ดูเหมือนหลิวหรูเยียนจะรู้ว่าหยวนจุนกำลังคิดอะไร นางจึงส่ายหัวเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “เจียงเฮ่อเป็อนุชนรุ่นหลังคนแรกของตระกูลเจียง เขาเก็บตัวหนี่งปีกว่าจะผ่านวงแหวนเล็กเข้าสู่วงแหวนใหญ่ ฝีมือไม่ค่อยเท่าไร ส่วนมู่เฟิงนั้นเขามีวงแหวนใหญ่ขั้นห้า แต่หลายปีมานี้ไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ดังนั้นการเลือกเขาจึงมีความเสี่ยง”
“สามปีก่อน มู่เฟิงเคยเป็ตัวแทนของเมืองเทียนอวิ่นในการเข้าร่วมการประลอง ลงครั้งแรกเขาก็พ่ายแพ้ มีเพียงพี่ใหญ่ผู้เดียวที่ยืนหยัดอยู่ได้ สามปีให้หลัง ข้าสามารถตามทันพี่ใหญ่ได้สำเร็จ และครั้งนี้ข้ามั่นใจว่าต้องชนะอย่างแน่นอน!”
“การให้เ้าเข้าร่วมการประลอง แม้จะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่า! หากมิใช่เพราะข้ากับพี่ใหญ่เข้าสู่ระดับวงแหวนใหญ่ขั้นห้าซึ่งมีโอกาสสูงที่จะชนะ พ่อข้าคงไม่ยอมให้เ้าเป็ตัวแทนเมืองเทียนอวิ่นในการเข้าร่วมการประลอง”
“นี่เป็เื่ใหญ่ ประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย สามวันให้หลังเราจะไปยังูเาสองแดน หากเ้า้าสิ่งเสริมการบ่มเพาะเพิ่มเติม สามารถเอ่ยปากบอกข้าได้เลย”
เมื่อหลิวหรูเยียนพูดเื่ของตนเองจบ นางก็ไม่เปิดโอกาสให้หยวนจุนได้พูดอะไรต่อ
ในเมื่อหลิวหรูเยียนเสนอเงื่อนไขข้อสองนี้มาแล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องทำตาม! ถึงอย่างไรเื่นี้ก็ไม่ขัดต่อข้อตกลงแรกของเขาอยู่แล้ว
กลางดึก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว หยวนจุนนั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือฝึกฝนเจ็ดหฤทัยสูตรพร้อมกับเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก
เมื่อครั้งปราบเพลิงอัคคีกลืน์ พลังโอสถที่สะสมอยู่ภายในได้ถูกกลั่นออกไปจนหมด ดังนั้นหากเขารีบร้อนเชื่อมประสานดาวอี้เสอและดูดซับพลังปราณในจวนตระกูลหลิว อาจทำให้เป็ที่สนใจมากเกินไป
อีกประการหนึ่ง หลิวหรูเยียนยังไม่รู้ว่าเขาสามารถเชื่อมประสานกับดวงดาวโบราณที่มีพลังอย่างดาวอี้เสอได้!
หลังจากรวมพลังจิตอยู่ค่อนคืน ทำให้เขาได้พลังกลับมาไม่น้อย
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำ หยวนจุนจึงเดินไปรอบๆ จวนตระกูลหลิวตามลำพัง ครั้นทหารยามของตระกูลหลิวเห็นก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วเดินจากไป มิได้บังคับให้เขาหยุด
“ข้าเป็คนนอกแต่กลับเดินในจวนตระกูลหลิวได้ตามใจชอบ โดยที่ทหารยามพวกนั้นไม่ได้ว่าอะไร! เห็นได้ชัดว่าั้แ่หลิวหรูเยียนทักทายข้า พวกเขาก็วางตัวดีขึ้นมาเชียว เหอะเหอะ”
หยวนจุนผิวปากพลางนำมือไปวางบนต้นคอแล้วเดินต่อ ห้องหรูหราด้านซ้ายมือเงียบสงบ น่าจะไม่มีคนอยู่ แต่ห้องมุมด้านใน เขาเหมือนจะได้ยินเสียงหายใจหอบแปลกๆ
เสียงนั้นเป็เสียงที่ทำให้บุรุษทุกคนต้องเขินอาย หยวนจุนจึงหันหลังออกมา แต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หลิวหรูเยียน? การประลองของทั้งสองเมืองใกล้เข้ามาแล้ว นางยังมีใจทำเื่พวกนี้อีก...”
หยวนจุนส่ายหัว คิดว่าเื่นี้มิใช่เื่ของเขา ไม่ว่าหลิวหรูเยียนจะทำสิ่งใด นั่นถือเป็เื่ของนาง
แต่หูของเขาบังเอิญได้ยิน จะมิให้จินตนาการได้อย่างไร ถึงกระนั้น ยังมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ในห้องเดียวกับหลิวหรูเยียนอย่างนั้นหรือ?
“นางคงมิได้...ชอบสตรีหรอกนะ?” เมื่อคิดถึงเื่นี้ หยวนจุนขมวดคิ้วแน่นแล้วพึมพำว่า “ข้าทำข้อตกลงกับนางแต่ยังหาจุดอ่อนของนางมิได้ ตอนนี้ถือเป็โอกาสที่ดีแล้ว”
“ตราบใดที่สามารถยืนยันได้ ข้าก็มิต้องกลัวนางข่มขู่อีกต่อไป!”
คิดได้ดังนั้นหยวนจุนจึงกลั้นหายใจ ก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้ เสียงนั้นก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หัวใจเต้นเร็วและหายใจถี่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“คุณหนู ข้าเปลี่ยนแส้เฆี่ยนแล้วนะเ้าคะ!”
เสียงของหญิงรับใช้ที่แฝงไปด้วยตัณหาราคะดังมาจากหน้าต่าง นางกำลังเรียกหลิวหรูเยียน ทำให้หยวนจุนถึงกับขนลุก!
เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า เสียงในห้องได้เงียบลงอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นประตูก็ถูกกระแทกออก ผมของหลิวหรูเยียนปลิวไสว ร่างกายถูกคลุมด้วยผ้าแพรสีแดงเพลิง นางจ้องไปที่หยวนจุนด้วยสายตาไม่พอใจ
“กล้าแอบดูสตรีกำลังมีความสุข รนหาที่ตาย!”
มือเรียวเกือบพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคือหยวนจุน นางจึงรีบเก็บพลังเคลื่อนท่าเก้าสยบ ก่อนจะขยับร่างอรชรแล้วก้าวเดินลงมาด้วยเท้าเรียวที่รองรับร่างสูง
ทั้งสองยืนนิ่งแล้วมองหน้ากัน หยวนจุนทำตัวไม่ถูก ส่วนหลิวหรูเยียนก็เขินอายหน้าแดงจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“เมื่อครู่นี้...ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย” หยวนจุนชี้ไปที่ใบหูของตนเองแล้วหันหลังเดินจากไป
หลิวหรูเยียนโล่งใจ แต่จู่ๆ ก็คิดว่าเื่นี้คงไม่ได้ง่ายอย่างที่หยวนจุนกล่าวแน่นอน นางที่คลุมเพียงผ้าแพรสีแดงเพลิงจึงรีบวิ่งตามหยวนจุนไปด้วยความโมโห
หากเื่นี้แพร่ไปถึงคนในตระกูลหลิว ถึงพี่ใหญ่กับท่านพ่อ ไปจนถึงนักยุทธ์และชาวเมืองเทียนอวิ่น หน้าของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลผู้นำอันดับหนึ่งของเมืองจะนำไปไว้ที่ใด?
ดังนั้นนางจึงต้องปิดปากหยวนจุนก่อนที่ความลับนี้จะแพร่ออกไป! แม้ต้องฆ่าเขาก็ตาม!
“หยวนจุน เ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างแสดงปราณดาราภายในออกมาจนกระจายเป็วงกว้างทั่วจวนตระกูลหลิว ทหารยามตระกูลหลิวที่ไม่รู้เื่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับชะงัก
พวกเขามองหลิวหรูเยียนด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะเพลิดเพลินกับภาพตรงหน้า และตกอยู่ในภวังค์จนทำให้ลืมสิ่งรอบข้าง
“ยังยืนเซ่ออยู่อีก ไปจับเขาให้ข้าสิ!”
ตึกตึกตึก
ทหารยามตระกูลหลิวตอบสนองทันที พวกเขารีบวิ่งไปทางหยวนจุน ทำให้คืนอันเงียบสงบถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว และทั้งตระกูลหลิวต่างอยู่ในความตื่นใ
“ฟึ่บ”
ร่างของคนสองคนออกมาจากมุมหนึ่ง หยวนจุนวิ่งฝ่าพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถูกแรงในอากาศควบคุม ทำให้เกิดเสียงแตกร้าวที่ดังออกมาจากกระดูกภายในร่างกาย
“ระดับจันทราขั้นห้า!”
การบ่มเพาะที่ทรงพลังเช่นนี้ อย่างน้อยต้องเป็ระดับจันทราขั้นห้า ซึ่งถือเป็ยอดฝีมือในเมืองเทียนอวิ่น และหากหยวนจุนเดาไม่ผิด บุรุษวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนมีเคราผู้นี้ คือพ่อของหลิวหรูเยียน หลิววั่นซาน!
หยวนจุนกระแทกลงบนพื้น ขณะเดียวกันหลิวหรูเยียนก็ก้มหัวต่อหน้าหลิววั่นซานกับหลิวซินไห่
เมื่อเห็นคนทั้งสอง ใบหน้างามของนางก็แดงก่ำ ก่อนจะเรียกพ่อด้วยความเขินอาย
ครั้นหลิววั่นซานมองหลิวหรูเยียนที่คลุมผ้าแพรครึ่งตัว กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขาถึงกับกระตุก ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยท่าทางดุดันว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ เ้าคลุมแค่ผ้าแพรครึ่งตัวออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“หึ!” หลิววั่นซานสะบัดมือ ทำให้ชายเสื้อคลุมยุทธ์เกิดเสียงดังทันที ส่วนทหารยามตระกูลหลิวที่ตามมาภายหลัง พวกเขายืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ไม่กล้าหายใจแรง
หลิวหรูเยียนส่งสายตาให้หยวนจุน บอกเป็นัยว่าห้ามเขาพูดอะไรมิเช่นนั้นจะโดนดี จากนั้นนางจึงวิ่งไปอยู่ข้างหลิวซินไห่ เกาะแขนเขาแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ทันได้คิด พี่ใหญ่ช่วยพูดกับท่านพ่อที อย่าให้ท่านพ่อโกรธเลยนะ”
หลิวซินไห่ยื่นมือไปบีบจมูกนางแล้วกล่าวว่า “ใช้ไม่ได้เลย เ้าเป็สตรี วิ่งออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลังจากนั้นหลิวซินไห่ก็นำเสื้อคลุมยุทธ์ออกมาจากแหวนมิติแล้วสวมบนตัวนาง สายตามองไปที่หยวนจุน ท่าทางเขาดูแปลกไปเล็กน้อย “น้องพี่ เขาคือหยวนจุนที่เ้าพูดถึงใช่หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้