เจิ้นหนานอ๋องมองลูกเขยของตน อันที่จริงคนทั้งสองตรงหน้านี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะไปกันได้ดี เพราะในสายตาของเขา ตอนนั้นเป็ชายาของตนคนนั้นที่ทำบาป ถึงกับกล้าหลอกเด็กหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำมาเป็เขย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเื่ที่ลูกเขยคนนี้เลี้ยงสตรีไว้ด้านนอกจะปกปิดได้อย่างมิดชิด แต่ก็ไม่อาจปิดบังเขาได้ และถึงแม้สตรีนางนั้นจะไม่มีลูก แต่เื่นี้ก็แสดงให้เขาเห็นว่า ลูกเขยและลูกสาวไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
“ต่อให้จะมีคนใส่ร้ายนาง แต่เื่ระหว่างนางกับชิวเสียงก็เกิดขึ้นจริง เ้าสามารถไม่ถือสาเื่เหล่านี้ได้จริงๆ หรือ? ” เจิ้นหนานอ๋องมองหลินหรงเว่ย ถามเรียบๆ
หลินหรงเว่ยมิคาดว่าพ่อตาตนจะเอ่ยถามเช่นนี้ แล้วเขาเล่าสามารถไม่ถือสาเื่เหล่านี้ได้จริงๆ น่ะหรือ? คำตอบในใจคือต้องถือสาอยู่แล้ว เพียงแต่หลายปีมานี้ เขาถูกควบคุมอยู่ตลอด จึงไม่อาจแสดงความโกรธ หรือความตัดพ้อใดๆ ออกมาได้
“เสด็จพ่อ ตอนนั้นที่ข้าแต่งกับเหวินเหมยก็ได้รู้เื่ราวก่อนหน้าของนางแล้ว ในเมื่อตอนนั้นข้าสามารถยอมรับเื่ที่นางแต่งงานเป็ครั้งที่สองได้ ในวันนี้ก็ย่อมสามารถยอมรับเื่ที่เกิดขึ้นนี้ได้” หลินหรงเว่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉยยิ่ง ราวกับว่าดอกซิ่งแดงออกกำแพง [1] ที่ถูกจับได้ไม่ใช่ภรรยาของตนก็ไม่ปาน
เจิ้นหนานอ๋องหันกลับมามองคนทั้งสอง พูดว่า “เื่นี้ไม่ใช่ว่าข้าคิดอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งก็ยุ่งได้ การแต่งงานระหว่างชิวเสียงและซินเอ๋อร์เป็ฝ่าาที่พระราชทานสมรสให้ด้วยพระองค์เองที่ลานล่าสัตว์ ตอนนี้มาเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นก็เท่ากับเป็การหลอกหลวงเบื้องสูง” พูดถึงตรงนี้ เจิ้นหนานอ๋องก็สูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายคล้ายจะแก่ลงไปกว่าสิบปีในทันที แม้แต่ผมที่เดิมทีก็ขาวอยู่แล้วยังดูราวกับว่า เพียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งกลับจะยิ่งขาวเพิ่มขึ้นกว่าเก่า
ตอนนี้เขานึกเสียใจแล้วจริงๆ เสียใจที่พาคนมายังเมืองหลวงด้วย หากไม่พาจางเหวินเหมยมา ไม่แน่ยามที่ลูกชายได้พบเขาก็อาจไม่รู้สึกต่อต้านเพียงนั้นก็เป็ได้ หากไม่ใช่เพราะพาคนมา หลินหลานถิงก็คงจะไม่เข้าปะทะกับหลานสาวอวิ๋นซีทันทีที่เข้ามาเมืองหลวง อย่างน้อยๆ พวกเขาก็คงไม่ต้องผูกพยาบาทกัน
คำว่า หาก มีมากเพียงนี้ ทำให้เจิ้นหนานอ๋องที่เดิมทีพระเพลิงแผดเผาทะลวงใจเสียจนปราณภายในไหลวนสับสนไม่หยุด ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกขมวดแน่นขึ้น ไม่ระวังเพียงนิด ชายชราก็ถึงกับกระอักเืสดๆ ออกมาอีกคำ ครั้งนี้ แม้แต่จางเหวินเหมยก็ยังใ “เสด็จพ่อ ท่านเป็อะไรไป? ”
หลินหรงเว่ยพูด “รีบพาเสด็จพ่อกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขารู้ ขอแค่ยังมีเจิ้นหนานอ๋องอยู่ ต่อให้เสี้ยวเหวินตี้จะกริ้วเพียงใด ก็ย่อมไม่มีทางปะาจางเหวินเหมยแน่ ซึ่งคุณค่ายามมีชีวิตอยู่ของจางเหวินเหมยนับว่ามีมากกว่ายามตาย ดังนั้น นางจะตายไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากที่ตามหมอมาตรวจอาการ ทุกคนก็ได้รู้ว่า ครั้นเจิ้นหนานอ๋องยังหนุ่มแน่น คนเคยได้รับาเ็รุนแรงมาจากในาส่งผลให้มีโรคเก่าๆ ติดตัว ซ้ำร้ายยังต้องมาเจอเื่ที่ชวนให้ความโกรธทะลวงหัวใจ ตอนนี้เขาจึงไม่อาจทนรับการกระตุ้นใดๆ ได้อีกแล้ว ทำได้แค่ต้องรักษาตัวอย่างสงบ และจะให้เหน็ดเหนื่อยเกินไปก็ไม่ได้ มิฉะนั้น ต่อให้จะเป็เง็กเซียนก็ไม่อาจช่วยเหลือเจิ้นหนานอ๋องได้
ทันทีที่จางเหวินเหมยได้ยินก็หันมองไปยังหลินหรงเว่ยที่ยืนอยู่ข้างกาย “เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้ป่วยหนักเพียงนี้” ในใจของนาง พระบิดาเป็ผู้ยิ่งใหญ่เสมอมา เขาเป็ถึงอ๋องแห่งแดนใต้ เป็วีรบุรุษที่อยู่ค้ำฟ้าเหนือหัวของพวกนาง
ทว่า เป็เพราะเื่ที่นางทำ วีรบุรุษผู้นี้จึงได้ล้มพับไป
หลินหรงเว่ยมองเจิ้นหนานอ๋องที่ยังคงสลบไสล ก่อนจะลากตัวภรรยาออกไปด้านนอก และมุ่งหน้ากลับไปยังห้องของพวกตน เมื่อถึงห้องพัก หลินหรงเว่ยถึงได้เอ่ยคำ “คำพูดของหมอ เ้าเองก็ได้ยินแล้ว ต่อให้เสด็จพ่อเ้าจะฟื้นฟูร่างกายกลับมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทนรับกับความเหน็ดเหนื่อยได้อีก หากอยากให้เขามีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้นอีกหน่อย มีแต่ต้องวางอำนาจในมือลงเท่านั้น เพียงแต่ยามนี้จวนเจิ้นหนานอ๋องเรายังมิได้แต่งตั้งซื่อจื่อ”
จางเหวินเหมยมองสามีด้วยสายตาเคลือบแคลง “เ้าหมายความว่า นี่คือโอกาสของเรา? ”
หลินหรงเว่ยพยักหน้า ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สตรีนางนี้ก็ยังไม่ถึงกับเป็เ้าโง่โดยแท้จริง เขากล่าวแนะ “หากเป็เมื่อก่อน พวกเรายังไม่ต้องกังวล อย่างไรเสีย เหวินอิงก็ไม่มีทางแย่งตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องกับเรา แต่ตอนนี้น้องชายของเ้าคนนั้นกลับมาแล้ว พวกเราไม่อาจไม่ป้องกันได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้เปรียบกว่าเรามาก”
เมื่อจางเหวินเหมยได้ยินถึงตรงนี้ ท่าทีที่มีก็สงบนิ่งลง ในใจมีแต่ปัญหาเื่ตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องที่สามีพูดถึง ถึงแม้สามีของนางจะเป็เขยแต่งเข้า แต่นางก็รู้มาโดยตลอดว่า หลายปีมานี้บิดาไม่เคยคิดจะยกตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องนี้ให้สามีนางเป็ผู้สืบทอด เขาเอาแต่คิดอยู่ทุกวันทุกคืนเื่ลูกชายที่หายไป ด้วยหวังจะตามคนกลับมาให้ได้ ซึ่งตอนนี้จางเฉินปินก็กลับมาแล้ว เื่มากมายย่อมไม่เหมือนดังที่นางเคยคิดเมื่อในอดีต ทั้งยังไม่สามารถปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างค่อยเป็ค่อยไปได้อีกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ นางก็สูดลมหายใจเข้าลึก “เก็บจางเฉินปินไว้ไม่ได้ ขอแค่เขาตาย ความเสี่ยงนี้ก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป”
“ต่อให้จางเฉินปินตายไปแล้ว แต่เ้าก็อย่าได้ลืมเสียเล่า เขายังมีหลานชายอีกสองคน แม้หนึ่งในนั้นจะได้เป็ซื่อจื่อของจวนหนิงอ๋อง แต่ก็ยังมีอยู่อีกคน อีกทั้ง ฝ่าาเองก็มีดำริที่อยากจะริบอำนาจทางการทหารกลับไปอยู่ตลอด นี่เป็โอกาสที่ดียิ่ง
หลินหรงเว่ยดึงมือภรรยาเข้ามา พูดเสียงเบา “ภรรยา จางเฉินปินเก็บไว้ไม่ได้ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาเองก็เก็บไว้ไม่ได้เช่นกัน”
จางเหวินเหมยขบคิดลึกซึ้งไปชั่วครู่ มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น “พอดีเลย ตอนนี้อวิ๋นซีไม่อยู่ในเมืองหลวง เพราะนางมัวแต่อยู่ในเขตโรคระบาด หนิงอ๋องเองก็อยู่กับนางด้วย คนทั้งสองต่างไม่อยู่ในเมืองหลวงทั้งคู่ การคุ้มกันของจวนหนิงอ๋องย่อมไม่รัดกุมเหมือนแต่ก่อน”
์เข้าข้างข้าจริงๆ
นางเอื้อมมือออกไปกอดเอวหลินหรงเว่ย ถามเสียงต่ำ “เ้าไม่ถือสาเื่ที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับชิวเสียงจริงหรือ สามี ข้าถูกคนวางแผนใส่ร้ายจริงๆ นะ” บุรุษผู้นี้อยู่ข้างกายนางมายี่สิบกว่าปี แต่นางก็ไม่เคยคิดจะปล่อยเขาไป
หลินหรงเว่ยมองสตรีที่อิงแอบอยู่ในอ้อมแขน ยิ้มน้อยๆ “โง่นัก ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือไร ยามแรกรุ่นเป็สามีภรรยา แก่ตัวมาย่อมต้องอยู่เคียงข้าง แม้พวกเราจะมีลูกสาวด้วยกันถึงสามคนแล้ว แต่หากเป็ไปได้ ข้าก็ยังหวังจะให้เ้าให้กำเนิดลูกชายอีกสักสองคนให้ข้า ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะรังเกียจเ้าได้เยี่ยงไร เพียงแต่ ครั้งหน้าเ้าจะไปไหนมาไหนเพียงลำพังไม่ได้อีกแล้ว หากว่า เ้า้าจริงๆ ก็สามารถบอกข้าได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็เชยคางจางเหวินเหมยขึ้น แล้วจูบลงไป
ตอนนี้จางเหวินเหมยถูกหลินหรงเว่ยจุมพิตจนหาทิศทางไม่เจอ แล้วจะไปรู้สึกถึงความผิดปกติในประโยคสุดท้ายของเขาได้อย่างไร นางทำเพียงกอดคอเขาอย่างแแ่ เอาแต่ควานหาความสุขสมให้มากขึ้น
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูฟังเสียงที่ลอดออกมาจากในห้อง ก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ ด้วยรู้สึกไม่คุ้มแทนเจิ้นหนานอ๋องอยู่ในใจ คนเพิ่งจะกระอักเืออกมาเพราะเื่ฉาวโฉ่ของจางเหวินเหมยแท้ๆ แต่จางเหวินเหมยผู้นี้ เมื่อกลับมาถึงห้องของตนก็ยังคงสามารถกระทำเื่น่าอากับสามีได้อยู่อีก
นางเป็สาวใช้ของตำหนักสิงกงแห่งนี้ย่อมเคยมีโอกาสได้เห็นเื่ราวต่างๆ มากมาย แต่คนที่เ็าไร้น้ำใจเยี่ยงจางเหวินเหมยนี้ นางเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบิดาของชายาหนิงอ๋องเป็ลูกชายของเจิ้นหนานอ๋อง เช่นนั้นเื่ที่เจิ้นหนานอ๋องล้มป่วยนี้ นางควรจะบอกเขาหรือไม่?
คิดถึงตรงนี้ นางก็ไม่รอช้ารีบหาพี่หญิงน้องหญิงที่ค่อนข้างสนิทกับตนมาคนหนึ่ง ให้อีกฝ่ายช่วยอยู่เฝ้าที่แห่งนี้แทนนางชั่วครู่ จากนั้นจึงออกไปจากตำหนักสิงกงผ่านประตูหลัง และมุ่งหน้าไปยังจวนหนิงอ๋อง แม้นางเองจะยังไม่รู้ว่า เหตุใดตนถึงต้องออกหน้าทำเื่เช่นนี้ด้วย หรือบางทีอาจเป็เพราะนางไม่ชอบใจในกระทำของจางเหวินเหมย หรือบางทีอาจเป็เพราะนางเคารพเจิ้นหนานอ๋องที่เป็ดังวีรบุรุษในใต้หล้า ไม่อยากให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ด้วยเหตุทั้งปวงที่ยังไม่แน่ชัด นางไม่ได้คิดอะไรให้มากมายอีก และได้แต่มุ่งหน้าไปยังจวนหนิงอ๋อง ด้วยหวังว่า การกระทำของตนจะสามารถช่วยเหลือเจิ้นหนานอ๋องไว้ได้
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ดอกซิ่งแดงออกกำแพง(红杏出墙)หมายถึง สตรีที่แต่งงานแล้วไปคบชู้ นอกใจสามีตนเอง