“จะเป็ไปได้อย่างไร ญาติผู้น้องอยู่ดีๆ ก็กระอักโลหิตออกมากะทันหันแล้วหมดสติไป หลังจากนั้นก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ท่านหมอที่เชิญมาต่างหมดปัญญา อี้เฮ่า เ้าดูสีหน้าของนางสิ ดูเหมือนคนสบายดีเช่นนั้นหรือ” ลั่วเหวินโย่วกล่าวอย่างร้อนใจ ชี้ไปที่ใบหน้าขาวซีดของโม่เสวี่ยถงให้ไป๋อี้เฮ่ามองให้ชัดเจน
สีหน้าขาวซีดเยี่ยงนั้น ริมฝีปากน้อยๆ ไร้สีเืเยี่ยงนั้น ดวงตาก็ยังหลับสนิท แล้วจะไม่มีปัญหาได้อย่างไร
“คุณหนูสามมิได้เจ็บไข้อันใดจริงๆ เพียงแต่เืลมติดขัดเท่านั้น เดี๋ยวข้าจะออกเทียบยาให้ เ้าก็ให้คนต้มยาให้นางดื่ม ภายในสองชั่วยามก็จะฟื้นคืน ส่วนเื่อื่นๆ ก็ต้องแล้วแต่โชคชะตาของนาง” ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งเทพเซียนของไป๋อี้เฮ่ามักทำให้คนรู้สึกถึงความนุ่มนวล สุขุมคัมภีรภาพ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังคงรักษาความสง่างามเป็ธรรมชาติได้อยู่
เพียงแต่ดวงตาที่มักอ่อนโยนอยู่เสมอคู่นั้นกลับดิ่งลึกไม่เห็นก้นบึ้ง
ลั่วเหวินโย่วกับไป๋อี้เฮ่านับว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็อย่างดี ยังตกตะลึงกับสีหน้าจริงจังของเขา ไป๋อี้เฮ่าที่มักมีสีหน้าคล้ายเมฆจางลมเบาอยู่เสมอ ไฉนจึงดูเคร่งขรึมได้เพียงนี้ หรือว่าญาติผู้น้องจะไม่ไหวแล้วจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ร้อนใจยิ่ง มือหนึ่งรั้งแขนเสื้อของไป๋อี้เฮ่า แล้วลากตัวมาที่หน้าเตียงของโม่เสวี่ยถง แล้วชี้ไปที่ญาติผู้น้อง รบเร้าถามขึ้นอีก “อี้เฮ่า เ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรที่เรียกว่าต้องแล้วแต่โชคชะตา หรือว่าญาติผู้น้องอาการไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่ต้องรอฟังบัญชาจาก์”
คิดถึงท่านย่ายามนี้ยังรอฟังข่าวจากตนเองอยู่ที่บ้าน ยิ่งคิดใจยิ่งร้อนเป็ไฟ ก่อนออกมาท่านย่ายังกอดกับน้องสาวร้องไห้ หากรู้ว่าญาติผู้น้องมีอันเป็ไป สุขภาพของท่านย่าก็ไม่ดีอยู่แล้ว จะรับไหวได้อย่างไร น่ากลัวว่าจะตามญาติผู้น้องไปอีกคน...
“เหวินโย่ว อย่าเพิ่งร้อนใจ...”
“ข้าไม่ร้อนใจได้หรือ นางเป็น้องสาวที่ข้ารักที่สุดเชียวนะ” ความเศร้าสลดเอ่อท้นอยู่ในดวงตาของลั่วเหวินโย่ว มือที่ดึงรั้งไป๋อี้เฮ่าอยู่สั่นระริก แม้ว่าจะได้อยู่ร่วมกัน่เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนในจวนลั่ว แต่ในสายตาของลั่วเหวินโย่วโม่เสวี่ยถงเป็เด็กน่ารัก เฉลียวฉลาด ทั้งยังนุ่มนวลอ่อนหวาน เด็กสาวตัวน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์เยี่ยงนั้น อยู่ดีๆ จะมาตายจากไปได้อย่างไร
สายตาทอดไปบนใบหน้างามละเมียดละไม นางนอนนิ่งไม่ได้สติ หัวใจของลั่วเหวินโย่วคล้ายถูกบดขยี้ ดึงแขนเสื้อของไป๋อี้เฮ่าไม่ยอมปล่อยคล้ายคนเสียสติไปแล้ว ดวงตาพลันแดงก่ำ
เมื่อแลเห็นลั่วเหวินโย่วดูวิตกกังวลมากจริงๆ ไป๋อี้เฮ่าจึงคลี่ยิ้ม ดึงแขนเสื้อของตนเองลากลั่วเหวินโย่วกลับมาที่โต๊ะ กดอีกฝ่ายให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ อธิบาย “เหวินโย่ว เ้าก็อย่าร้อนใจไปเลย ญาติผู้น้องของเ้าเป็โรคทางใจ โรคทางใจต้องเยียวยาหัวใจ เป็แค่อาการชั่วคราวไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก”
“ไม่มีอันตรายถึงชีวิต?” ลั่วหวินโย่วเหลือบตาที่แดงก่ำขึ้นมอง ถามเพื่อความแน่ใจ
“ไม่มี” ไป๋อี้เฮ่าตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่มีแน่นะ”
“ไม่มีแน่นอน”
เมื่อได้คำยืนยันจากไป๋อี้เฮ่า ลั่วเหวินโย่วค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ร่างที่แข็งเกร็งค่อยผ่อนลงมา เอนกายพิงพนัก เพิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
โชคดี... ยังดีที่ไม่เป็อะไร
…
วันนี้จวนของเซวียนอ๋องผู้ซึ่งถูกจักรพรรดิจงเหวินตี้กักบริเวณอยู่มีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยียน
พ่อบ้านเดินเข้าไปต้อนรับฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียน และองค์หญิงห้าที่กำลังลงจากรถม้าที่หน้าจวนด้วยท่าทางนอบน้อม
“สองสามวันนี้ท่านอ๋องของพวกเ้าทำอะไรบ้าง รู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มบ้างหรือไม่ กินดื่มขาดเหลืออะไรหรือเปล่า หาก้าอะไรเพิ่มเติมก็ส่งคนไปที่จวนเปิ่นหวาง น้องแปดออกไปไหนไม่ได้ พวกเ้าก็ตั้งใจปรนนิบัติดูแลหน่อย” เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มอ่อนโยน แลดูเรียบง่ายสง่างาม เดินไปก็เอ่ยถามและกล่าวกำชับกับพ่อบ้าน
“พ่ะย่ะค่ะ ั้แ่ถูกกักบริเวณท่านอ๋องดูไม่ค่อยมีความสุขนัก วันๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ในตำหนักจิ่นเวย ไม่มีใจจะเล่นสนุกอะไร สองวันมานี้ค่อยดูดีหน่อย วันนี้ยังเรียกนางรำในจวนมาแสดงให้ดู ตอนนี้น่าจะกำลังชมการแสดงอยู่ จึงให้บ่าวมาเชิญท่านอ๋องและองค์หญิงเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ รับสั่งเพียงว่าพี่น้องกันเอง ไม่ต้องมีพิธีรีตอง” พ่อบ้านตอบอย่างระวังระไว ยิ้มจนแก้มแทบปริ ทว่าในหัวใจตึงเครียดเป็อย่างยิ่ง
เขาย่อมไม่กล้าบอกว่ายามที่ท่านอ๋องของตนกล่าวเช่นนี้ ท่าทางไม่แยแสสักนิด ท่านอ๋องทรงเป็พี่น้องกัน แต่ตนเองเป็แค่บ่าวเล็กๆ อย่าเห็นว่าฉู่อ๋องเป็คนพูดง่าย หากลุโทสะขึ้นมา ผู้ดูแลจวนชั้นนอกเช่นเขาหรือจะเอาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นด้านข้างยังมีองค์หญิงห้าผู้ที่ถูกประคบประหงมจนมีนิสัยเอาแต่ใจตนเองอยู่ด้วย
นั่นเป็เ้านายที่ไม่อาจล่วงเกินได้พระองค์หนึ่ง
“น้องแปดชมละครครึกครื้นอีกแล้ว ไม่กลัวว่าเสด็จพ่อรู้เข้าจะกริ้วอีกหรือไงกันนะ” เฟิงเจวี๋ยเสวียนขมวดคิ้ว แม้ว่าริมฝีปากยังคงทอยิ้ม แต่สีหน้าดูไม่พอใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ก็อย่าตำหนิพี่แปดเลย นิสัยพี่แปดรักสนุกไม่ชอบอยู่นิ่ง หากเขาสงบสติอารมณ์ในการทำสิ่งต่างๆ ได้จริง ก็คงไม่ถูกเสด็จพ่อลงโทษหรอกเพคะ แต่เสด็จพ่อก็ทรงลำเอียงนัก กลัวว่าเขาอยู่แต่ในจวนจะอึดอัด จึงให้พี่ใหญ่มาเยี่ยมเยียน แต่ข้าน่ะ รู้อยู่แล้วว่าพี่แปดไม่อนาทรร้อนใจอันใดหรอก ดูสิ ข้าทายถูกใช่ไหมเล่า แต่ก็ดี ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี” องค์หญิงห้าช้อนตาขึ้น ผลิยิ้มเบ่งบาน สายตามองสำรวจไปรอบๆ
กว่านางจะออกจากวังได้แต่ละครั้งไม่ง่าย ครานี้อ้างว่ามาเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของพี่ใหญ่กับพี่แปดจึงได้รับอนุญาต แต่ถึงอย่างไรนางก็มีความคิดแบบเด็กสาว ชอบความสนุกคึกคัก ชั่วพริบตาสีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
เสียงมโหรีซือจู๋[1] ดังทอดมาพร้อมกับเสียงขับร้องแว่วหวานของสตรี แสดงว่าที่นั่นคือเรือนจิ่นเวยที่พ่อบ้านเอ่ยถึงกระมัง ได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนั้นเพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เฟิงเจวี๋ยหร่านชอบที่นั่นเพราะเป็อาคารที่สูงพอ สามารถชมทิวทัศน์ในเมืองหลวงยามค่ำคืนได้ อีกทั้งยังกว้างใหญ่ ชั้นล่างยังสามารถตั้งโต๊ะได้อีกหลายสิบตัว สามารถตั้งวงดนตรีดีดสีตีเป่า นับว่าเป็สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการกินดื่มหาความสำราญเป็อย่างดี
สมกับเป็องค์ชายเ้าสำราญโดยแท้!
“น้องแปดก็โตแล้ว ไม่ควรเอาแต่กินดื่มร้องเล่นไปวันๆ ไม่ทำการทำงานเช่นนี้ ครานี้เสด็จพ่อให้พวกเรามาดูน้องแปดว่าอ่านตำราหรือไม่ แต่หากเป็เช่นเ้าว่า เสด็จพ่อกักบริเวณเขาไปก็เปล่าประโยชน์ เดี๋ยวก็ทำให้เสด็จพ่อกริ้วอีก” เฟิงเจวี๋ยเสวียนถอนใจเฮือกคล้ายรู้สึกกลุ้มใจแทนเฟิงเจวี๋ยหร่าน แสดงออกถึงการเป็พี่ชายแสนดีที่คิดเพื่อน้องชายของตนเอง
องค์หญิงห้าที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็แอบหันไปเบ้ปาก
แม้พวกเขาจะเป็พี่ชายน้องสาว แต่สิ่งที่แสดงออกในยามนี้กลับดูไม่เหมือนอยู่ฝ่ายเดียวกัน
องค์หญิงห้าเองย่อมไม่มีความคิดอื่นใด แต่นางเป็พระราชธิดาของฮองเฮา ดังนั้นก็ย่อมมีความคิดจิตใจเช่นเดียวกับพระมารดาอยู่แล้ว ฮองเฮาทรงให้การสนับสนุนเยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ย เยี่ยนอ๋องขาดพระมารดา ฮองเฮาไม่มีพระโอรส อีกทั้งยังเป็สายเืในตระกูลของตนเอง ดังนั้นจึงทรงเลี้ยงเยี่ยนอ๋องไว้ข้างกาย ทุ่มเทจิตใจทำเพื่อเขาทั้งสิ้น แม้ภายนอกจะกล่าวกันว่าเยี่ยนอ๋องใฝ่ศึกษาแต่การอักษร กวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง ไม่มีใจหมายต่อราชบัลลังก์
แต่แท้จริงแล้ว เยี่ยนอ๋องก็มีชื่อเสียงในกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น ในขณะเรียบเรียงบันทึกประวัติศาสตร์แห่งแคว้นได้ผสมผสานแิของขงจื้อไว้ทุกด้าน ผลงานของเขามีชื่อเสียงโด่งดังและมีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง ดังนั้นขุนนางมากมายในราชสำนักจึงมององค์ชายสามในแง่ดี ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลฝั่งมารดาของฮองเฮา และยังมีฮองเฮาหนุนหลัง ทำให้องค์ชายสามพระองค์นี้มีโอกาสในราชบัลลังก์อย่างไร้ขีดจำกัด
องค์หญิงห้าย่อมยืนอยู่ข้างพระมารดาของตนเองและอยู่ฝ่ายเดียวกับเยี่ยนอ๋อง เมื่อตรองดูแล้ว วันนี้จักรพรรดิจงเหวินตี้ให้พวกนางมาสอดส่องเฟิงเจวี๋ยหร่านว่ายอมเชื่อฟังอ่านตำราหรือไม่ แต่ความจริงที่เห็นก็ทำให้คนไร้วาจาอย่างยิ่ง
แต่ละคนล้วนมีความคิดเป็ของตนเอง ยากที่จะชี้นำให้กระทำไปในทำนองเดียวกันได้ แม้ว่าต่อหน้าพวกเขาจะแสดงเป็พี่ชายน้องชายที่เคารพรักใคร่ หรือเป็พี่ชายน้องสาวที่มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงเป็เช่นไร
ก็เหมือนกับเฟิงเจวี๋ยเสวียนในยามนี้ที่แสดงท่าว่ากำลังกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเฟิงเจวี๋ยหร่าน องค์หญิงห้าจึงแอบหันไปเบ้ปากอย่างรู้สึกหมั่นไส้ แต่กลับเอ่ยปากอย่างซุกซน
“พี่ใหญ่อย่าไปกล่าวโทษพี่แปดเลยเพคะ ดูไปแล้วพี่แปดก็เป็คนน่าสงสาร เพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็ถูกเสด็จพ่อตำหนิยกใหญ่ ยามนี้อยู่ในจวนของตนเองแล้วแท้ๆ เสด็จพ่อก็ยังส่งพวกเรามาจับผิด เสด็จพ่อก็จริงๆ เลย แม้ว่าพี่แปดจะมีนิสัยโลดโผนไปบ้าง ก็ไม่น่าจะไปบังคับเขาเสียทุกอย่าง ยิ่งบังคับก็ยิ่งต่อต้าน แต่ข้าก็ชอบพี่แปดที่เป็แบบนี้ ข้ากำลังขาดเพื่อนเล่นอยู่พอดี คงต้องขอเสด็จพ่อมาเที่ยวเล่นกับพี่แปดบ้างแล้ว”
นี่คือการดึงเฟิงเจวี๋ยหร่านมาเข้าพวกด้วยเช่นนั้นหรือ?
แววตาอ่อนโยนของเฟิงเจวี๋ยเสวียนนิ่งลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็แสร้งพยักหน้าคล้อยตาม แล้วหัวเราะกล่าวว่า “ความคิดของน้องหญิงห้าไม่เลว พี่ใหญ่ก็คิดเช่นนั้น แต่เกรงว่าเสด็จพ่อจะไม่เห็นด้วยน่ะสิ แค่น้องแปดคนเดียวก็ทำให้ทรงปวดพระเศียรแล้ว หากน้องแปดทำให้น้องหญิงห้าเสียคนไปด้วย เสด็จพ่อก็คงกริ้วจัดอาละวาดตำหนักพังพินาศเป็แน่ น้องแปดไม่กลับวังได้ แต่น้องหญิงห้าไม่อาจไม่กลับ ถึงเวลาไม่เพียงแต่จะถูกดุ อาจจะถูกกักบริเวณไปด้วยอีกคน”
“ถึงเวลานั้น... พี่ใหญ่ก็จงจำไว้ว่าต้องช่วยข้าด้วย”
“ได้ หากน้องหญิงห้าตกที่นั่งลำบาก พี่ใหญ่ต้องช่วยเ้าแน่นอน”
สองพี่น้องคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมราวกับว่าหัวใจไม่มีสิ่งใดกั้นกลาง เดินตามพ่อบ้านผ่านระเบียงคดและูเาจำลอง เสียงมโหรีประโคมขึ้นอีก ยังดีที่นอกจากเสียงดนตรีก็ไม่มีเสียงอื่นๆ อีก เห็นได้ชัดว่าข้างในมิได้ยุ่งวุ่นวายเหมือนที่จินตนาการไว้ เฟิงเจวี๋ยเสวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมายิ้ม
ด้านหลังกำแพงเป็เขตที่ตั้งเรือนจิ่นเวยซึ่งครองพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนของจวนอ๋อง เมื่อมองจากไกลๆ สถานที่แห่งนี้ดูไม่เหมือนจวนสามัญทั่วไป ด้านข้างเป็สระบัว แม้จะเข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว แต่บัวในสระกลับยังคงชูช่อสีชมพูบานสะพรั่ง ใบบัวสีเขียวลอยเป็แพอยู่เหนือน้ำ ให้ความรู้สึกคล้ายปทุมเดือนคิมหันต์ สายลมพัดพากลิ่นหอมเย็นฟุ้งกำจาย ให้ความรู้สึกสดชื่นซาบซ่าน ดึงดูดใจยิ่ง
ศาลาที่อยู่กลางสระบงกชมิใช่เป็เพียงสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ เหมือนทั่วไป แต่เป็เวทีใหญ่หลังหนึ่งที่กั้นด้วยม่านแพรโปร่ง มองเห็นสตรีสวมอาภรณ์พลิ้วบางเบากำลังประโคมมโหรีและขับร้องอยู่ด้านใน น้ำเสียงใสกังวานประดุจธารน้ำไหลดังมาจากบนแท่นสูง แม้มิได้เข้าไปใกล้ก็ยังััถึงเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
เรือนจิ่นเวยที่แท้จริงตั้งอยู่อีกด้าน มีหอสูงตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่อาคารขนาดใหญ่ กล่าวกันว่าบนยอดหอสามารถมองเห็นแสงโคมของบ้านเรืองผู้คนในเมืองหลวงยามราตรีได้ชัดเจน นี่เป็สาเหตุที่ทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านชื่นชอบหอสูงหลังนี้ แต่เขากลับให้คนไปปล่อยข่าวว่าสาเหตุที่เขาชอบหอสูงหลังนี้ เพราะมีวันหนึ่งบ้านสกุลโม่เกิดเพลิงไหม้ ท่านอ๋องขึ้นไป้าชมเหตุการณ์แล้วเกิดชอบใจ จึงสั่งให้บ่าวไพร่ขนของในเรือนตนย้ายมาอยู่ที่นี่
คำพูดนี้แม้จะฟังดูไร้สาระไปบ้าง แต่คนที่คุ้นเคยกับเฟิงเจวี๋ยหร่านจะทราบเหตุผลที่แท้จริงซึ่งอยู่เื้ั ยังจะมีใครว่างมากจนมีเวลาไร้สาระ นั่งมองไฟไหม้บ้านผู้อื่นอย่างสำราญใจราวกับนั่งชมทิวทัศน์เหมือนเขาบ้างเล่า?
นอกจากเซวียนอ๋องผู้ไม่ใฝ่ศึกษา ไร้วิชาความรู้ผู้นี้แล้ว ก็คงไม่มีใครทำเื่โง่งมเช่นนี้เป็แน่
แต่ไม่ว่าจะเป็เื่โง่งมจริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้าวิจารณ์องค์ชายแปดผู้เป็ที่โปรดปรานพระองค์นี้ โดยมากจะแอบหัวเราะเยาะหยันอยู่ในใจเสียมากว่า
แม้จะรู้ว่าที่นี่เป็ตำหนักส่วนตัวของเฟิงเจวี๋ยหร่าน แต่เฟิงเจวี๋ยเสวียนและองค์หญิงห้าก็ยังตื่นตะลึงกับฝีไม้ลายมืออันอลังการของเขา
……………………………………………………………………………………........................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] วงมโหรีซือจู๋ คือวงดนตรีพื้นบ้านที่ใช้เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่ หรือเส้นสายของเครื่องดนตรีทำจาก เส้นไหม เช่น เอ้อร์หู (ซอชนิดหนึ่ง) ผีผา และขลุ่ย ท่วงทำนองดนตรีสงบเยือกเย็น ฟังรื่นหู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้