คนขับรถม้าคนนั้นมิกล้าตอบคำถาม เลือกที่จะเดินไปเปิดประตูหลังจวน นำทางมู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปด้านใน
มู่อวิ๋นจิ่นถูกพามาที่เรือนรองที่อยู่ด้านหลัง และห่างจากห้องโถงของจวนอย่างมาก เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกวาดสายตามองสิ่งรอบตัว ในใจได้แต่คิดเหยียดหยามการต้อนรับที่ไม่ให้เกียรติของพระชายาหรง
ประตูเรือนรองถูกเปิดออก โดยเห็นแสงรำไอยู่ข้างใน พระชายาหรงนั่งอยู่ในนั่นเป็องค์ประธาน ฉีกยิ้มปรายตามองมู่อวิ๋นจิ่น ด้านข้างมีฉินมู่เยว่ที่ไม่เห็นหน้าคาดตามาหลายวันอยู่ด้วย
“หลานสะใภ้มาแล้ว ให้เปิ่นเฟย[1]รอเสียตั้งนานเชียว” พระชายาหรงเอ่ยขึ้นอย่างอ้อมค้อม
“บ่าวใช้ไปรายงานว่าน้องสี่ป่สวหยักมิใช่หรือ พาหลานไปเยี่ยมเสียหน่อย” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง
ฉินมู่เยว่หรี่ตาอย่างชั่วช้า เดินลงมาข้างตัวมู่อวิ๋นจิ่น ยกมือนางขึ้นมาจับไว้ “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น น้องสี่ที่จิตใจชั่วร้ายเช่นนั้น ปล่อยให้ตายๆ ไปก็สิ้นเื่ ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ในใต้หล้ากลัวจะสร้างเื่ใหญ่หลวงขึ้นมา พี่สะใภ้อย่าลืมสิ เมื่อก่อนน้องาาวตัวดีทำอะไรไว้ให้พี่สะใภ้บ้าง”
“อ่อ? น้องก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้สลัดมือของฉินมู่เยว่ออก
“ใช่น่ะสิ ที่สำคัญนางใจกล้า กำเริบเสิบสาน มิหนำซ้ำยังสอดส่องสายตายั่วยวนพี่ลี่อีก โดยไม่แหกตาดูสารรูปตัวเองว่าเป็ยังไง ดูสิตอนนี้แต่งกับท่านอ๋องหรงที่อายุรุ่นราวคราวพ่อีก” ฉินมู่เยว่เอ่ยหยาดเหยียด
มู่อวิ๋นจิ่นฝืนยิ้มมุมปาก มองไปที่ฉินมู่เยว่ ตามด้วยพระชายาหรง “แต่น้องสี่เพิ่งแต่งเข้าจวนหรงได้ไม่กี่วันก็ตายลง คงจะเป็ที่ติฉินนินทาของคนทั้งเมืองกระมัง?”
“จะเป้นไปได้ยังไงเล่า เื่เกิดแก่เจ็บตายไม่มีผู้ใดควบคุมได้ ตอนนี้รอคำสั่งของพี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น มู่หลิงจูก็สามารถสิ้นใจได้ในพริบตา” ฉินมู่เยว่ยิ้มอำมหิตส่งให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นรอยยิ้มที่ไร้ความหวาดกลัวเช่นนี้ ได้แต่คิดในใจว่าคนประเภทนี้น่ากลัวที่สุด พอเห็นหน้าฉินมู่เยว่พลอยย้อนนึกไปถึงเื่ที่นางใช้กู่ฉงเล่นงานฉินไท่เฟย ในใจก็รู้สึกสมเพชเวทนาฉินมู่เยว่อยู่ไม่น้อย[2]
“ใช่พี่สะใภ้ได้ไปดูหน้านางก่อนแล้วกัน” มู่อวิ๋นจิ่นดึงมือออกแล้วเดินไปด้านนอก
“ตงเอ๋อร์ เ้าพาพระชายาหกไปที่เรือนรองหน่อยสิ”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นออกมายืนข้างนอก ฉินมู่เยว่ควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือที่เมื่อครู่ยื่นไปจับมือมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ท่านป้า พวกเ้าจะตามไปตอนไหนจึงเหมาะสม?”
“รอให้บ่าวใช้มารายงานก่อน”
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินตามบ่าวใช้ตงเอ๋อร์ไปที่เรือนรอง ตลอดทางนั้นใจของนางรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดี
จื่อเซียงที่เดินตามด้านข้างดึงแขนเสื้อ กระซิบเสียงแ่เบา “คุณหนู พวกเรากลับกันก่อนดีไหม พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมา ที่นี่ดูวังเวงยังไงพิกลเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร พวกเราแค่ไปดูให้เห็นกับตา จำเอาไว้พอเข้าไปด้านใน ห้ามแตะต้องของทุกอย่าง!” มู่อวิ๋นจิ่นกำชับหนักแน่น
จื่อเซียงพยักหน้ารับ ยิ่งมู่อวิ๋นจิ่นกำชับเช่นนี้ จิตใจของนางก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก
“พระชายาหกถึงแล้วเพคะ” บ่าวจะไปรอที่ห้องด้านข้าง สิ้นเสียงนางก็เดินหายไป
มู่อวิ๋นจิ่นมองเข้าไปในห้องเก่าโทรม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็ห้องเก็บฟืน ยิ่งไปกว่านั้นยังดูแย่ยิ่งกว่าเรือนมวลบุปผาที่นางเคยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีเสียอีก
เป็อย่างที่คิดไว้ทุกอย่าง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ
เมื่อก่อนมู่หลิงจูใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในหอมุกดา ดูอย่างตอนนี้อยู่ในห้องซอมซ่ออะไรเช่นนี้
พอผลักประตูเข้าไปเห็นด้านใดมีแสงรำไร พอจะมองเห็นด้านในคลุมเครือ นอกจากเตียงไม้แข็งที่ไม่มีเบาะรองแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ชุ่ยอวิ๋นกำลังนั่งนวดมือบีบแขนให้กับมู่หลิงจู พอนางเห็นมู่อวิ๋นจิ่นมาก็ร้องด้วยความดีใจ “พระชายาหกมาแล้ว!”
มู่หลิงจูที่นอนป่วยอยู่บนเตียง พยายามลืมตาขึ้นมาอย่างกินแรง พอสบตากับมู่อวิ๋นจิ่นเท่านั้น น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา “พี่สาว ช่วยน้องหน่อยเถอะ!!!”
“ต่อไปหลิงจูมิกล้าเป็ศัตรูกับพี่อีกแล้ว หลิงจูผิดไปแล้ว สำนึกผิดจากใจแล้ว พี่สาวช่วยน้องออกไปจากขุมนรกที่นี่ทีเถอะ!”
มู่หลิงจูร้องไห้โฮเสียงดังลั่นไปทั่ว สะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูมู่หลิงจูที่ซูบผอมและซีดเซียว ท่าทางของนางป่วยหนักจริงๆ ที่แขนของนางมีรอยฟกช้ำและแผลปริไม่สมานตัว ดูแล้วจะใกล้เป็หนองที่เหลืองเยิ้ม
“ชุ่ยอวิ๋น ข้าสั่งให้เ้านำยาทานและยาทากลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังมีสภาพแบบนี้อีก?” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปถามชุ่ยอวิ๋น
ชุ่ยอวิ๋นก้มหน้าเม้มปากแน่น “วันนั้นบ่าวระมัดระวังเป็อย่างมากแล้ว แต่พอกลับมาถูกคนขอพระชายาหรงพบเข้า จึงยึดยาทุกอย่างเอาไว้ แล้วสั่งตีบ่าวอย่างหนักเพคะ”
ชุ่ยอวิ๋นเล่าไปด้วย พลางเปิดรอบแผลที่มือให้ดูไปด้วย
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจเสียงแ่เบา หยิบขวดยาที่เหน็บไว้ในผ้าคาดเอว เทยาออกมาหนึ่งเม็ด ยัดเข้าปากมู่หลิงจู
“นี่คืออะไร?” มู่หลิงจูอมยาเอาไว้ในปาก ไม่ยอมกลืนลงไป
“ยาช่วยชีวิตเ้า หากอยากตายอยู่ที่นี่ก็พ่นยาออกมา” มู่อวิ๋นจิ่นสัพยอก
หากมู่หลิงจูต้องตายจริงต้องตายในมือของนางเท่านั้น
คนตระกูลฉินไม่มีสิทธิ์มาสั่งเป็สั่งตายคนตวนอัครเสนาบดีมู่ทั้งนั้น
มู่หลิงจูจึงยอมกลืนยาเม็ดนั้นลงไป เพราะในเวลานี้ มีเพียงมู่อวิ๋นจิ่นเท่านั้นที่นางสามารถเชื่อใจได้มากที่สุด
ช่างน่าสมเพชเวทนาที่สุด! มู่หลิงจูต่อสู้กับมู่อวิ๋นจิ่นมาอย่างยาวนาน สุดท้ายต้องมาขอร้องชีวิตกับมู่อวิ๋นจิ่น
หรือว่าเื่ราวในอดีตทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะเป็ความผิดของนางเองทั้งหมด?
……
มู่อวิ๋นจิ่นยืนกอดอกมองดูอยู่ในห้องสักครู่หนึ่ง
จู่ๆ ประตูถูกคนผลักออกอย่างแรง มู่อวิ๋นจิ่นหันขวับไปมอง เห็นฉินมู่หนานวิ่งเข้ามาข้างในอย่ารีบร้อน พร้อมคว้ามือของมู่อวิ๋นจิ่นวิ่งไปข้างนอก
“เ้า……”
มู่อวิ๋นจิ่นถูกฉินมู่หนานพาวิ่งออกไปในเรือนที่ห่างไกล จนหายใจกระหืดหระหอบ ถลึงตามองฉินมู่หนานอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้าลากข้าออกมาข้างนอกทำไมกัน?”
เมื่อเห็นน้ำเสียงของมู่อวิ๋นจิ่นแข็งกร้าว ฉินมู่หนานกลับยิ้มขึ้นมา “นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เห็น คนอย่างอวิ๋นจิ่นมีน้ำโมกับเขาด้วย”
มู่อวิ๋นจิ่นมองค้อนไปที่ฉินมู่หนาน ยกมือขึ้นมานวด “เ้าอยากพูดอะไร?”
“ข้าช่วยเ้า เ้ายังไม่ขอบคุณข้า หนำซ้ำยังสงสัยในตัวข้าอีก อวิ๋นจิ่นเ้าทำให้คนที่หวังดีอย่างข้าเสียใจ” ฉินมู่หนานกล่าวจบ แต่แววตากลับยิ้มอย่างดีใจ
นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นมีน้ำโห ดูๆ แล้วก็น่ารักอยู่มิน้อย
“ช่วยข้า?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้น
“ถ้าเ้ายังอยู่ที่นั่น วันพรุ่งนี้คนทั้งเมืองเตี๋ยฮวาจะต้องเล่าลือว่า คุณหนูสามมู่ให้ยาพิษกับน้องสาวสี่ของนางจนถึงแก่ความตาย” ฉินมู่หนานอธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินได้ฟังกลับไม่มีปฏิกิริยาตระหนกแต่อย่างใด เอ่ยเสียงเรียบเพียงเท่านั้น “เหอะ! แค่มุกตื้นๆ สตรีในยุคโบราณชอบใช้ไม้นี้กันทั้งนั้นสิท่า!”
“สตรีในยุคโบราณ?” ฉินมู่หนานไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นก็ี้เีต่อความยาวสาวความยืด อธิบายให้เปลืองน้ำลาย จากนั้นเลือกโบกมือลา เดินกลับไป
ฉินมู่หนานที่อยู่ข้างหลัง วิ่งเข้ามาคว้ามือเอาไว้ “อวิ๋นจิ่นอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านป้า”
“คู่ต่อสู้?” มู่อวิ๋นจิ่นเยาะเย้ย “นางไม่คู่ควรเป็ศัตรูของข้าแม้แต่นิดเดียว!”
สิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นสะบัดมือของฉินมู่หนานออก เดินตรงไปที่ห้องนั้น พร้อมกับยกนกหวีดขึ้นมาเป่า
องครักษ์ลับชุดม่วงที่แอบอยู่โดยรอบต่างปรากฏตัวขึ้นเตรียมพร้อม
มู่อวิ๋นจิ่นหันมองหัวหน้าองครักษ์ลับชุดม่วง เปรยขึ้นว่า “พาตัวมู่หลิงจูกลับไปรักษาตัวที่จวนอัครเสนาบดีมู่”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับมาที่ห้อง เห็นหัวหน้าองครักษ์ลับชุดม่วงคนนั้น อุ้มมู่หลิงจูที่ป่วยหนักโผบินจากไป
ในเวลานี้ พระชายาหรงได้พาทหารขี่ม้าติดตามมาด้วยจำนวนมาก พอเห็นหัวหน้าองครักษ์ลับชุดม่วงอุ้มมู่หลิงจูหมายพาหนีไป จึงะโขึ้นว่า “มู่อวิ๋นจิ่น ตอนนี้มู่หลิงจูเป็คนของจวนหรง เ้าพาคนจากเรือนข้าหนีออกไปตามอำเภอใจ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย!”
ฉินมู่หนานได้ไล่ตามกลับมาได้ทันเวลา เห็นหัวหน้าองครักษ์ลับชุดม่วง ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
คิดไม่ถึงว่า ฉู่ลี่ที่เืเย็น กลับให้องครักษ์ลับชุดม่วงกับมู่อวิ๋นจิ่น
ในระหว่างที่ฉินมู่หนานจะเอ่ยเสียงเพื่อช่วยมู่อวิ๋นจิ่น กลับได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นะโเสียงดังลั่นอย่างไร้ความหวาดกลัว “คนจวนหรงจะใช้เื่นี้เล่นงานข้า? สงสัยอยากให้ข้าสั่งให้องครักษ์ลับชุดม่วงนำตัวมู่หลิงจูเข้าวัง ให้เสด็จพ่อได้ทอดพระเนตรดูเสียหน่อย ว่าจวนหรงแห่งนี้ฆ่าคนดั่งกับผักปลา!!!”
“เ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าจวนหรงฆ่าคนดั่งผักปลา? เปิ่นเฟยก็บอกได้เหมือนกันว่าาแเหล่านี้ เ้าเป็คนทำขึ้นมา อย่างไรเสีย คนเขารู้กันทั่วว่าเ้ากับมู่หลิงจูไม่ลงรอยกัน เปิ่นเฟยเอาเื่นี้พูดออกไป ทุกคนคงเชื่อเป็เสียงเดียวกัน” พระชายาหรงชี้แจง
“มู่หลิงจูยังไม่ตายเสียหน่อย ทำไมนางจะพูดเองไม่ได้? หากถึงตอนนั้นมู่หลิงจูชี้ตัวว่าเป็พระชายาหรง ที่ทุกคนมองว่าเป็แม่พระมาโดยตลอด แต่ลับหลังกลับกระทำเื่ต่ำช้าเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังจะใส่ร้ายป้ายสี โดยใช้เื่ไม่ลงรอยของข้ากับน้องสี่มาเป็จุดเริ่มต้น เห็นทีเื่นี้ใครชนะใครแพ้ คงน่าสนุกอยู่มิน้อยว่าไหม? ’”
“มู่อวิ๋นจิ่น เ้า……” พระชายาหรงเดือดดาลถึงขีดสุด ที่คิดโต้แย้งกลับไปมิได้
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยเหยียบหน้าเสียงดังสนั่น “ในใต้หล้ามีคนมากมาย อย่าคิดว่าทุกที่เป็ของคนตระกูลฉินไปเสียหมด เื่ฉาวโฉ่อัปยศของตระกูลฉิน ข้าคิดว่าเป็ที่หนึ่งในใต้หล้า!”
ฉินมู่หนานที่ยืนฟังมู่อวิ๋นจิ่นเหยียบย่ำไม่ไว้หน้าคนตระกูลฉินอยู่ข้างหลัง พอได้ยินกลับรู้สึกถูกอกถูกใจอยู่มิน้อย
แม้ในแววตาจะชะงักด้วยความใ ฉินมู่หนานไม่นึกไม่ฝันว่าสตรีอย่างอวิ๋นจิ่นที่มีเืเนื้อและชีวิต ยิ่งทำให้เขารู้สึกประทับใจในตัวนางเพิ่มขึ้นไปอีก
ฉินมู่เยว่ที่ยืนหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมไม่ปรากฏตัว มองดูท่านป้าสรรหาคำเถียงกลับไม่ออก ได้แต่เศร้าใจ
เมื่อมองไปด้านหลังของมู่อวิ๋นจิ่น กลับเห็นฉินมู่หนานยืนมองนางด้วยสายตาผิดปกติ พี่ชายของนางมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่
หรือว่า……
ไม่ เป็ไปไม่ได้เด็กขาด!!!
……
ท้ายที่สุด มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินทางออกจากจวนหรงด้วยจิตใจที่เบิกบานเป็ที่สุด ตอนมาถูกฉินซูหนิงวางอำนาจข่มขู่ให้หวาดกลัว แต่พอถึงเวลาจะกลับ เห็นสีหน้าที่บูดเบี้ยวของพระชายาหรง จิตใจของมู่อวิ๋นจิ่นสาแก่ใจยิ่งนัก
ตอนมานั่งรถม้าเก่าของฉินซูหนิงมา ขากลับคงไม่มีรถม้าให้นั่งกลับแล้ว
แต่ว่าเื่นี้มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว นางกับจื่อเซียงพากันเดินกลับอย่างเบิกบานใจ หัวเราะคิกคักกันไปตลอดทาง
จื่อเซียงรู้สึกมีความสุขเป็พิเศษ “คุณหนู เมื่อครู่นี้ยอมเยี่ยมเหลือเกิน ดูหน้าพระชายาหรงตอนท้ายดูไม่ได้เลยเ้าค่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น……”
ด้านหลังมีเสียงเรียกของฉินมู่เยว่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงม้าวิ่ง
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียง กลับไม่หันไปมอง ยังคงเดินต่อไป ไม่นานนัก รถม้าคันหนึ่งมาหยุดลงเบื้องหน้า
“พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น นี่ก็มืดมากแล้ว ให้พวกเราไปส่งกลับจวนเถอะ” ฉินมู่เยว่เปิดม่านขึ้นพูด
มู่อวิ๋นจิ่นตอบโดยไม่กะพริบตา “ไม่จำเป็!”
“นั่งรถม้าไปด้วยกันเถอะ ดึกดื่นเช่นนี้ ทั้งยังมีแต่ป่ารก จะให้สตรีสองคนเดินคงไม่ปลอดภัย” ฉินมู่หนานที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ หันมองไปที่ฉินมู่หนาน “ขอบคุณใจความปรารถนา แต่ไม่จำเป็!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็ไร” ฉินมู่เยว่ไม่อยากฝืนง้อ ปิดผ้าม่านสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางกลับ
หลังจากที่รถม้าไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นมองไปรอบตัว โอบเอวจื่อเซียงแล้วใช้วิชาตัวเบาโผบินกลับไปอย่างรวดเร็ว
[1] เปิ่นเฟย สรรพนามที่ภรรยาท่านอ๋องใช้เรียกแทนตนเอง
[2] กู่ฉง เป็ สัตว์พิษที่ผ่านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยนำแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ใส่ภาชนะแล้วปล่อยให้กัดกินกันเอง โดยตัวที่เหลือรอดมาได้ นับว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำมาใช้วางพิษสังหารคนหรือใช้ถอนพิษก็ได้