แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านหมู่เมฆสีเทาที่ลอยต่ำ ทอดเงายาวบนพื้นถนนหินที่ขรุขระ รถม้าสีดำขลับคันหนึ่งจอดรออยู่ ม้าสีดำสองตัวยืนนิ่ง พร้อมด้วยเ้าหน้าที่คนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ข้างรถ สีหน้าเคร่งขรึม
ประตูเปิดออกจากสำนักงาน ชาร์ลส์ก้าวออกมาอย่างช้าๆ มือขวากำไม้เท้าหัวเงินแน่น ใช้มันช่วยพยุงร่างกายที่ยังคงอ่อนแรง แม้ว่าก่อนหน้านี้แผลที่ขาจะดีขึ้นจนไม่จำเป็ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาและผลกระทบจากภาพหลอนทำให้เขาต้องกลับมาพึ่งพามันอีกครั้ง
ขณะที่ชาร์ลส์กวาดตามองไปรอบๆ เขาก็สังเกตเห็นใบหน้าคุ้นเคย ชายร่างสูงกำลังโบกมือให้เขาอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่คุ้นเคย
"นายอีกแล้วหรอ โจเซฟ?" ชาร์ลส์เอ่ยถาม น้ำเสียงผสมความประหลาดใจ
โจเซฟตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แม้แววตาจะฉายความกังวล "ก็นายาเ็นี่ ฉันเลยว่างพอดี คนอื่นก็มีงานเป็ของตัวเองอยู่แล้ว ฉันเลยมาทำหน้าที่ดูแลและคุ้มกันนายเอง"
ชาร์ลส์ถอนหายใจ โจเซฟเดินเข้ามาช่วยพยุงชาร์ลส์ขึ้นรถม้า
"นายนี่มันมีโชคผูกพันกับไม้เท้าจริงๆ" โจเซฟเอ่ย ขณะมองดูไม้เท้าหัวเงินที่ให้ชาร์ลส์ยืม แสงแดดอ่อนๆ สะท้อนกับโลหะเงินวาววับ
ชาร์ลส์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังฟังชัดกว่าเดิม "มีโชคกับผีน่ะสิ ั้แ่เกี่ยวข้องกับหน่วยพิเศษ ภายในเวลาสองวัน ฉันาเ็ถึงขนาดพึ่งมันไปสองรอบแล้ว"
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากกองปราบปรามและป้องกันภัยเหนือธรรมชาติ มุ่งหน้าสู่บ้านของครอบครัวเบิร์ก ระหว่างทาง ชาร์ลส์มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า ภาพทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มบิดเบี้ยวในสายตา แม้กระทั่งเงาของต้นไม้ริมทางก็ดูราวกับกำลังเคลื่อนไหว เหยียดยื่นกิ่งก้านดำทะมึนเข้ามาหา
เสียงหัวเราะแ่เบาแว่วเข้ามาในโสตประสาท ชาร์ลส์กะพริบตาถี่ พยายามสลัดภาพหลอนเหล่านี้ออกไป แต่ก็ไม่เป็ผล
โจเซฟที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเพื่อน จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยน "ไม่ต้องกังวลไป ฉันอยู่ตรงนี้ นายไม่ได้อยู่คนเดียว"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับ พยายามฝืนยิ้ม แต่ในใจยังคงรู้สึกว้าวุ่น หวาดหวั่น เขากลัวว่าภาพหลอนเหล่านี้จะรบกวนการพูดคุยกับครอบครัวเบิร์ก ความคิดนั้นทำให้มือที่กำไม้เท้าสั่นเทาเล็กน้อย
เมื่อรถม้ามาถึงบ้านของครอบครัวเบิร์ก ชาร์ลส์ก้าวลงมาอย่างระมัดระวัง แสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องลงมาทำให้บ้านไม้เก่าดูโดดเดี่ยวและหม่นหมองกว่าที่เคย โจเซฟยืนรออยู่ห่างๆ เพื่อให้ชาร์ลส์ได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการพูดคุย
ชาร์ลส์สูดหายใจ เอาอากาศเย็นเฉียบแทรกเข้าสู่ปอด พยายามรวบรวมสติและความกล้า ก่อนจะเดินไปเคาะประตูบ้าน
เสียงเคาะดังก้องในความเงียบ เสียงฝีเท้าแ่เบาดังมาจากด้านใน ก่อนที่ประตูไม้เก่าจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของแคทเธอรีน ภรรยาของไมเคิล ดวงตาของเธอแดงก่ำ บ่งบอกว่าเธอร้องไห้มามาก แต่เมื่อเห็นชาร์ลส์ แววตาแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นทันที
"คุณนักสืบ!" เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หัวใจของชาร์ลส์บีบรัดเมื่อได้ยินความหวังในน้ำเสียงของเธอ "คุณมีข่าวคราวของไมเคิลแล้วใช่ไหมคะ?"
ชาร์ลส์มองเธอด้วยความเห็นใจ กำลังจะอธิบาย แต่หญิงสาวก็ร้องเรียกคนในบ้านเสียก่อน
"แม่! ทอมมี่! คุณชาร์ลส์มาแล้ว!"
เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากภายในบ้าน หญิงชราและเด็กน้อยวิ่งออกมาต้อนรับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของพวกเขาราวกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในความมืด แต่แสงสว่างนั้นกลับยิ่งทำให้ชาร์ลส์รู้สึกอึดอัด เขาไม่กล้าที่จะดับแสงแห่งความหวังนั้นด้วยข่าวร้าย
ความลังเลปรากฏขึ้นในใจของชาร์ลส์ ขณะที่เขามองเห็นแววตาของทุกคนในครอบครัวนี้ได้อย่างชัดเจน ความหวัง ความวิตกกังวล และความรักที่พวกเขามีต่อไมเคิล มันช่างบริสุทธิ์และเปี่ยมล้นจนชาร์ลส์รู้สึกผิดที่ต้องมาทำลายมันลง
ในขณะนั้น ภาพหลอนที่เคยรบกวนเขากลับหายไป นั่นยิ่งทำให้เขาเห็นใบหน้าของผู้คนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน มันยิ่งเพิ่มความรู้สึกผิดที่ซ่อนอยู่ในใจ
"เอ่อ..." ชาร์ลส์เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือที่กำไม้เท้าบีบแน่นขึ้น "ผม... ผมมาแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการสืบหาตัวคุณไมเคิลครับ"
ทุกคนเงียบฟัง สายตาจับจ้องมาที่ชาร์ลส์ แม้กระทั่งลมที่พัดผ่านก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
"ตอนนี้ ผมมีเบาะแสเกี่ยวกับบุคคลที่อาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณไมเคิลแล้ว" ชาร์ลส์พยายามเลือกใช้คำพูดที่ไม่รุนแรงเกินไป เสียงสั่นเครือเล็กน้อย "และตอนนี้ ผมกำลังร่วมมือกับทางการเพื่อช่วยตามหาตัวไมเคิลอีกแรง"
แม้จะไม่ใช่ข่าวดีที่ว่าพบตัวไมเคิลแล้ว แต่การที่รู้ว่าการสืบสวนมีความคืบหน้า ก็ทำให้ครอบครัวเบิร์กรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง สีหน้าของพวกเขาดูผ่อนคลายลง ราวกับภาระหนักอึ้งบางส่วนถูกยกออกไปจากบ่า
"ขอบคุณมากนะคะ คุณนักสืบ" ภรรยาของไมเคิลกล่าว น้ำตาเอ่อคลอ "ดิฉันกับครอบครัวรู้สึกขอบคุณมากๆ ที่คุณยังไม่ล้มเลิกการตามหาไมเคิล"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับ หัวใจบีบรัดด้วยความรู้สึกผิด "ผมสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ" คำโกหกที่เขาเอ่ยออกไปทิ้งรสขมไว้บนลิ้น
การโกหกแม้จะทำไปด้วยเจตนาดี ก็ยังคงทิ้งความรู้สึกผิดไว้ในใจ ชาร์ลส์รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงกับครอบครัวของไมเคิล แต่เขาก็ทนเห็นความผิดหวังในแววตาของพวกเขาไม่ได้ ความผิดหวังที่สามี ลูก หรือพ่อของพวกเขายังไม่กลับมา แม้ข่าวคราวยังคงเลือนราง ชาร์ลส์ทนเห็นความเศร้าเ่าั้ไม่ได้จริงๆ
หลังจากพูดคุยเสร็จ ชาร์ลส์ขอแยกไปนั่งสงบใจสักพัก ความเงียบเข้าปกคลุมขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวออกจากบ้านครอบครัวเบิร์ก เสียงล้อรถกระทบพื้นหินดังกึกก้องในความว่างเปล่า
"ขอโทษนะ" ชาร์ลส์พึมพำกับตัวเอง "ฉันมันขี้ขลาด"
โจเซฟที่นั่งอยู่ตรงข้าม ได้ยิน แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเข้าใจดีว่าชาร์ลส์กำลังรู้สึกอย่างไร การบอกความจริงกับครอบครัวเบิร์กเป็เื่ยาก และชาร์ลส์ก็เลือกที่จะปกป้องความรู้สึกของพวกเขาไว้ก่อน
"ฉันขอลงไปเดินเล่นสักพักได้ไหม" ชาร์ลส์เอ่ยขึ้น เสียงสั่นเครือ "อยากอยู่คนเดียวสักหน่อย"
แม้จะไม่อยากปล่อยเพื่อนไว้ลำพัง แต่เมื่อโจเซฟเห็นมือที่สั่นเทาและสีหน้าที่ชาร์ลส์พยายามปกปิดความวิตก เขาก็จำเป็ต้องยอมให้เพื่อนมีเวลาสงบใจคนเดียวสักพัก
"ได้สิ" โจเซฟตอบ น้ำเสียงอ่อนโยน "แต่ฉันจะอยู่ไม่ไกล มีอะไรก็เรียกได้"
ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่อ่อนแรงลง ชาร์ลส์หาที่นั่งแห่งหนึ่ง ม้านั่งไม้เก่าใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง เขานั่งไตร่ตรองกับตัวเอง นอกจากเื่ของครอบครัวไมเคิลแล้ว เขายังกลัว กลัวกับเหตุการณ์ในคืนนั้น เป็เหตุการณ์ที่น่ากลัวและเฉียดความตายมากที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมา
เขาเพียงแค่หลับตาไม่ทันไปเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับเป็เสี้ยววินาทีที่ทำให้เขาเกือบสิ้นชีวิต แม้จะรอดมาได้ แต่ผลกระทบก็ยังตามมาหลอกหลอนเขาไม่หาย มือไม้ของชาร์ลส์สั่นเทา ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นผุดซึมตามขมับ ตอนนี้เขาทั้งกลัวทั้งหนักใจ อาการเหล่านี้อยู่ในสายตาของโจเซฟที่เฝ้ามองชาร์ลส์อยู่ไม่ไกล เงาของต้นไม้ทอดยาวพาดผ่านร่างของทั้งสอง
จากนั้น ชาร์ลส์ก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นโจเซฟเดินเข้ามาหา แต่ในวินาทีนั้นเอง ภาพที่เห็นทำให้เืในกายเย็นเฉียบ บนใบหน้าของโจเซฟปรากฏรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง ปากที่ถูกกรีดแล้วเย็บให้กลายเป็รอยยิ้มน่ากลัว ด้ายสีแดงเข้มเย็บริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างหยาบช้า เืซึมออกมาตามรอยเย็บ
ชาร์ลส์สะดุ้ง หัวใจเต้นรัวราวกับจะะเิออกมา ความหวาดกลัวแล่นปราดไปทั่วร่าง ภาพหลอนกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว แสงแดดที่เคยอบอุ่นกลับรู้สึกเย็นเยียบ
โจเซฟยื่นมือมาทางเขา
ชาร์ลส์คิดว่าถึงเวลาไปธุระต่อแล้ว เขาจึงจับไม้เท้าหัวเงินดันพยุงตัวเองลุกขึ้น พร้อมกับอีกมือหนึ่งยื่นไปจับมือที่โจเซฟยื่นมา เป็แรงดึงตัวเขาให้ลุกขึ้น
ทันใดนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านหลัง "ชาร์ลส์? นายกำลังทำอะไรน่ะ?"
ความหวาดกลัวแล่นริ้วตามแผ่นหลัง ชาร์ลส์หันกลับไปช้าๆ เห็นเป็โจเซฟอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าสงสัย โจเซฟคนที่เพิ่งมาถึงมองสลับไปมาระหว่างชาร์ลส์กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
"นั่นใครน่ะ?" โจเซฟถาม "คนรู้จักรึเปล่า?"
เืในกายของชาร์ลส์เย็นเฉียบ ความคิดวุ่นวายผุดขึ้นในหัว ' แล้วมือที่เขากำลังจับอยู่ตอนนี้เป็ของใครกัน?'
บรรยากาศตึงเครียดราวกับเส้นด้ายที่ใกล้จะขาดผึง กลิ่นอายแห่งความผิดปกติแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกของชาร์ลส์อย่างฉับพลัน ไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว แรงมหาศาลก็กระชากแขนของเขาเข้าไปในอากาศธาตุ ราวกับมีอำนาจลึกลับบางอย่างกำลังดึงร่างของเขาให้หลุดออกจากโลกแห่งความเป็จริง
หยาดเหงื่อเย็นผุดซึมตามขมับ ขณะที่ชาร์ลส์มองเห็นมือของตัวเองหายไป ความรู้สึกตื่นตระหนกแล่นริ้วไปตามร่างกาย
"อย่าขยับ!" เสียงะโก้องของโจเซฟดังแหวกอากาศ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่แขนของชาร์ลส์ที่กำลังหายไปในความว่างเปล่า ใบหน้าเคร่งเครียดขณะรวบรวมสมาธิจดจ่อกับคนแปลกหน้า
ในชั่วพริบตา ทุกสิ่งชีวิตรอบตัวก็หยุดนิ่ง นกที่กำลังโผบินค้างนิ่งกลางอากาศก่อนร่วงหล่นสู่พื้น สุนัขจรจัดที่กำลังย่างก้าวชะงักค้างราวกับรูปปั้น แม้แต่ชาร์ลส์เองก็รู้สึกถึงพลังที่กดทับร่างกาย บีบให้เขาต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่
ชาร์ลส์จ้องมองมือที่หายไปจนถึงข้อมือด้วยความพรั่นพรึง แม้จะมองไม่เห็น แต่เขายังรู้สึกถึงความอบอุ่นและความแห้งผาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอากาศรอบกายที่ชื้นเย็น ความแปลกแยกนี้ยิ่งเพิ่มความหวาดผวาให้แก่เขา ราวกับส่วนหนึ่งของร่างกายได้หลุดเข้าไปอยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง
ท่ามกลางความเงียบงันที่ครอบคลุม โจเซฟจ้องมองคนแปลกหน้าที่ดึงมือของชาร์ลส์อย่างเคร่งเครียด เขารับรู้ได้ถึงแรงขัดขืนที่กำลังต่อต้านอำนาจของเขา ชายผู้นี้กำลังดิ้นรนต่อสู้ พยายามฝ่าฝืนพลังที่กักขังเขาไว้
โจเซฟรู้ดีว่าเขาไม่อาจคงประกาศิตหยุดยั้งไว้ได้ตลอดไป พลังของเขามีขีดจำกัด ยิ่งกักขังไว้นานเท่าไร อันตรายก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น เขาต้องหาทางแก้ไขโดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ขณะนี้โจเซฟยืนนิ่งราวกับรูปสลัก เขาก็ไม่อาจขยับร่างกายได้เช่นกัน เว้นแต่จะยอมปล่อยให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า ชาร์ลส์อาจถูกดึงกลืนหายเข้าไปในความว่างเปล่าทั้งร่าง ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
โจเซฟกัดฟัน หยาดเหงื่อเย็นเยียบผุดพรายบนหน้าผาก ขณะที่ดวงตาฉายแววกังวลมองไปยังชาร์ลส์ ผู้ซึ่งใบหน้าซีดเผือดราวกับผ้าขาว ความใฉายชัดในดวงตาที่เบิกกว้าง
"ชาร์ลส์" เสียงของโจเซฟแหบพร่า "ฉันจะพยายามช่วยนาย แต่นายต้องตั้งสติไว้"
ชาร์ลส์พยายามสูดหายใจลึก ควบคุมความกลัวที่กำลังกัดกินจิตใจ แต่ความหวาดผวายังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เสียงหัวใจเต้นระรัวดังก้องในโสตประสาท
"โจเซฟ! ยกเลิกพลัง!" เสียงของชาร์ลส์แหลมกร้าว สั่นเครือด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อเย็นไหลซึมตามแผ่นหลัง
โจเซฟลังเลชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจปลดปล่อยพลังที่ควบคุมทุกคนไว้ ในทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตในรัศมีก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เสียงนกร้องและสุนัขจรจัดเห่าหอนกลับคืน
ชาร์ลส์ที่ตั้งตัวได้แล้ว ฟาดไม้เท้าหัวเงินในมือใส่ร่างลึกลับที่จับแขนเขาไว้อย่างรวดเร็ว แรงฟาดนั้นทำให้ชายผู้นั้นถอยหลังและปล่อยมือในทันที
ชาร์ลส์รีบชักแขนกลับถอยห่างออกมา เขาตรวจดูมือที่เมื่อครู่กำลังเลือนหายไปอย่างละเอียด โล่งใจที่ทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วน แต่ความรู้สึกระแวงยังไม่หายไป เขารู้ได้ทันทีว่าชายที่จับแขนเขาไว้นั้นไม่ใช่โจเซฟ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจคือความแตกต่างในการกระทำ และเสียงเรียกของโจเซฟที่แท้จริง
ชาร์ลส์หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพหลอนที่คอยโผล่มาหลอกหลอนเขานั้นไม่เคยมีเสียงพูดที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม เสียงที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงกระซิบหรือเสียงหัวเราะ แต่คราวนี้ เขาได้ยินเสียงที่ชัดเจน มันจึงทำให้เขาตื่นตัวและตัดสินใจได้ถูกต้อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้