เห็นนางวิ่งกลับไปแล้ว สีหน้าของเฝิงเจี่ยนถึงค่อยๆ เคร่งขรึมลง “ว่ามา”
ผู้เฒ่าหยางที่คุกเข่าตัวตรงอยู่บนพื้นห้อง มีสีหน้าปลงๆ สุดท้ายก็เล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียด เสร็จแล้วจึงเอ่ยขออภัย “คุณชาย เป็เพราะบ่าวที่ไม่รอบคอบ...”
“หากยังมีครั้งต่อไปอีก เ้าก็กลับไปอยู่กับท่านพ่อเถอะ ไม่ต้องติดตามข้าอีกแล้ว”
เฝิงเจี่ยนโบกมือน้อยๆ ตัดบทขอโทษของผู้เฒ่าหยาง ที่น่าแปลกก็คือผู้เฒ่าหยางเองก็ไม่แก้ตัวอีก เขาลุกขึ้นมาแล้วเอนกายลงบนเตียงอย่างเงียบเชียบ
เฝิงเจี่ยนขมวดคิ้วน้อยๆ มองออกไปยังจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง พายุหมุนในดวงตาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น...
อาจเป็เพราะรู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้ว คนสกุลลู่รวมถึงชาวบ้านในหมู่บ้านต่างหลับสนิทกันดีในค่ำคืนนี้ ไก่ตัวผู้ที่ตื่นแต่เช้าต้องขันเรียกอยู่หลายรอบ ถึงจะปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาได้
ส่วนแม่ไก่ก็ร้องบอกให้พวกเขารีบมาปล่อยพวกมันออกไปหาหนอนกินได้แล้ว หมูในเล้าต่างส่งเสียงร้องไม่หยุดเหมือนจะร้องว่าของกินของข้าเล่า
สุนัขที่เฝ้าบ้านมาทั้งคืนนั้นกลับมีคุณธรรมที่สุด เมื่อพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า พวกมันก็เลิกงาน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินกลับไปยังที่นอนของตนเองเงียบๆ โดยไม่ร้องขอรางวัลแต่อย่างใด...
ห้องครัวของแต่ละบ้านมีควันพวยพุ่ง พวกผู้หญิงะโเรียกลูกๆ ให้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเตรียมมาเรียนหนังสือที่สกุลลู่
ส่วนพวกผู้ชายถือเครื่องไม้เครื่องมือลงเขาไป อาศัย่ที่แดดยังไม่ร้อนทำงานให้ได้สักครึ่งชั่วยามก่อน จากนั้นอาหารเช้าสำหรับพวกเขาก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมาจากเพิงทำอาหาร
ส่วนห้องครัวสกุลลู่นั้นเพราะพี่ใหญ่เฝิงและเกาเหรินกลับมาแล้ว เสี่ยวหมี่จึงวุ่นวายเป็อย่างมาก ต่อให้จะเป็แค่อาหารเช้าก็ต้องจัดอย่างใหญ่โต
เมื่ออาหารทุกอย่างถูกจัดวางลงบนโต๊ะ เกาเหรินก็ปรบมือชอบใจ แล้วกินอย่างตะกละตะกรามราวกับยามปกติไม่ได้กินข้าวก็ไม่ปาน
เสี่ยวหมี่ดีดกะโหลกน้อยๆ ของเขาเป็การว่ากล่าวตักเตือน แต่เขาก็ไม่สนใจจนเสี่ยวหมี่รู้สึกขบขัน
ตอนที่ทุกคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะอาหารกันอยู่นั้น พี่รองลู่ก็พาเสี่ยวเอ๋อกลับมา
ก่อนหน้านี้าแของเสี่ยวเอ๋อดีขึ้นมากแล้ว จึงต้องเดินทางไปขอบคุณอาจารย์ของพี่รองลู่ด้วยตนเอง หากไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ นางก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงบ้านสกุลลู่ ต่อให้รอดมาได้ตอนนี้ก็คงยังถูกตามไล่ฆ่าอยู่
อย่างไรเสียที่บ้านก็ไม่มีเื่อะไร เสี่ยวหมี่จึงไม่ห้าม คิดไม่ถึงว่าเมื่อวานจะเกิดเื่เช่นนั้นขึ้น ดังนั้นเสี่ยวหมี่จึงรู้สึกโกรธเคืองพี่รองของนางจริงๆ ทุกครั้งที่้าเขา เขาไม่เคยอยู่ให้เรียกหาเลย
พี่รองลู่ยื่นมือไปหยิบซาลาเปาสีเหลืองทอง กัดเข้าไปคำใหญ่ แล้วเอ่ยเรียกเสี่ยวเอ๋อ “เสี่ยวเอ๋อ มานั่งสิ บ้านข้าชายหญิงไม่แยกกันกินข้าว”
เสี่ยวเอ๋อกวาดสายตามองเสี่ยวหมี่ไปทีหนึ่ง นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้ชายั้แ่เด็ก จึงไม่ใช่คนเ้าเล่ห์มีชั้นเชิงอะไร ยามปกติฟังคำพูดเสียดสีของผู้อื่นออกก็นับว่าไม่เลวแล้ว ก่อนหน้านี้ในที่สุดก็เลือกใช้แผนเรียกความสงสารไปเช่นนั้น กลับถูกเสี่ยวหมี่เปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า
ยามนี้นางเองก็คิดอยากจะเอ่ยขอบคุณเสี่ยวหมี่ แต่ศักดิ์ศรีก็ยังค้ำคอ
เสี่ยวหมี่เองหลายวันมานี้ก็พอจะมองออกแล้วว่าแม่นางคนนี้ก็คือพี่รองฉบับผู้หญิงดีๆ นี่เอง มิน่าเล่าคนทั้งสองถึงเข้ากันได้ดีนัก ส่วนนางเองก็ไม่ใช่คนเ้าคิดเ้าแค้นอะไร นางจึงลากเสี่ยวเอ๋อให้ลงมานั่งด้วยกัน ช่วยตักโจ๊ก หยิบหมั่นโถว คีบกับข้าวให้นาง
ั้แ่ออกจากบ้านมา เสี่ยวเอ๋อก็ไม่ได้นั่งรับประทานอาหารร่วมกับคนมากมายอย่างครื้นเครงเช่นนี้มานานแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกซาบซึ้งจนขอบตาแดงก่ำ
เฝิงเจี่ยนขมวดคิ้วน้อยๆ เขามองเสี่ยวหมี่ด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที่
แต่เสี่ยวหมี่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้เขา เขาจึงไม่เอ่ยอะไรออกมา หันไปสนใจยำสาหร่ายตรงหน้าที่อีกประเดี๋ยวคงจะถูกเกาเหรินแย่งกินไปจนหมดแทน
เกาเหรินกับพี่รองลู่ ‘เด็กน้อย’ สองคนนี้ ทุกครั้งอาหารครึ่งหนึ่งบนโต๊ะก็จะลงไปกองอยู่ในท้องพวกเขา ยามนี้มีซูอีเพิ่มขึ้นมาอีกคน กับข้าวบนโต๊ะอาหารสกุลลู่จึงเรียกได้ว่าถูกเขมือบหายไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหมี่เตือนตัวเองว่าครั้งหน้าจะต้องบอกท่านป้าเจียงให้ทำอาหารให้มากขึ้นหน่อย จากนั้นมือของนางก็เก็บถ้วยชามอย่างว่องไว กลับเห็นว่าเสี่ยวเอ๋อมือไวกว่านางมาก
แต่ขณะเดียวกันถ้วยชามพวกนั้นก็ร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็วมากเช่นกัน
“เพล้ง”
เสี่ยวหมี่เห็นชามกระเบื้องเคลือบสีขาวลายดอกกล้วยไม้กลิ้งหล่นจากโต๊ะลงไปที่เก้าอี้ จากนั้นก็แตกออกเป็สี่ส่วนบนพื้น นางปวดใจจนตาแทบจะถลนออกมา
“ชามของข้า...”
“ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ข้าจะชดใช้ให้ ข้าก็แค่อยากจะช่วยเท่านั้น...”
เสี่ยวเอ๋อใมาก นางรีบคุกเข่าลงไปกวาดเศษจานพวกนั้นไปกองไว้รวมกัน ราวกับว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้ชามพวกนั้นกลับคืนสภาพเดิมได้
สุดท้าย เศษกระเบื้องพวกนั้นก็เกือบจะบาดมือนาง พี่รองลู่จึงเข้ามาห้าม “ไม่ต้องเก็บแล้ว ก็แค่ชามกระเบื้องสองชามเท่านั้นเอง ที่บ้านมีตั้งเยอะแยะ หรือถ้าอย่างไร ให้น้องข้าเข้าเมืองไปซื้อมาก็ใช้ได้แล้ว”
เสี่ยวหมี่กลอกตา ยามนี้นางไม่อยากเป็ ‘น้องข้า’ ที่เขาพูดถึงสักนิด นางอยากจะะโด่าเขาจริงๆ
“เอาล่ะ วันหน้างานเช่นนี้ก็ให้ข้าเป็คนทำเองเถอะ หรือต่อให้จะอย่างไรก็ยังมีท่านป้าเจียงคอยช่วยอยู่ ไม่ต้องถึงมือเ้า...”
เสี่ยวหมี่ค่อยๆ ประคองจานชามที่เหลืออยู่เดินออกไป แล้วจึงได้ยินเสียงพี่รองลู่ดังขึ้นเื้ั “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็ไร เ้าอย่าคิดมาก น้องข้าหาเงินเก่งเป็ที่สุด ชามแค่ไม่กี่ใบไม่เป็ไรหรอก”
เสี่ยวหมี่รีบเร่งฝีเท้า เพราะนางกลัวว่าตัวเองจะทนไม่ไหวใช้ตะเกียบและชามข้าวเป็อาวุธ ทำลายกะโหลกกลวงๆ ของพี่รองให้สิ้นซาก
เฝิงเจี่ยนที่นั่งดื่มชาอยู่อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ รอยยิ้มในดวงตายิ่งเข้มขึ้นกว่าเดิม
สถานที่แห่งนี้แหละ ที่ต่อให้เขาจะต้องลำบากลำบนแค่ไหนก็จะดั้นด้นกลับมาให้ได้ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“เสี่ยวหมี่ เสี่ยวหมี่ คนแซ่ตู้นั่นมาอีกแล้ว”
ยามนี้เองจู่ๆ เสี่ยวเตากลับวิ่งหน้าตื่นมา เขาะโเสียงดังว่า “คนแซ่ตู้บอกว่า หินที่ใช้ทำคูน้ำของเราไปวางทับที่ของเขา เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเป็ของเขา ใครจะเคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้เด็ดขาด แล้วยังบอกว่าบ่อน้ำที่เราขุดสูบน้ำมาจากที่ดินฝั่งเขา เขาจึงจะกลบฝังบ่อน้ำของเรา”
เสี่ยวหมี่รีบวิ่งออกมาจากห้องครัว รอบเอวยังผูกผ้ากันเปื้อนไว้อยู่ นางได้ยินที่เสี่ยวเตาพูดก็มีสีหน้าดำคล้ำทันที ไม่รอให้นางพูดอะไร พี่รองลู่ที่ก่อนหน้านี้ได้ยินพี่ใหญ่ลู่เล่าให้ฟังถึงเื่ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ะเิอารมณ์ออกมาก่อนใคร “อะไรนะ มีคนมารังแกกันถึงที่เชียวหรือ? ข้าจะจับมันแยกชิ้นส่วนเสีย”
พูดพลางรีบร้อนจะลงเขา เสี่ยวเอ๋อเองก็คิดว่าาแของตนหายสนิทดีแล้ว งานจิปาถะในบ้านนางก็ช่วยเหลือไม่ได้ ในที่สุดก็เห็นความหวังที่จะได้ใช้วรยุทธ์ของตนเอง จึงตามติดอยู่ด้านหลังพี่รองลู่ เตรียมจะช่วยทะเลาะวิวาทเต็มที่
ลู่เสี่ยวหมี่รีบเข้ามาห้ามพวกเขา โน้มน้าวว่า “พวกท่านรอก่อน เื่นี้การทะเลาะวิวาทแก้ปัญหาไม่ได้หรอก หากจัดการไม่ดีจะทำให้คนทั้งหมู่บ้านเดือดร้อนไปด้วย”
พี่รองลู่ร้อนใจนัก “ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้อย่างนั้นก็ไม่ได้ เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร?”
ยามนี้เองบิดาลู่ก็เหมือนจะรู้แล้วว่าเื่ราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่บุตรสาวบอก เขายืนขึ้นถามว่า “ตกลงมันเื่อะไรกันแน่ ที่ตีนเขามีคนนอกเข้ามาั้แ่เมื่อไหร่?”
นาทีนี้เสี่ยวหมี่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่รู้จะอธิบายกับบิดาอย่างไรดี และไม่รู้จะหยุดพี่รองที่มุทะลุดีแต่จะเพิ่มปัญหาได้อย่างไร...
“เกาเหริน!”
เฝิงเจี่ยนยืนขึ้นค่อยๆ ก้าวออกมา แสงอาทิตย์สาดส่องไปบนร่างของเขา ดูสง่างามน่าเกรงขามราวกับเทพแห่งา “ขับไล่สิ่งรกหูรกตาไปให้พ้น อย่าให้ถึงชีวิตก็พอ”
“ขอรับ นายน้อย” เกาเหรินถูมืออย่างตื่นเต้น เชื่อฟังคำสั่งเ้านายอย่างยากนักที่จะเป็ “นายน้อยวางใจ ข้าจะสร้างละครสนุกๆ ให้พวกท่านได้ดูกัน”
พูดจบก็ะโขึ้นกำแพง แล้วยังไม่ลืมหันกลับมาขอรางวัลเหมือนเด็กน้อย “เสี่ยวหมี่ หากข้าไล่เ้าโง่นั่นลงเขาไปได้แล้ว เ้าอย่าลืมทำเนื้อพะโล้ตุ๋นให้ข้ากินด้วยเล่า”
“ได้ จะทำให้ถ้วยใหญ่เลย รับรองว่าอิ่มแปล้”
ถึงแม้ปากจะตอบรับแต่สายตาของเสี่ยวหมี่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของเฝิงเจี่ยนแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้พบกันนาน คนผู้นี้ซูบผอมลงไปมาก แต่แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงนั้นเหมือนว่าสามารถแบกรับปัญหาใหญ่โตทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย...
ในชาติก่อนนางเคยดูภาพยนตร์อยู่เื่หนึ่ง มีแม่นางคนหนึ่งในเื่นั้นเคยพูดไว้ว่า “สักวันหนึ่งบุรุษคนนั้นจะสวมเกราะทองคำ เหยียบเมฆมงคลสีรุ้งมาสู่ขอข้า”
นาทีนี้ แสงอาทิตย์ดุจเกราะทองคำ พื้นที่เขาเหยียบอยู่ก็เป็ดั่งเมฆสีรุ้ง เช่นนั้น เขายินดีจะสู่ขอนางหรือไม่?
เสี่ยวหมี่ตะลึงค้างในนาทีนั้น ในใจมีภูติน้อยดีและเลวกำลังตบตีกัน ฝั่งหนึ่งเอ่ยดูถูกนางที่แค่พบเจอเื่ลำบากเท่านี้ก็คิดอยากจะแต่งงานพึ่งพิงผู้ชายเสียแล้ว อีกฝั่งกลับเพ้อฝันอยากเป็นกน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไร้ทุกข์โศกมีคนคอยรักคอยปกป้อง
“ไปเถอะ พวกเราลงเขาไปดูกัน”
เฝิงเจี่ยนไม่รู้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวหมี่ั้แ่เมื่อใด เขาเอื้อมมือมาปลดผ้ากันเปื้อนให้นาง
“ได้”
เสี่ยวหมี่เอ่ยออกไปแล้วจึงเดินตามหลังเฝิงเจี่ยนออกจากบ้านไป ยามนี้เองถึงเพิ่งค้นพบว่าบิดาลู่ของนางนำคนไปถึงที่นั่นก่อนแล้ว ดีที่เสี่ยวเอ๋อยังรู้จักแอบซ่อน ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ในป่าหรือในสวนกันแน่ แต่ไม่มีใครเห็นนางเลย
ที่ตีนเขาฝั่งทิศตะวันออก คูน้ำด้านข้างที่นาสกุลลู่ถูกทำเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ยามนี้เหลือแต่ขั้นตอนลงหิน
ก่อนหน้านี้มีคนหมู่บ้านอื่นทยอยเอาหินมาขายและรับเงินไปอย่างเบิกบาน พวกชาวบ้านช่วยกันขนเข้ามาวางไว้ใกล้เพื่อหยิบใช้ได้สะดวก
ยามนี้คนแซ่ตู้กลับมายืนอยู่บนกองหิน ในมือถือแส้ม้า ท่าทางโอหังอย่าบอกใคร
“พวกคนชั้นต่ำ ยังคิดจะต่อกรกับข้าอีกหรือ หึ ไม่ชะโงกหน้าดูเงาเสียหน่อยว่าตัวเองเป็ใคร โฉนดที่ดินของเขาลูกนี้เป็ของข้า ที่แห่งนี้คือถิ่นข้า ต่อให้ัจะร่วงลงมามันก็ต้องก้มหัวให้ข้า ต่อให้เฟิ่ง [1] จะร่วงลงมา อืม...มันก็ต้องออกไข่ให้ข้า”
ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเด็กรับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเอ่ยแทรกว่า “คุณชาย เฟิ่งเป็ตัวผู้ มันออกไข่ไม่ได้ขอรับ...”
“ไสหัวไป มีตาหามีแววไม่เ้าข้ารับใช้สุนัข ข้าบอกว่ามันออกไข่ได้ มันก็ออกไข่ได้”
คนแซ่ตู้อับอายจนกลายเป็โกรธ เขายกเท้าถีบเด็กรับใช้คนนั้นล้มฟาดพื้นจนหัวโน
ชาวหมู่บ้านเขาหมีจ้องมองเขาอย่างเ็าไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว
แต่สกุลลู่ในฐานะเ้าของที่ ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้
บิดาลู่ก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เ้าเป็ใครกันแน่? ถึงแม้สกุลลู่ของเราจะยากจน แต่ก็เป็ตระกูลบัณฑิตรู้หนังสือ หากเ้ารังแกกันเกินไป ข้าจะเขียนหนังสือร้องเรียนไปให้ท่านเ้าเมือง”
น่าเสียดาย คนแซ่ตู้คืนนั้นหลังจากที่กลับไปอย่างผิดหวัง ก็ได้สืบทราบประวัติของสกุลลู่มาอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่หวาดกลัวบิดาลู่สักนิด เขากลอกตาหัวเราะเยาะ “ถุย ก็แค่ซิ่วไฉแก่ๆ คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ถ้าเ้าแน่มากนักก็เอาสิ ดูสิว่าท่านเ้าเมืองจะอนุญาตให้เ้าเข้าพบหรือไม่? ในอันโจวแห่งนี้ ท่านน้าของข้าใหญ่ที่สุด ข้าแนะนำเ้าว่าอย่าโง่เขลานักเลยจะดีกว่า รีบเอาเงินมา หากว่าข้าอารมณ์ดีไม่แน่อาจจะยกเขาสองลูกนั้นให้เลยก็เป็ได้”
บิดาลู่โกรธจนตัวสั่น คิดจะพูดโต้ตอบ น่าเสียดายเขาอ่านตำราดีๆ มาทั้งชีวิต จึงไม่เคยเรียนวิธีด่าคนมาก่อน อึดอัดขัดใจจนดวงหน้าซีดขาว ท่าทางคล้ายจะเป็ลมเสียให้ได้
เชิงอรรถ
[1] เฟิ่ง(凤)เป็ตัวผู้ หวง(凰)เป็ตัวเมีย มักเรียกรวมกันเป็าาแห่งนกในตำนานของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้