คนที่ดูเครื่องประดับภายในร้านค่อนข้างมาก ลูกจ้างในร้านดูแลได้ไม่ทั่วถึงนัก
แต่เจินจูก็ไม่ได้ใส่ใจ กลับจูงหลี่ซื่อเดินเข้าไปใกล้ตู้สินค้า แล้วดูทีละชิ้นๆ อย่างละเอียด
“ท่านแม่ ท่านดู อันนี้สวยมากเลยเ้าค่ะ” ปิ่นปักผมโลหะเงินลายหงส์เมฆาแกะสลักอย่างละเอียดหนึ่งชิ้นดึงดูดสายตาเจินจู
“เจินจู… ปิ่นปักผมอันนี้… แพง…” หลี่ซื่อมองปิ่นปักผมทำมือประณีตงดงามแวบหนึ่ง หวาดกลัวว่าเจินจูจะไม่รู้ราคาของมัน เลยเอ่ยเสียงเบาๆ เตือนนางโดยไม่รู้ตัว
“ท่านแม่ มันหนักแค่ห้าหรือหกเงินเอง รวมค่าฝีมือเข้าไปด้วย ราคามากสุดน่าจะเจ็ดหรือแปดเหลียง ไม่นับว่าแพงเลยเ้าค่ะ อีกอย่าง ปิ่นปักผมเป็โลหะเงิน เก็บไว้เหมือนเดิมก็รักษาราคาไว้ได้ ที่สำคัญที่สุดคือท่านชอบหรือไม่เ้าคะ?” เจินจูสังเกตผ่านอย่างละเอียด แม่ลูกหนึ่งคู่ทางด้านข้างหยิบปิ่นปักผมบนตู้สินค้าขึ้นสอบถามราคาไปทางลูกจ้างที่อยู่ข้างๆ เป็ระยะ โดยพื้นฐานส่วนใหญ่ราคาล้วนอิงตามน้ำหนักของเงินที่ใช้ทำปิ่นปักผม รวมกับค่าแรงงานที่ทำหนึ่งหรือสองเหลียง
หลี่ซื่อมองปิ่นปักผมเงินอย่างละเอียด สายตาปรากฏความดีใจอยู่สองสามส่วน แต่ในใจยังคงลังเลเล็กน้อย แม้ที่บ้านจะหาเงินได้นิดหน่อยแล้ว แต่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมาซื้อเครื่องประดับมีค่าเช่นนี้ นางทำใจไม่ได้
“ท่านแม่ ไม่เช่นนั้น ท่านดูอันนี้เป็อย่างไรเ้าคะ?” เจินจูมองออกว่าหลี่ซื่อลังเลอยู่ในใจ จงใจชี้ไปทางปิ่นปักผมเงินทำเป็กิ่งไม้พันรอบปิ่นอีกหนึ่งอันที่อยู่ข้างๆ และมีน้ำหนักเงินมากกว่า “อันนี้ก็สวยมาก ปักอยู่บนมวยผมของท่านต้องสวยมากแน่ๆ เ้าค่ะ”
“ท่านพี่ อันนี้สวย” ผิงอันจ้องมองตาโตไปยังเครื่องประดับเงินที่เปล่งแสงแวววาวเต็มตู้สินค้า
“ใช่ไหมเล่า แม้แต่ผิงอันยังรู้สึกว่าสวยเลย... ท่านแม่ ท่านเล่ารู้สึกอย่างไรเ้าคะ?” เจินจูสอบถามด้วยรอยยิ้ม
“อ่า… เจินจู อัน อันนี้…” มองปิ่นปักผมอันนั้น นางดูออกชัดเจนว่ามีราคาสูง จึงกล่าวตะกุกตะกักเล็กน้อย
“สองอันนี้สวยหมดเลย ท่านแม่ ท่านก็เลือกสักอันเถิด” เจินจูมองหลี่ซื่อแล้วอมยิ้มนุ่มนวลน้อยๆ
หลี่ซื่อไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเลือกปิ่นเงินลายหงส์เมฆาที่เปรียบเทียบกันแล้วน่าจะถูกกว่าอีกอันหนึ่ง
เลือกปิ่นปักผมของหลี่ซื่อเสร็จ เจินจูก็ตั้งใจจะคิดเงินแล้วไปที่อื่น แต่หลี่ซื่อกลับยืนยันว่าจะซื้อต่างหูเงินคู่หนึ่งให้เจินจู บอกว่าเด็กสาวโตพอที่จะมีต่างหูหนึ่งคู่ที่สวยและเหมาะกับตนเอง
เจินจูลูบบนติ่งหู เชื่อฟังความเห็นของหลี่ซื่อ เมื่อก่อนนางกลัวเจ็บแม้ตอนไปเดินซื้อของ พอเห็นต่างหูที่สวยงามก็เคยคิดอยากจะไปเจาะหู แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ ไม่เคยเจาะหูมาก่อน ย่อมไม่เคยซื้อเครื่องประดับจำพวกต่างหูมาก่อน
ตอนนี้ รูหูของเจินจูเจาะไว้นานแล้วตอนอายุหกหรือเจ็ดปี ใช้เส้นด้ายสวมใส่อยู่ตลอด ซื้อต่างหูสวมไว้ก็ดีเช่นกัน
เจินจูปล่อยอารมณ์มองรูปแบบของต่างหูขึ้นด้วยความดีใจ ตอนนี้นางอายุยังน้อย รูปแบบต่างหูที่มีลูกเล่นนางยังไม่คิดอยากได้ ส่วนรูปแบบต่างหูบนตู้สินค้ามีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แบบทั่วๆ ไปล้วนมีหมด เม็ดกลม สี่เหลี่ยม ดอกเหมย ดอกท้อ...
“ท่านแม่ ซื้อแค่อันนี้ก็พอ เจินจู เจินจู... แน่นอนว่าต้องซื้อรูปแบบเจินจู [1]” ต่างหูเงินกลมๆ มันวาวราวกับเจินจูก็ไม่ปาน เจินจูขบขันแล้วชี้ไปทางมัน
“ได้… เช่นนั้นก็ซื้ออันนี้” หลี่ซื่อก็ยิ้มตาหยี
ต่างหูรูปแบบเรียบง่ายราคาถูกมาก หนึ่งคู่ไม่เกินห้าสิบเหวิน
จ่ายเงินเสร็จ หนึ่งครอบครัวก็เดินออกจากร้านเครื่องประดับ
หลี่ซื่อนำปิ่นปักผมคลุมไว้ในอ้อมอกด้วยความระมัดระวัง หลายปีแล้วที่ไม่เคยซื้อเครื่องประดับเลย หนนี้อาศัยความสุขของบุตรสาว เพิ่มเครื่องประดับเงินหนึ่งชิ้น เป็ธรรมดาที่ต้องจัดการดูแลรักษาเป็อย่างดี
ข้างถนนมุมหนึ่ง แผงบะหมี่หนึ่งร้านส่งกลิ่นหอมจากหม้อน้ำแกงลอยมาไกลๆ ผิงอันถูกกลิ่นหอมดึงดูด เลยหยุดฝีเท้าลง
“แหะๆ ท่านแม่ พวกเราทานบะหมี่เติมท้องเสียหน่อยนะขอรับ” เห็นฝีเท้าที่ไม่ขยับก้าวของผิงอัน เจินจูก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง
“ดี รีบเร่งมาแต่เช้า พวกเ้าหิวกันหมดแล้วกระมัง ผิงอัน เ้าอยากทานอันใด?” หลี่ซื่อถามทันที
“ท่านแม่ ข้าอยากทานเกี๊ยวน้ำขอรับ” ผิงอันยิ้มแล้วลูบหนังท้องแบนๆ ของตัวเอง
“ได้ แล้วเจินจูเล่า?”
“อืม… ข้าก็ทานเกี๊ยวน้ำด้วยเ้าค่ะ”
“ได้ เช่นนั้นพวกเราทานเกี๊ยวน้ำทั้งหมด”
เดินเข้าใกล้แผงบะหมี่ สั่งเกี๊ยวน้ำสามถ้วยกับเถ้าแก่ หลังจากนั้นหาโต๊ะที่ว่างแล้วนั่งลง
หลี่ซื่อนั่งอยู่ฝั่งถนน มองผู้คนสัญจรที่รีบเร่งไปมา อดปลงในใจไม่ได้ กี่ปีแล้วนะที่ไม่กล้าออกไปไหน ในที่สุดตนเองก็เหมือนคนทั่วไป ที่เดินผ่านฝูงชนในตลาดได้อย่างอิสระ ภายในใจไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขี้ขลาดและกังวลเพราะไม่สามารถพูดจาได้อีกแล้ว
หันศีรษะมามองบุตรสาวบุตรชายหนึ่งคู่ที่แข็งแรงมีชีวิตชีวา หัวใจหลี่ซื่อยิ่งเต็มไปด้วยความสบายใจ
“ท่านแม่ ท่านคิดอันใดหรือเ้าคะ? เหตุใดดูท่านมีความสุขนัก?” รอยยิ้มเต็มเปี่ยมบนใบหน้าหลี่ซื่อมีความสุขและอบอุ่น ขับให้ใบหน้าขาวนวลงดงามและอ่อนโยนเด่นขึ้น ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้
“อ๊ะ!…ไม่ได้คิดอันใด แค่มองพวกเ้า แม่ก็เลยมีความสุข” หลี่ซื่อหยุดไปพักหนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นก็กล่าวยิ้มนุ่มนวล
“ฮ่าๆ เช่นนั้นทุกวันที่ท่านเห็นพวกข้า ไม่ใช่ว่ามีความสุขทุกวันเลยหรือเ้าคะ” เจินจูหัวเราะ
“ฮิๆ…” ผิงอันก็หัวเราะ
หนึ่งครอบครัวทานเกี๊ยวน้ำหมดอย่างมีความสุข แล้วจึงลุกขึ้นเดินมุ่งตรงไปทางตลาด
“ท่านแม่ ท่านดู นั่นมิใช่เถียนกุ้ยจือในหมู่บ้านพวกเราหรือเ้าคะ? นางคุยอยู่กับผู้ใดตรงนั้นกัน” ทางหัวโค้งไม่ไกลนัก เถียนกุ้ยจือใบหน้าขาวออกเทากำลังดึงสตรีวัยกลางคนด้วยความตื่นตัว แล้วส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่เป็ระยะ
“อืม เป็นาง” หลี่ซื่อก็เห็นเช่นกัน
เจินจูกลอกตาหนึ่งที แล้วจูงทั้งสองคนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ทางนั้น
“หวังผอจื่อ [2] ตอนแรกท่านรับปากเป็มั่นเป็เหมาะแล้ว บอกว่าบุตรชายร่างกายอ่อนแอขี้โรคของร้านธูปเทียนบูชาบรรพบุรุษนั่น อยากสู่ขอเด็กสาวชาวบ้านที่สภาพร่างกายแข็งแรง ให้ข้าเอาเงินให้ท่านไปไกล่เกลี่ยที่บ้านเขา เหอะ นี่เพิ่งจะเท่าไรเอง บุตรคนเล็กของครอบครัวเขาก็จะแต่งงานแล้ว นี่ท่านมิได้รับเงินข้าแล้วหรือ? ข้าไม่สนล่ะ วันนี้ถ้าท่านไม่คืนสองเหลียงให้ข้า ก็อย่าได้คิดหนี…” เสียงของเถียนกุ้ยจือแหลมคมจนคนที่อยู่ไกลๆ ล้วนฟังได้ชัดเจน
“นี่จะโทษข้าได้อย่างไร? คนเขาทำการค้าขาย ้าลูกสะใภ้ที่สามารถจดตัวเลขคิดบัญชีได้ในอนาคต บุตรสาวของเ้าผู้นั้นอะไรก็ทำไม่เป็ ผู้อื่นมองแล้วรังเกียจ ต้องโทษตัวพวกเ้าเอง” หวังผอจื่อมองบน แล้วเขี่ยมือของเถียนกุ้ยจื่อที่คว้าตนเองไว้แน่นออก
“เพ้ย เช่นนั้นท่านก็รู้เงื่อนไขนี้ดีอยู่แล้ว แล้วยังจะรับเงินของข้าไปไกล่เกลี่ยอันใด ท่านกำลังโกงเงินกันนี่ วันนี้ท่านไม่คืนเงินให้ข้า ข้าก็จะเกาะติดท่าน…”
“ไกล่เกลี่ยๆ พอกล่าวแล้วก็ดองกันได้เลยที่ไหนกัน ข้าทำหน้าที่แม่สื่อมาหลายปีเช่นนี้ มีไม่กี่คู่ที่พอกล่าวแล้วก็สำเร็จได้เลย คนนี้ไม่ได้ก็ยังมีคนอื่นมิใช่หรือ เงินนี่ไม่สามารถคืนได้ อย่างมากสุดข้าจะช่วยเ้าจับตาดูชายหนุ่มที่เหมาะสมของครอบครัวอื่นอีกครั้ง”
“…เช่นนั้นยังมีครอบครัวผู้ใดที่เหมาะสม? ท่านให้ความกระจ่างข้ามาก่อน”
“โอ้โห… การแต่งงานเื่ใหญ่นี้รีบร้อนไม่ได้ ค่อยๆ หาไม่ได้หรือ เ้าวางใจเถอะ ข้ามปีไปข้าจะจับตาดูให้เ้า”
“นี่… เช่นนั้นท่านกล่าวแล้วนะ ต้องจับตาดูให้ดีเล่า เงินนี่เป็ข้าปิดบังบิดาของบุตรสาวข้าแอบเอามาให้ท่าน หากให้เขารู้ ในบ้านคงต้องทะเลาะกันวุ่นวายแน่”
“ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว ปีใหม่แล้วจะใส่ใจจับตาดูให้แน่นอน”
“ท่านแม่ เถียนกุ้ยจือผู้นี้ยังไม่เลิกคิดอีก ดูหวังผอจื่อผู้นี้กำลังแสดงตบตานาง เสียดายที่นางท่าทางดูฉลาดเฉียบแหลม แต่นี่กลับมองคนไม่ทะลุปรุโปร่งเสียได้” เจินจูเอ่ย แล้วจูงสองคนค่อยๆ เดินไปทางตลาด
“เฮ้อ อย่างไรเสียก็เป็เื่สำคัญที่สุดในชีวิตเกี่ยวกับไฉ่สยาของครอบครัวนาง นางอยากแต่งบุตรสาวเข้าในเมืองจะได้เสวยสุข” ใจบิดามารดาในโลกหล้าล้วนเป็เช่นนี้ หลี่ซื่อไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เถียนกุ้ยจือทำ ในฐานะที่เป็บิดามารดาจะคิดเสมอว่า วันคืนของบุตรสาวบุตรชายต้องผ่านไปให้ดียิ่งขึ้น
เจินจูแบะปาก ชีวิตที่แต่งเข้าในเมืองจะดียิ่งขึ้นหรือ? นางไม่ได้คิดเช่นนั้น ปัจจัยการดำรงชีวิตดีหน่อยก็แปลว่าชีวิตมีความสุขสมหวังหรือ? ทั้งโง่และไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ
ขณะพูดคุยทั้งสามคนก็เดินมาถึงปากทางเข้าตลาดแล้ว
“ท่านพี่ ท่านดู ตรงนั้นขายประทัด!” ผิงอันตื่นเต้นมากจนคิดจะพุ่งไปข้างหน้า
“ช้าหน่อย ผิงอัน คนเยอะระวังเหยียบเ้าเข้าได้” เจินจูดึงผิงอันที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ ยื่นมือออกไปหยิกใบหน้าเล็กของเขา ย่นจมูกแล้วตำหนิเขาด้วยสายตาหนึ่งที
“ท่านพี่ ข้าเจ็บ” ผิงอันบ่นพึมพำแล้วดึงมือเจินจูออก คลึงใบหน้ารูปไข่ของตนเอง
“รู้จักเจ็บก็อย่าวิ่งไปทั่ว หืม...”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
ปากทางเข้าตลาดกระแสคนแน่นขนัด หน้าร้านประทัดมีกลุ่มชาวบ้านจำนวนไม่น้อยกำลังเลือกประทัดใช้ข้ามปีอยู่
เจินจูก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วสังเกตอย่างละเอียด ยุคสมัยนี้ชนิดประทัดมีไม่มาก เจินจูเลือกประทัดห้าพวงที่ธรรมดาที่สุด จ่ายเงินเรียบร้อยก็วางประทัดเข้าไว้ในตะกร้าเล็กที่ผิงอันแบกมา แล้วจึงออกจากร้านประทัดมุ่งสู่ตลาดด้านใน
เข้าตลาดมาแล้วก็เข้าร้านขายของจิปาถะเพิ่มของใช้ในชีวิตประจำวันเล็กน้อยก่อน พวกผงสีฟัน ป้าหอม น้ำมันพืช น้ำตาลทรายแดง…
“อื้ม ยังต้องไปซื้อสุราสองไห หนึ่งไหมอบให้ท่านปู่ หนึ่งไหเก็บไว้ให้ท่านพ่อ” เจินจูนับสินค้าทีละอย่างในตะกร้า เพื่อป้องกันการซื้ออะไรตกหล่น “อ้อ ยังมีกระดาษสีแดงที่ยังไม่ได้ซื้อ ซื้อกลับไปให้ยู่เซิงเขียนกลอนคู่ขึ้นติดผนังสักหนึ่งคู่ ส่วนที่เหลือก็ใช้ตัดตกแต่งหน้าต่างได้ พี่รองบอกว่ากระดาษตกแต่งหน้าต่างที่นางตัดสวยนัก”
“ใช่แล้วล่ะ ท่านย่ากับพี่รองล้วนตัดได้สวยมาก มีเพียงท่านพี่ที่มืองุ่มง่าม ตัดกระดาษแดงพังตลอด” ผิงอันหัวเราะด้วยใบหน้าเยาะเย้ย
“…” เจินจูจำใจอย่างช่วยไม่ได้ ทักษะงานจำพวกที่ต้องละเอียดรอบคอบมีฝีมือและมีความอดทนพวกนี้ เหมือนว่านางจะทำได้ไม่ดีเลยสักอย่าง
หลี่ซื่อจนปัญญาเล็กน้อย ความฉลาดปราดเปรื่องของเจินจูคล้ายกับว่าล้วนใช้ไปกับการหาเงินเลี้ยงครอบครัวหมดแล้ว งานเย็บปักถักร้อยที่จำเป็ต้องมีฝีมือประณีตละเอียดอ่อนเหล่านี้ไม่คล่องมืออย่างมากจริงๆ
สามคนซื้อกระดาษสีแดงที่ร้านหนังสือใกล้ๆ เจินจูถือโอกาสซื้อพู่กันสี่ด้ามกับกระดาษขาวสองปึก ทุกคนเข้าโรงเรียนเล็กมาเป็เวลานานแล้ว เอาแต่ฝึกคัดตัวอักษรบนแผ่นหินไม่ได้ อย่างไรเสียการใช้พู่กันขีดเขียนต้องฝึกฝนนานหลายเดือนปี จึงจะฝึกความชำนาญในการคัดลายมือออกมาได้
หลังคัดเลือกซื้อของฉลองปีใหม่เป็ที่เรียบร้อย สามคนก็เดินมาถึงประตูเมืองที่ฝากเกวียนวัวไว้ รอคอยพวกหวังซื่อทั้งสามคน
ผ่านไปครึ่งเค่อ [3] กลุ่มหวังซื่อสามคนแบกของห่อเล็กห่อใหญ่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“ท่านย่า ทำไมพวกท่านซื้อของมากมายเช่นนี้เ้าคะ?” เจินจูมองสามคนที่แบกข้าวของเต็มอ้อมอกมาแต่ไกล อดมีท่าทางตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ แล้วรีบไปช่วยรับของข้างหน้า
“ไอ๊หยา หนักนัก พี่สามช่วยข้าถือหน่อย” ผิงซุ่นยังไม่ทันเดินมาใกล้ก็เอาแต่ร้องโวยวายออกมา
เจินจูรีบไปข้างหน้าช่วยรับของในอ้อมอกของผิงอันไว้
“ของหลายอย่างมิใช่ที่พวกเราซื้อน่ะ ตอนพวกเราซื้อของเสร็จกำลังเตรียมกลับมา บังเอิญพบเข้ากับเ้าของร้านเหนียนที่ปากทางแยก เอาแต่ดันทุรังดึงพวกเรา หลังจากนั้นเรียกลูกจ้างเอาสิ่งของมากมายมามอบให้ บอกว่าก่อนปีใหม่ที่จะมาถึงโรงเตี๊ยมยุ่งเกินไป ไม่มีเวลานำของกำนัลก่อนสิ้นปีไปส่งให้พวกเรา เป็เพราะเช่นนี้ ที่บังเอิญเจอกันเข้าก็เลยยัดของหนึ่งกองใหญ่ให้พวกเรายกกลับมา” หวังซื่อเดินมาถึงข้างเกวียนวัว หลี่ซื่อรับของในอ้อมอกนางมาด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงช่วยเอาตะกร้าที่แบกเต็มอยู่บนหลังออกด้วยความนุ่มนวล
“ไอ๊หยา เ้าของร้านเหนียนมีน้ำใจไมตรีเกินไปจริงๆ ของมากจนเกือบยกไม่ไหวแล้ว” ในอ้อมอกหูฉางหลินอุ้มเกาเตี่ยนและผลไม้เชื่อมที่ประทับตราตัวหนังสือโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงอยู่
เจินจูคิ้วกระตุก นางได้กลิ่นหนึ่งสายที่คุ้นเคยจากในตะกร้า นี่เป็… ปลาเค็ม?
เปิดหญ้าฟางบนตะกร้าแบกของของหูฉางหลินออก เป็ไปดังคาด ปลาเค็มสองสามมัดจัดเป็กองอยู่ด้านใน ขนาดตัวไม่เล็กเลย ดูแล้วคล้ายกับว่าเป็ปลาทะเลชนิดหนึ่ง
ล้วงลงไปข้างในอีกชั้นหนึ่ง บนใบหน้าเจินจูก็ยินดีปรีดาขึ้นทันที ของสิ่งนี้นางชื่นชอบนัก
เชิงอรรถ
[1] เจินจู แปลว่า ไข่มุกลูกกลมๆ
[2] ผอจื่อ คือ หญิงชรา
[3] เค่อ หรือ 刻 หมายถึง 15 นาที ครึ่งเค่อจึงหมายถึงเวลาที่น้อยกว่า 15 นาที