หลังจากได้ยินการตัดสินใจของเฉินเฟิง ทั้งจางหลิงเจี๋ยและหลินชิวหยุนก็ถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ”แล้วหลิ่วอีอีล่ะ? ถึงแม้พวกเราจะเพิ่มดอกไม้ให้ผ้าทอลาย [1] แต่เธอก็ส่งถ่านให้นายกลางหิมะ [2] เลยนะ!”
“ไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะยังคิดถึงหลิ่วอีอีด้วย วางใจได้ ฉันจะตัดสินอย่างยุติธรรม” เฉินเฟิงตอบด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของพวกเธอ
“หลิ่วอีอีกับหัวหน้าชั้นปีเว่ยจงเม้า พวกเขาใช้เงินประมาณหนึ่งถึงสองแสนหยวนร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายกับฉันแล้ว สำหรับพวกเธอสองคนในฐานะผู้หญิงของฉัน แค่อยู่เฉยๆ รอรับความสำเร็จก็พอ คอยเป็มือเป็ไม้คอยช่วยฉันบริหารโรงแรมให้ดี ทำให้ที่แห่งนี้ดียิ่งขึ้นเป็สิบๆ เท่าได้ ฉันก็พอใจแล้ว”
ได้ยินแบบนี้ จางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนต่างมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แม้ว่าคำพูดของเฉินเฟิงที่บอกให้พวกเธออยู่เฉยๆ รอรับความสำเร็จจะฟังดูดี แต่ระหว่างเกาะเขากินกับโดนสั่งให้เกาะเขากิน มันแตกต่างกัน
ไม่ว่าใคร ขอแค่มีสมองก็น่าจะคิดได้!
ก็จริงที่ว่าพวกเธอมอบร่างกายและหัวใจให้เฉินเฟิงแล้ว แต่ในใจของเขา พวกเธอมิอาจเทียบเคียงกับหลิ่วอีอีได้
น่าจะเป็เพราะว่าพวกเธอเข้าหาเขาหลังจากที่รู้ว่าเขาถูกรางวัลใหญ่มีเงินหลายล้านแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเื่ทั้งหมดยังเกิดจากฤทธิ์เหล้าบวกกับความฉลาดแกมโกงที่ทำให้พวกเธอได้ร่วมเตียงกับเฉินเฟิง ในขณะที่หลิ่วอีอีแอบชอบและช่วยเขามาตลอดสามปี แม้กระทั่ง่ที่เขาใช้เงินทั้งหมดซื้อลอตเตอรี่จนไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน เธอทำแม้กระทั่งแกล้งเป็แฟนปลอมๆ เพื่อช่วยเขาเผชิญหน้ากับงานเลี้ยงหงเหมินของฮูอวี่กับจ้าวฉินเสวีย
เพิ่มดอกไม้ให้ผ้าทอลายจะไปสู้กับการส่งถ่านให้กลางหิมะได้ยังไง
“ถ้าพวกเรามีเงินเหลือพวกเราก็อยากร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัทเหมือนกัน...แต่น่าเสียดาย พวกเรา...”
จางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียกำลังใจ
เฉินเฟิงรู้เกี่ยวกับครอบครัวของจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนอยู่ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้มาจากครอบครัวยากจน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเป็พิเศษ
พวกเธอเอาเงินเป็แสนๆ หยวนมาร่วมลงทุนก่อร่างสร้างบริษัทกับเฉินเฟิงไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะยังไงมันก็เป็เงินแสนหยวนในปี 1995
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของทั้งสอง เฉินเฟิงก็ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจในทันที
“พวกเธอไม่ต้องพยายามเอาตัวเองไปเทียบกับหลิ่วอีอีหรอก ยังไงตอนนี้พวกเธอก็เป็ผู้หญิงของฉันแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้เลยจะสู้หน้าหลิ่วอีอียังไง ตอนแรกฉันก็ถูกรักแรกสวมเขา มาตอนนี้ฉันดันมาใกล้ชิดกับพวกเธอแบบนี้อีก ฉันไม่อยากทำให้หลิ่วอีอีผิดหวังแล้ว”
ที่เขาไม่รู้คือเมื่อวานหลิ่วอีอีช่วยเว่ยจงเม้าเพื่อจดทะเบียนบริษัท และวันนี้เธอก็ออกไปข้างนอกกับพ่อแม่ ก่อนจะมาถึงโรงแรมเฉียนต๋าในที่สุด ซึ่งเธอได้ยินบทสนทนาระหว่างเฉินเฟิง จางหลิงเจี๋ย และหลินชิวหยุนที่พูดถึงเธอทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เห็นกับตาว่าเฉินเฟิงโอบตัวจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนไว้อยู่
บางครั้งความจริงก็เป็เช่นนี้แหละ
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา [3]
บังเอิญดีแท้!
แม้ชื่อหลิ่วอีอีจะให้ความรู้สึกอ่อนช้อย แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยและได้รับการอบรมสั่งสอนมาั้แ่เด็ก เธอจึงเป็เ้าหญิงที่หยิ่งยโสเสมอมา
ในตอนนี้ก็เป็ศักดิ์ศรีของเธอเองที่ค้ำคอเธอไว้ไม่ให้ส่งเสียงอะไรเมื่อได้ยินบทสนทนาทุกอย่าง อีกทั้งยังต้องมาเห็นเฉินเฟิงโอบกอดเพื่อนร่วมชั้นปีทั้งสองอีก เธอปาดน้ำตาก่อนจะเดินไปร้านอาหารมิชลินเพื่อทานมื้อเย็นอย่างเงียบเชียบ
“เอ่อ...ท่านประธานคะ...คุณผู้หญิงคนเมื่อสักครู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังท่าน คนที่ดูสวยมีมารยาทจนให้อารมณ์เหมือนเ้าหญิงคนนั้น เหมือนหน้าเธอที่กำลังยิ้มๆ อยู่ก็ร้องไห้หลังจากได้ยินพวกท่านคุยกัน เธอเพิ่งจะเดินไปร้านอาหารมิชลินเงียบๆ เมื่อสักครู่ นั่นใช่คนที่ชื่อหลิ่วอีอีหรือเปล่าคะ?!”
พนักงานต้อนรับที่กำลังนั่งฟังบทสนทนาระหว่างเฉินเฟิงกับสองสาวสวย เหลือบไปเห็นหลิ่วอีอีอดพูดแทรกขึ้นไม่ได้
เมื่อได้ยินคำถามของพนักงาน หัวใจเฉินเฟิงเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบ เขาเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“ไม่ใช่หรอกมั้ง เื่มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเชียว?!”
แต่เมื่อเขาลองเพ่งสายตาดูดีๆ เขาถึงได้เห็นหลิ่วอีอีนั่งร้องไห้อยู่ในร้านอาหารมิชลิน โดยข้างๆ มีเพื่อนร่วมชั้นปีหลายคนกำลังปลอบใจเธอ
“ฉันว่านายควรไปคุยกับเธอนะ เดี๋ยวพวกเราไปหาอะไรกินกันเอง นายควรอยู่กับหลิ่วอีอีมากกว่านี้”
“เธอเป็คนประเภทมีความภูมิใจในตัวเองสูง ตอนนี้ถูกเพื่อนสนิทที่เป็ดอกไม้ประจำชั้นอย่างพวกเราแย่งหน้าไป ถ้าเธอรับไม่ได้ บางทีเธออาจทำอะไรโดยไม่ทันคิดก็ได้”
หลังจากเห็นหลิ่วอีอีร้องไห้ จางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนถูกคลื่นความรู้สึกผิดบาปซัดเข้าใส่ จึงรีบบอกให้เฉินเฟิงไปปลอบใจเธอ
ยังไงเสีย ทั้งชั้นปีรู้กันดีว่าหลิ่วอีอีคือเ้าหญิงผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีที่หลงรักเฉินเฟิงอย่างสิ้นหวังมานานที่สุด
เธอตกหลุมรักใครบางคนโดยไม่สนว่าคนคนนั้นจะยากจนหรือร่ำรวย ไม่สนว่าคนคนนั้นจะชอบเธอหรือไม่ก็ตาม
นี่คือรักข้างเดียวอย่างแท้จริง!
ถึงแม้จางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนจะมีความรู้สึกให้เฉินเฟิงเช่นเดียวกับเธอก็ตาม แต่พวกเธอก็ยอมถอยไปคบกับฝาแฝดลูกเศรษฐีั้แ่อาทิตย์ก่อน แล้วจู่ๆ มาวันนี้มาเห็นว่าเฉินเฟิงมีเงินหลายสิบล้านหล่นทับ พวกเธอเลยฉวยโอกาสระหว่างที่เฉินเฟิงเมาไม่ได้สติเพื่อปีนขึ้นเตียงแล้วยัดเยียดตัวเองให้เขา
ต่อให้จะนั่งมอง ยืนมอง ตะแคงมอง ตราบใดที่ไม่ใช่คนประเภทจ้าวฉินเสวียเป็ใครก็ต้องรู้สึกผิดทั้งนั้น
“โอเค พวกเธอไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่นๆ ก่อนนะ ฉันจะไปอธิบายเื่ทั้งหมดให้หลิ่วอีอีฟัง”
เฉินเฟิงส่งสัญญาณให้จางหลิงเจี๋ยและหลินชิวหยุนให้ไปเบี่ยงเบนความสนใจจากเพื่อนรอบตัวของหลิ่วอีอี
เมื่อเหลือหลิ่วอีอีคนเดียว เฉินเฟิงจึงลงไปนั่งข้างเธอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เธอได้ยินที่ฉันคุยกับจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนแล้วใช่ไหม?”
หลิ่วอีอียิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม เธอตอบคำถามไม่ได้
สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่อะไรที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบเธอจะทนได้
“ถ้าเธอยังไม่เกลียดฉัน พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันที่สำนักกิจการพลเรือนดีไหม ระหว่างที่ฉันตามจีบจ้าวฉินเสวีย ก็มีแต่แสงสว่างจากเธอเท่านั้นที่ส่องมาถึง จางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนได้ตัวฉันไปเพราะฤทธิ์เหล้าก็จริง แต่พวกเธอไม่มีทางได้หัวใจของฉันไป ฉันรับรองได้!” เฉินเฟิงกระซิบข้างหูหลิ่วอีอี
หลิ่วอีอีค่อยๆ หยุดร้องไห้เมื่อได้ยินคำหวานจากเฉินเฟิง ก่อนจะเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้านายกล้าประกาศให้ทุกคนที่อยู่ในร้านตอนนี้ฟังชัดๆ ไปเลยว่าพวกเรากำลังจะไปจดทะเบียนสมรสกันพรุ่งนี้แล้วจัดงานแต่งต่อเนื่องกันห้าวัน ฉันถึงจะเอาด้วย!”
หลิ่วอีอีเตรียมพร้อมทุ่มสุดตัวให้คนที่เธอแอบรักมาตลอดสามปี ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ให้คนอื่นเด็ดขาด
เธอ้าทำให้แน่ใจว่าเธอจะมีสถานะที่สูงที่สุดเป็อย่างแรก
“ทำไมจะไม่กล้า? เมื่อฉันเห็นเธอ ความฝันที่ฉันหลงลืมไปเมื่อคืนก็เริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น” เฉินเฟิงตอบกลับอย่างมั่นใจ
เชิงอรรถ
[1] เพิ่มดอกไม้ให้ผ้าทอลาย หมายถึง ทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไป
[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ หมายถึง ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในเวลาคับขัน
[3] พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เป็สำนวนจากวรรณกรรมเื่สามก๊ก มีความหมายว่า เมื่อเรากำลังพูดถึงใครสักคน แล้วคนคนนั้นก็โผล่มาพอดิบพอดี