ตลอดทั้งบ่าย เจิ้งหยวนไม่แยแสความเ็ปบนร่างกาย แถมยังเดินคุ้ยโน่นแตะนี่รอบบ้าน ตื่นเต้นไม่เลิกราคล้ายกำลังท่องเที่ยวอยู่ เธอกลัวว่ามันจะเป็ความฝัน เลยตบบริเวณที่โดนผู้เป็พ่อตีเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บก็พลันดีใจ เหมือนคนโรคจิตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้วจึงค่อยกลับห้อง เธอเริ่มค้นข้าวของในห้องตนเอง พรุ่งนี้เธอจะไปพบหลินเสี่ยวหยาง ต้องแต่งตัวให้สวยหน่อย!แต่ทว่าอยู่ดีๆ ประตูก็ถูกเปิดดัง ‘ปัง’
พร้อมใบหน้าเล็กกลมมนที่ชะโงกตามเข้ามา ทั้งยังกลอกลูกตาซ้ายขวารอบหนึ่ง
ราวกับเป็หัวขโมยก็ไม่ปาน
เจิ้งหยวนหันกลับไปมอง ก่อนหลุดยิ้มแล้วดุเธอ “แกทำอะไรเนี่ย? เด็กบ้า
จะเข้าก็เข้ามา!”
เจิ้งเจวียนหัวเราะแหะๆ แล้วผลักประตูเข้ามา “พี่หญิงรอง ฉันเลิกเรียนแล้ว!”
เจิ้งเจวียนใส่ชุดเก่าของเธอ เสื้อแขนสั้นผ้าหยาบลายตารางเข้าคู่กับกางเกงสีเขียวทหาร สะพายกระเป๋าหนังสือสีน้ำเงินดำที่คุณแม่เย็บ ดวงหน้าเล็กกลมน่ามองอาบไปด้วยความสุข คำนวณดูแล้ว เจิ้งเจวียนเพิ่งอายุสิบห้า และยังเรียนมัธยมต้นอยู่ แม้สกุลเจิ้งจะยากจน แต่เจิ้งเฉวียนกังกลับส่งเด็กทุกคนในบ้านเรียนจนจบมัธยมทั้งหมด
เจิ้งหยวนมองน้องสาวคนเล็กของตนเองด้วยสายตาซับซ้อน พลันความรู้สึกขมฝาดก็ตีตื้นขึ้นมาในใจ ชาติที่แล้วน้องสาวคนเล็กของเธอตายตอนอายุไม่ถึงยี่สิบปี ยังเยาว์วัยนัก ไม่เคยลิ้มลองรสชาติชีวิต แต่กลับแบกความอัปยศะโแม่น้ำฆ่าตัวตาย เมื่อก่อนเธอรำคาญน้องคนนี้เสมอ เพราะน้องชอบลอกเลียนแบบเธอั้แ่เล็ก ไม่ว่าเธอชอบกินหรือเล่นอะไร น้องก็ชอบทำตาม ยามเด็กเธอจึงคิดตลอดว่าน้องสาวคนเล็กตั้งใจแย่งของของเธอ ทว่าเมื่อโตขึ้นจนรู้เห็นสิ่งต่างๆ ถึงรู้ว่าเด็กเล็กมักชอบเลียนแบบเด็กที่โตกว่า น้องสาวคนเล็กสนิทสนมกับเธอเลยเรียนรู้จากเธอ ภายหลังเธอเคยสงสัยหลายครั้งว่าน้องสาวเล็กผูกสัมพันธ์กับยุวปัญญาชนคนนั้น อยากคบหาคนในเมืองที่ต้องกินข้าวที่ซื้อด้วยตั๋ว เหมือนที่เธอมีหรือเปล่า
ชาตินี้ เธอต้องเป็พี่สาวแสนดี เป็แบบอย่างให้แก่น้องสาว ดึงน้องสาวไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยน้องตกหลุมพรางยุวปัญญาชนนั่นอีก!
เจิ้งเจวียนวางกระเป๋าหนังสือลง แล้วหันกลับมาขยิบตาใส่เจิ้งหยวน “ไง พี่ เื่นั้นน่ะ สรุปแล้วว่ายังไงล่ะ?”
เจิ้งหยวนแสร้งไม่เข้าใจ “เื่อะไร?”
“เื่พี่เขยฉันน่ะสิ ตกลงพี่จะเอาใครมาเป็พี่เขยฉัน? พี่เขยหลินหรือพี่เขยเฝิง?”
พี่เขยหลิน พี่เขยเฝิงอะไรกัน? น้องเธอคนนี้ช่างพูดเสียจริง! เจิ้งหยวนรีบคุมสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ฉันคิดว่าพ่อแม่พูดถูก เป็คนไม่อาจเนรคุณ สกุลเฝิงเดิมช่วยฉันไว้
เฝิงเจี้ยนเหวินก็รอฉันมาหลายปี ฉันเห็นแก่ตัวคิดถึงเพียงตัวเองไม่ได้หรอก”
เจิ้งเจวียนตกตะลึง พลางอ้าปากเล็กน้อย สักพักถึงตั้งสติได้ ก่อนปีนขึ้นเตียงแล้วยื่นมือมาจะแตะหน้าผากเจิ้งหยวน “พี่ป่วยหรือเปล่า เมื่อก่อนไม่ได้พูดกับฉันแบบนี้นี่”
เจิ้งหยวนจับมือเธอออก “ฉันไม่ได้ป่วย… แต่เมื่อก่อนฉันบอกว่าอะไรนะ?”
“พี่บอกว่าต้องเป็สาวหัวก้าวหน้า ห้ามแต่งงานคลุมถุงชน ให้แสวงหาความรักอิสระค่ะ” เจิ้งเจวียนกะพริบตาปริบๆ เธอสงสัยเหลือเกินว่าพี่สาวคนนี้โดนิญญาครอบงำหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนความคิดได้ในชั่วพริบตาหรือ
เจิ้งหยวนหัวเราะแห้งสองคำรบ เมื่อก่อนเธอนี่มันเหลือเกินจริงๆ เธอพูดทุกอย่างกับน้องได้อย่างไร? น้องเพิ่งสิบห้าเองนะ! เธอกระแอมไอ
“มันก็ใช่ แต่งานแต่งไม่ใช่เื่ของคนสองคน ยังเป็เื่ของสองครอบครัวด้วย
หากพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วย ย่อมไม่มีความสุขใช่ไหมล่ะ?”
เจิ้งเจวียนดูสับสน เหมือนจะไม่เข้าใจนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้