะแก่การฝึกฝนมากยิ่งขึ้น จนเกิดความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งมากขึ้น
หากโครงกระดูกแข็งแกร่งขึ้น ร่างกายก็จะมั่นคงสมบูรณ์แบบ
เนื้อและกล้ามเนื้ออาจแข็งแกร่งขึ้น รวมไปเส้นโลหิตก็เช่นกัน
อารมณ์จะสะท้อนให้เห็นถึงการหยั่งรู้และจิติญญาได้
อารมณ์ของคนจะได้รับผลกระทบจากการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์ และในการสร้างโครงกระดูกจำเป็ต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นสำหรับเป็โครงสร้างของร่างกายที่มั่นคง
การเปลี่ยนแปลงนี้กระดูกจะต้องแตกหักก่อนและสร้างขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าเนื้อที่อ่อนแอจะต้องถูกทำลายก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อร่างกายได้รับาเ็จากความเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว เมื่อพวกมันฟื้นตัวขึ้นก็อาจทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขา แม้จะอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาก็ตาม โครงกระดูกของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่อยู่ในกระบวนการฝึกฝนบ่มเพาะพลังแต่มันอยู่ในระหว่างการต่อสู้ ถึงอย่างนั้นหลินเฟิงได้ใช้พลังภายนอกเพื่อทำความเข้าใจการบ่มเพาะพลังและเสริมความแข็งแกร่งร่างกายของเขา
แม้กระดูกจะแตกสลาย แต่เขายังยืนได้!
ผู้คนจ้องมองหลินเฟิงขณะที่ในใจกำลังเต้นระรัว พวกเขาตระหนักได้ว่าหลินเฟิงได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไน เนื่องจากภายนอกเขายังคงดูเหมือนก่อนหน้านี้
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลินเฟิงในตอนนี้ราวกับผสานเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
หลินเฟิงดูเป็ตัวอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะนั้นรองผู้บัญชาการที่กำลังต่อสู้กับหลินเฟิงก็เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่เหนือกว่า แต่เขารู้สึกกังวลอย่างมากราวกับเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
เพราะความวิตกทำให้เขาต้องโจมตีออกไปอีกครั้ง เขากระทืบเท้าลงบนผืนดิน คล้ายกับร่างสัตว์อสูรวานร จนผืนดินสั่นะเืและฝุ่นทรายลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ
รองผู้บัญชาการยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง แล้วพุ่งเข้าหาหลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ามือขนาดั์ปรากฏขึ้นอีกครั้งและพุ่งเข้าหาหลินเฟิง
หลินเฟิงเองก็ขยับมือและตวัดมือออกไปจนเกิดแสงสว่างจ้าในอากาศ เมื่อแสงหายไปเืก็สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ มือข้างหนึ่งถูกตัดขาดจนกระเด็นออกไป
หลังจากนั้นได้มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
“อ๊าก!!! มือข้า…”
เวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วครู่ รองผู้บัญชาการพบว่ามือของเขาหายไปแล้ว หลังจากถูกแสงอันเจิดจ้าเมื่อครู่นี้ตัดไป เมื่อเขาเห็นมือข้างซ้ายถูกตัดออกไปและเืก็สาดกระจายไปทั่ว สีหน้าของเขาพลันกลายเป็เหี้ยมโหดในทันที
เป็ไปได้อย่างไรกัน? มือของเขาแม้แต่มีดหอกก็ไม่อาจตัดให้ขาดได้ กระทั่งผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ที่ใช้อาวุธก็ยังยากที่จะทำให้เขาได้รับาเ็ได้ สัตว์อสูรวานรของเขานั้นแข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้จิติญญาสัตว์อสูรวานร ไม่ว่าจะเป็พละกำลังหรือการป้องกันล้วนแต่ทรงพลังมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้มือของเขากลับถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย และเขาก็ไม่รู้ว่าแสงที่เจิดจ้าเมื่อครู่มาจากไหน
เพราะว่าในมือของหลินเฟิงตอนนี้ ไม่มีอาวุธแต่อย่างใด
ฝูงชนต่างจ้องเขม็งไปที่มือของหลินเฟิง ช่างน่าพิศวงนัก แสงจ้าเมื่อครู่... มันคือฝ่ามือของหลินเฟิง
หลินเฟิงในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป เขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นและร่างกายของเขาก็เสมือนกับดาบ และเป็ดาบที่แหลมคมมาก
ร่างกายของเขาคือดาบ ดาบก็คือเขา
แสงสว่างนั้นมาจากมือของเขา เพราะฝ่ามือของเขาก็เปรียบเสมือนดาบเช่นกัน
“คนกับดาบหลอมรวมเป็หนึ่ง!”
ผู้คนต่างประหลาดใจ ใช่แล้ว… นั่นคือหนึ่งในขอบเขตของอำนาจดาบและหลอมรวมร่างกาย จู่ๆ หลินเฟิงก็ได้ทะลวงผ่านขอบเขตการผสานไปอีกขั้น
หลินเฟิงถึงจะอยู่เพียงระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 คาดไม่ถึงว่าจะหยั่งรู้แล้ว แม้แต่ผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับก็ยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ พร์และการหยั่งรู้เช่นนี้ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
“ตัด!”
หลินเฟิงกล่าวเสียงแ่เบาแล้วยกมือขึ้นอีกครั้ง รองผู้บัญชาการกดแผลที่ถูกตัดด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ร่างของเขาเริ่มสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว เขา้าจะหนีแต่มันสายเกินไปแล้ว แสงลึกลับสว่างจ้าอีกครั้งและฟาดฟันที่ลำคอของรองผู้บัญชาการอย่างรวดเร็วราวกับแสง จู่ๆ ใบหน้าของรองผู้บัญชาการก็กลายเป็แข็งทื่อและทรุดตัวลงทันที
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ถูกสังหารแล้ว!
ด้วยความแข็งแกร่งของหลินเฟิง เขาได้สังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตจิติญญาขั้นที่ 7 ไป 3 คนและผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 อีก 1 คน
ตอนนี้ทั้งแปดคนนั้น เหลือเพียงรองผู้บัญชาการผู้คุ้มกันทมิฬคนเดียว รวมถึงทหารที่ปกปิดใบหน้าอีกสามนาย
หลินเฟิงหันไปจ้องมองทหารที่ปกปิดใบหน้าข้างๆ องค์หญิง ทันใดนั้นทหารคนนั้นก็ควบม้าออกไปและปล่อยต้วนซินเยี่ยไว้ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “องค์หญิงเป็ของเ้าแล้ว”
หลินเฟิงประหลาดใจขณะมองไปที่คนคนนั้น จากนั้นเขาก็เดินไปหาต้วนซินเยี่ย แล้วทหารที่ปกปิดใบหน้าก็ควบม้าไปหาพวกเขาอีกสามคน
“เ้าจะไม่สังหารเขา?”
รองผู้บัญชาการผู้คุ้มกันทมิฬคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ถามอย่างเ็า ขณะจ้องมองชายที่ปกปิดใบหน้าผู้นั้น
“พวกเราสี่คนต้องร่วมมือกันถึงจะมีโอกาส” ชายที่ปกปิดใบหน้ากล่าวขณะควบม้าไปหารองผู้บัญชาการผู้คุ้มกันทมิฬ ทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายเป็เงามายา แล้วะโขึ้นหลังม้าก่อนจะพุ่งไปหารองผู้บัญชาการ สายลมรุนแรงหอบหนึ่งปรากฏจากมือของเขาและบดขยี้หน้าอกอีกฝ่าย
หัวใจของรองผู้บัญชาการและอวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหายเกินกว่าจะรักษาได้จากการโจมตีนี้
“เ้า…”
รองผู้บัญชาการ้าพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วชายที่ปกปิดใบหน้าก็โจมตีด้วยหมัดครั้งสุดท้าย สุดท้ายแล้วรองผู้บัญชาการผู้คุ้มกันทมิฬก็ตกจากหลังม้าและสิ้นลมไปทันที!