ซวี่เฉินฟางถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
ประสบการณ์ที่ไม่อยากเอ่ยถึงเมื่อคืนนับเป็ความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขา!
ที่สำคัญคือ อินเหิงยังกล้าพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เว้นวรรคแม้แต่น้อย ช่างน่าโมโหจริงๆ!
ซวี่เฉินฟางกล่าว "น่าเสียดายที่อาอู่ไม่อยู่ มิเช่นนั้นสมควรให้นางได้เห็นลิ้นอาบพิษของเ้า"
สองคนนี้ต่างก็ไม่ชอบหน้ากันนานแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ใดเริ่มลงมือก่อน โดยหยิบเสาไม้ไผ่ที่พิงอยู่ข้างกำแพงขึ้นมาทักทายอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ซวี่เฉินฟางเดินแทบไม่มีเสียง ยามนี้อินเหิงหยั่งเชิงเขา เขาก็หลบหลีกได้อย่างรวดเร็วมากจริงๆ
แม้อินเหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น แต่ความเร็วในการตอบสนองของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เก้าอี้เข็นไม่ได้เป็อุปสรรคสำหรับเขา เขากลับบังคับมันให้เคลื่อนไหวได้อย่างปราดเปรียว
ล้อเก้าอี้เข็นข้างหนึ่งเกี่ยวเสาไม้ไผ่ที่ซวี่เฉินฟางฟาดใส่ ก่อนบดขยี้ไม้ไผ่จนแตกเป็เสี่ยงๆ
แม้เสาไม้ไผ่ยาว แต่เมื่ออยู่ในมือของคนทั้งคู่กลับเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ทุกที่ที่พวกเขาเคลื่อนผ่านล้วนเกิดเป็สายลมอ่อนโยนพัดโชย
จากนั้นอินเหิงก็สะบัดแขนเสื้อและโยนเสาไม้ไผ่อีกหลายต้นใส่อีกฝ่าย ซวี่เฉินฟางรับมืออย่างใจเย็น เมื่อประมือกันไม่กี่กระบวนท่า มือข้างหนึ่งก็คว้าเสาไม้ไผ่ไว้ได้หนึ่งต้น เท้าก็ไม่ได้อยู่เฉย เหยียบเสาไม้ไผ่อีกต้นหนึ่งไว้แน่น
ทั้งสองคนสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าใด แต่มือเท้ากลับออกแรงปะทะกันอย่างลับๆ
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่น อินเหิงกับซวี่เฉินฟางต่างถอยหลังสองก้าวพร้อมกันทันเวลา
เมื่อเมิ่งอู่กับนางเซี่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบออกมาดู เห็นเพียงรอบบริเวณที่เละเทะไปหมด เสาไม้ไผ่ที่เดิมพิงอยู่ข้างกำแพงท่อนแล้วท่อนเล่าแตกเป็ชิ้นๆ กองระเกะระกะเกลื่อนพื้น
เมิ่งอู่เหลียวมองอินเหิง ก่อนมองซวี่เฉินฟาง เอ่ยถาม "เกิดอันใดขึ้น?"
อินเหิงกับซวี่เฉินฟางเงียบไปชั่วขณะ
จากนั้นอินเหิงค่อยกล่าว "เมื่อครู่ลมแรง"
ซวี่เฉินฟางกล่าวต่อ "จู่ๆ ลมก็พัดเสาไม้ไผ่พวกนี้ร่วงลงพื้น"
อินเหิงกล่าวเสริม "จนแตกเป็ชิ้นๆ"
เมิ่งอู่ไม่อยากจะเชื่อ "ต่อให้มันร่วงลงมาแล้วแตกเอง จะแตกเละเทะขนาดนี้เลยหรือ?"
อินเหิงกล่าวอย่างจริงจัง "อาจเป็เพราะมันล้มไม่ถูกท่ากระมัง"
ซวี่เฉินฟางอดเหลือบมองอินเหิงไม่ได้ คนผู้นี้โกหกหน้าตาเฉยจริงๆ!
ต่อมาเมิ่งอู่คิดทบทวน เสาไม้ไผ่พวกนี้วางตากแดดไว้ในลานเรือนซึ่งเป็ที่โล่งมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อโดนแดดแผดเผา น้ำในเนื้อไม้ก็เหือดแห้ง ย่อมกรอบจนแตกหักง่าย
นางจึงได้แต่เก็บเศษไม้ไผ่แตกๆ แล้วอุ้มไปใช้เป็ฟืนในครัว
อินเหิงบังคับเก้าอี้เข็นไปยังที่ร่มใต้ชายคา กล่าวเสียงแ่เบา “ที่แท้ทุกสิ่งล้วนเป็เพียงเปลือกนอก คุณชายซวี่ช่างเก็บงำความสามารถไว้ลึกนัก”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตา ก่อนยกมือขึ้นแตะโหนกคิ้ว มองดูท้องฟ้าสีครามนอกชายคา กล่าวว่า “คุณชายหวังเองก็ไม่ธรรมดา หมู่บ้านซุ่ยนี้ช่างเป็ดินแดนแห่งพยัคฆ์หมอบัซ่อน [1] จริงๆ”
ทางด้านเรือนสกุลเมิ่ง นางเย่กับนางเหอตื่นแต่เช้าเพื่อตั้งใจจะจับซวี่เฉินฟางที่อยู่บนเตียงให้ได้ เช่นนั้นด้วยวิธีนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลือก สุดท้ายได้แต่ต้องแต่งงานกันเท่านั้น
ผลปรากฏว่าเมื่อมองเข้าไปในห้องกลับเห็นเมิ่งเจียนเจียนอนหลับอยู่บนเตียง ส่วนเมิ่งซวี่ซวีนอนขดตัวอยู่บนพื้น ภายในห้องไม่มีบุรุษแม้แต่คนเดียว
นางเย่ปลุกสองสาวพี่น้อง เมิ่งซวี่ซวีไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ตามความคาดหวังของนาง เช้านี้สมควรจะตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของซวี่เฉินฟาง จากนั้นก็ขอให้เขารับผิดชอบนาง แต่ไยนางถึงได้นอนอยู่บนพื้นเล่า?
ส่วนเมิ่งเจียนเจีย พอตื่นขึ้นมาก็ร่ำไห้ทันทีราวกับถูกคนรังแก
นางสะอื้นไห้ก่อนเอ่ยว่า เมื่อคืนเมิ่งอู่มาที่นี่ ไม่เพียงพาซวี่เฉินฟางไป นางยังลงมือทุบตีตนด้วย
เมิ่งซวี่ซวีเพิ่งลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะและปวดหน้าผาก นางเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ก่อนส่องคันฉ่อง แล้วต้องกรีดร้องด้วยความใ
บนหน้าผากของเมิ่งซวี่ซวีมีรอยบวมฟกช้ำขนาดใหญ่สีม่วงเขียว เจ็บเมื่อัั
นางกระแทกเมื่อใด ไฉนถึงจำไม่ได้เลยเล่า?
ต่อมาเมิ่งซวี่ซวีค่อยนึกทบทวนดูอย่างถี่ถ้วน พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนคล้ายนางจะตื่นขึ้นมาหนหนึ่ง เวลานั้นนางปรือตาอย่างมึนงง รู้สึกเหมือนว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า และกำลังจ้องมองนางด้วยสายตาที่ทั้งเจิดจ้าทั้งมืดมนแปรปรวน
แต่นางยังไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาของบุคคลตรงหน้าชัดเจน ก็มีวัตถุหนักๆ บางอย่างกระแทกเข้าใส่ นางรู้สึกเจ็บแปลบก่อนหมดสติไป
เมิ่งซวี่ซวีโกรธกรุ่นสุดขีด แต่ไม่รู้ว่าจะไปลงกับผู้ใด
ดูคล้ายใบหน้าของนางน่าเกลียดน่ากลัวและอัปลักษณ์ เพราะรอยฟกช้ำที่หน้าผากของนางโดดเด่นเหลือหลาย
นางกรีดร้อง “ใครตีข้า! เป็ฝีมือของผู้ใด!”
เมิ่งเจียนเจียกล่าวอย่างน่าสงสาร “จะเป็ผู้ใดไปได้เล่า นี่ล้วนเป็ความผิดของข้าเอง ข้าปกป้องซวี่ซวีไม่ได้...”
เมิ่งซวี่ซวีกล่าวด้วยความโกรธแค้น “เมิ่งอู่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเ้าไว้แน่!”
นางเย่กับนางเหอพยายามที่จะไม่โมโห เดิมคิดว่าเื่ราวดีๆ ลุล่วงแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อคืนเมิ่งอู่จะบุกเข้ามาในเรือน
แต่นี่ไม่ใช่เื่ที่ดี ย่อมมิอาจป่าวประกาศออกไป ทำได้เพียงกล้ำกลืนความคับแค้นใจไว้
เมิ่งซวี่ซวีสาปแช่งเมิ่งอู่ตลอดทั้งเช้า บริภาษอย่างหยาบคายชั่วร้ายสารพัด
…
เมิ่งอู่ฟังนางเซี่ยท่องพระสูตรปลูกฝังความคิดทั้งเช้าจนรู้สึกเวียนศีรษะนานแล้ว แล้วยังจะมีแก่ใจจดจำเื่ที่นางใกล้ชิดกับอินเหิงเมื่อคืนได้อย่างไร
พอนางอยู่ตามลำพังกับอินเหิง ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าใต้ตาของอินเหิงมีรอยคล้ำจางๆ ดูคล้ายสภาพจิตใจไม่ดีนัก
เวลานั้นเมิ่งอู่นั่งตรงข้ามเขา โน้มตัวเพ่งมองเขาอย่างใกล้ชิดพร้อมเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ อาเหิง คล้ายเ้าจะมีรอยคล้ำใต้ตา”
อินเหิงมองเมิ่งอู่ ยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็เห็นสายตาของนางเลื่อนลงมาหยุดที่ริมฝีปากของเขา นางเลียเรียวปากของตนเอง
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยจุมพิตกันแล้ว แต่ประสบการณ์ที่เมิ่งอู่ได้รับเมื่อคืนกลับต่างออกไป
ยามนี้นางหวนนึก ในใจยังหวั่นไหวอยู่บ้าง
อินเหิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย้ายวน “มองอันใดอยู่”
เมิ่งอู่ตอบอย่างหลงใหล “แน่นอนว่าต้องมองเ้าสิ” ริมฝีปากสีอ่อนของเขางามนัก นางกล่าวต่อ “ยามนี้แค่เห็นหน้าเ้า ข้าก็ปากแห้งไปหมดแล้ว”
อินเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ยังคงเอ่ยเสียงนุ่มราวกับกระซิบกระซาบกับนาง “ท่านแม่ของเ้าเพิ่งสั่งสอนเ้าั้แ่เช้า เ้าก็ทำเป็ลมผ่านข้างหูแล้วหรือ?”
เมิ่งอู่ยกมือขึ้นเกาแก้มเบาๆ กล่าวว่า “ข้าจำได้สิ ท่านแม่บอกว่าก่อนแต่งงานห้ามแตะต้องเ้าอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นภายภาคหน้าเ้าจะเสียนิสัย”
อินเหิงเผยรอยยิ้มบางเบา “น่าจะเป็เ้าพูดมากกว่า”
เมิ่งอู่ยิ้มเ้าเล่ห์ให้เขา “ข้าเป็คนดี หากไม่เป็คน ข้าก็ยังเป็นักเลงที่คอยแต่จะรังแกเ้าโดยเฉพาะได้”
ริมฝีปากของอินเหิงเผยรอยยิ้มจางมาก แต่กลับทำให้คนเพลิดเพลินเจริญตา “อาอู่ หากฮูหยินได้ยินประโยคนี้ นางต้องโมโหอีกเป็แน่”
เมิ่งอู่ใจสั่นเมื่อเห็นวงหน้าหล่อเหลาคมคายของเขา นางกล่าว “นี่เป็อารมณ์ขันระหว่างพวกเราสองคน ข้าจะไม่บอกท่านแม่”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเ็าเอ่ยแทรก “อารมณ์ขัน? แม่อยากรู้จริงๆ ว่าเ้ายังมีอารมณ์ขันอันใดอีก”
สีหน้าของเมิ่งอู่พลันแข็งค้าง นางค่อยๆ เหลียวกลับไปมอง เห็นนางเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถือไม้เรียวเล็กๆ อันหนึ่ง
เมิ่งอู่ยิ้มแห้ง ก่อนกล่าวกับนางเซี่ย “ฮ่าๆๆ ท่านแม่ ข้าแค่ล้ออาเหิงเล่นเ้าค่ะ… ”
ไม่รู้ว่าซวี่เฉินฟางมายืนพิงประตูพลางชมละครดีๆ ั้แ่เมื่อไร ด้วยเกรงว่าโลกจะไม่วุ่นวาย เขาพูด "ท่านป้า ญาติผู้น้องอาอู่อายุยังน้อยขนาดนี้ ไหนเลยจะรู้เื่พรรค์นี้ น่าจะเป็หวังสิงที่สอนนางกระมัง อย่าให้เขาสอนเื่เลวร้ายให้นางเลยขอรับ"
นางเซี่ยรู้สึกว่าสมเหตุสมผลมาก กาลก่อนอาอู่เป็เด็กดีว่านอนสอนง่าย ไม่เคยมีความคิดแปลกพิกลขนาดนี้ แต่หลังจากอินเหิงมาพักที่นี่ นางก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นางเซี่ยบันดาลโทสะ เอ่ยว่า “หวังสิง! หากเ้ายังสอนเื่พรรค์นี้ให้อาอู่อีก ระวังไม้เรียวไร้ตาของข้าไว้ให้ดี!”
เมิ่งอู่รีบกล่าว “ไอ้หยา ท่านแม่ คนเราเมื่อแรกเริ่มก็มีกามตัณหาโดยธรรมชาติ ข้าล้วนเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับอาเหิง!”
ซวี่เฉินฟางที่กำลังจิบชาอย่างสบายๆ ได้ยินดังนั้นก็สำลักออกมา
เมิ่งอู่มองผ่านซวี่เฉินฟางแวบหนึ่ง “พัดลมติดไฟ [2] ยุแยงตะแคงรั่ว แท้จริงแล้วกฎ์ชัดเจน เวรกรรมตามสนอง”
ซวี่เฉินฟางลูบอก ก่อนยกนิ้วให้เมิ่งอู่ แล้วเช็ดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าว “ญาติผู้น้องอาอู่ช่างมีพร์ มีพร์จริงๆ”
นางเซี่ยยิ่งโมโหหนัก สุดท้ายจึงสั่งให้เมิ่งอู่ยืนหันหน้าเข้าหากำแพงพลางท่องคัมภีร์ตรีอักษร [3] หลายรอบถึงจะยอมปล่อยไป
ยามบ่ายแดดแรงกล้ามาก โดยทั่วไปชาวบ้านมักไม่ยอมออกจากเรือนไปทำงานเวลานี้ ต้องงีบหลับที่เรือน สบายจนเกียจคร้าน
ดังนั้นท่ามกลางแสงตะวันที่แผดเผาผืนดิน ภายในหมู่บ้านจึงเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงจักจั่นที่พยายามจะร้องระงมเสียงดังอยู่บนต้นไม้
่บ่ายทุกคนในเรือนของเมิ่งอู่ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเช่นกัน
เมิ่งอู่นำสมุนไพรมาบดละเอียด แล้วห่อเป็ก้อนกลมๆ หลังนึ่งแล้วจะมีกลิ่นหอมอุ่นร้อนของสมุนไพรอบอวลไปทั่ว นางถือลูกประคบเดินไปที่ห้องของอินเหิง พอผลักประตูก็พบว่าเขาขัดดาลประตูไว้
แท้จริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนนอนก็ไม่เคยขัดดาลประตู นี่ป้องกันผู้ใด?
เมิ่งอู่ได้แต่กระซิบถามอยู่หน้าประตู “อาเหิง เ้านอนแล้วหรือ?”
ครู่หนึ่งอินเหิงค่อยตอบรับ “นอนแล้ว มีอันใด?”
ในเมื่อเขานอนแล้ว ย่อมมิอาจปล่อยให้เขาลุกจากเตียงมาเปิดประตูให้ เยี่ยงนั้นคงลำบากเขาแย่ เมิ่งอู่จึงเดินไปที่หน้าต่าง ลองผลักหน้าต่างดูก็เปิดออก ยังดีๆ ที่ไม่ได้ปิดหน้าต่าง
นางกำลังจะปีนหน้าต่างเข้าไป อินเหิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นในห้องได้ยินเสียงก็เหลือบตามอง
เมิ่งอู่ปีนไปได้ครึ่งทาง ก็ช้อนตาขึ้น สี่ตาประสานกัน นางที่นั่งยองอยู่บนขอบหน้าต่างถึงขั้นชะงักไป
เมิ่งอู่กระซิบถาม “ไม่ใช่ว่าเ้านอนแล้วหรือ?”
อินเหิงตอบ “ข้านั่งหลับ”
เมิ่งอู่หัวเราะก่อนเอ่ย "นั่งหลับได้อย่างไร ข้าจะอุ้มเ้าไปนอนบนเตียง" กล่าวจบ นางก็พลิกตัวข้ามหน้าต่างแล้วะโเข้าไปในห้องของอินเหิง
เมิ่งอู่เดินมาตรงหน้าอินเหิง แล้วโน้มตัวลงเหมือนเช่นทุกครั้ง ก่อนอุ้มเขาไปวางบนเตียง และจัดสองขาของเขาให้วางราบอย่างเรียบร้อย
อินเหิงค่อยๆ เอนตัวลงนอนพลางมองเมิ่งอู่ด้วยั์ตาสีอ่อนชั่วขณะ เมิ่งอู่เอื้อมมือไปลูบเปลือกตาของเขาเบาๆ เขาก็หลับตาลงช้าๆ
จากนั้นเมิ่งอู่หยิบลูกประคบเล็กๆ สองลูกออกมาก่อนเอ่ย “ข้าจะนวดลูกประคบรอบดวงตาให้เ้า เพื่อช่วยขจัดรอยคล้ำใต้ตา ประเดี๋ยวเ้าจะได้นอนหลับสบายขึ้น”
นางวางลูกประคบไว้บนเปลือกตาของอินเหิงแล้วนวดเบาๆ ลูกประคบยังอุ่นอยู่ ให้ความรู้สึกสบายเหลือประมาณยามัักับผิวรอบั์ตา
เมิ่งอู่เอ่ยถาม “อาเหิง เมื่อคืนเ้านอนไม่หลับใช่หรือไม่?” นางจำได้ว่าเมื่อคืนนางหลับสบายมาก เพียงปิดเปลือกตาก็เข้าสู่ห้วงฝัน
อินเหิง “อืม”
เมิ่งอู่ถาม “ทำไมเ้าถึงนอนไม่หลับเล่า?”
อินเหิงเงียบไปประเดี๋ยวเดียวค่อยกล่าว “เพราะเ้าแย่งผ้าห่มข้า”
เมิ่งอู่ถอนหายใจ “ดูท่าต่อไปหากข้าอยากนอนกับเ้า ยังต้องเตรียมหมอนกับผ้าห่มมาเอง” พูดจบนางก็หยุดสักพักก่อนเอ่ยถามอีก “เช่นนั้นท่านอนของข้าเรียบร้อยดีกระมัง?”
อินเหิงตอบ “ไม่ค่อยดีเท่าไร”
เมิ่งอู่ซัก “ไม่ดีที่ใด บอกมาซิ ครั้งหน้าข้าจะได้ระวัง”
อินเหิงมุมปากกระตุกอย่างคลุมเครือ ในขณะที่เมิ่งอู่ประคบตาให้เขาอย่างเบามือ จู่ๆ เขาก็คว้าข้อมือนางไว้ แล้วรั้งนางเข้าสู่วงแขน
เมิ่งอู่เซถลาไปข้างหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนถูกเขากอดเอวและรัดนางไว้แนบอกเขา
……….
[1] หมายถึง สถานที่ที่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
[2] หมายถึง ยุยงคนอื่นให้ทำเื่ไม่ดี
[3] เป็ตำราเรียนพื้นฐานของจีนสำหรับเด็กๆ เพื่อเรียนรู้ตัวอักษรและคุณธรรม