Chapter 19
“เขาเกิดเป็ลูกชายของาาเผ่าซาตาน และอายุครบ 25 ปีแล้ว”
นับั้แ่ได้รู้ข่าวจากพ่อผู้ขึ้นเป็ประมุขเทพองค์ใหม่ โจไซอาก็แบกร่างอ่อนแอปวกเปียกของตนเอง เหวี่ยงตัวขึ้นหลังเ้ากริฟฟินตัวเต็มวัย และเดินทางไกลไปทางทิศตะวันตก ในเขตร้อนของที่นั่นเป็ที่อยู่อาศัยของเผ่าซาตาน ุ์เหล่านี้นอกจากคอยรับใช้เหล่าเทพที่เป็ผู้ว่าจ้างแล้ว ส่วนหนึ่งยังอยู่รวมกันเป็กลุ่ม โดยมีาาเผ่าคอยปกครองประชากร มีบ้านเรือน และพระราชวังหรูหราไม่ต่างจากใจกลางเมืองเทพ
ด้วยเหตุที่เป็เมืองของเผ่าซาตาน จึงไม่ค่อยมีเทพหรือสัตว์วิเศษมาที่นี่เท่าไรนัก การเห็นเ้ากริฟฟินตัวใหญ่บินอยู่บนท้องฟ้า ค่อย ๆ ร่อนต่ำลงจนกรงเล็บที่เท้าหน้าเหยียบพื้น และมีเทพแห่งการร่วมประเวณีขี่อยู่บนหลัง จึงเรียกสายตาประหลาดใจ พร้อมสนอกสนใจของชาวเมือง
ดวงตาสีขาวซีดไม่ต่างจากผิวกายขาวโพลนของเหล่าซาตานในเมืองจ้องมองโจไซอากับเ้ากริฟฟินเป็ตาเดียว แต่เมื่อเขาขี่เ้ากริฟฟินเดินผ่าน เหล่าซาตานทุกตนต่างก้มหัวโค้งคำนับด้วยความเคารพ เพราะเชื่อว่าพวกุ์เหล่านี้มีศักดิ์ต่ำกว่าเทพ โจไซอาจึงอึดอัดที่ต้องเห็นเขาทรงโค้งงอไปด้านหลังของเหล่าซาตานยามที่พวกเขาแสดงความเคารพตน
เทพแห่งการร่วมประเวณีสั่งให้เ้ากริฟฟินหยุด เขาค่อย ๆ ลงจากหลังของมัน แล้วเปลี่ยนเป็การเดินอยู่ที่พื้นเพื่อลดความอึดอัดนั้น พวกซาตานตัวสูงใหญ่ถึงสองเมตรขึ้นไป หากโจไซอาไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างเ้ากริฟฟิน ร่างของเทพผู้ผ่ายผอมคงหลงหายไปในฝูงเหล่าซาตาน
โจไซอาเดินเคียงคู่เ้ากริฟฟิน คอยจับลำคอของมันช่วยพยุงร่างกายยามอ่อนแรง และกดทับความเ็ปไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่ให้เหล่าซาตานตนใดสังเกตเห็น แม้พวกเขาจะรับรู้ได้จากรูปลักษณ์ซูบผอมกับใบหน้าซีดเซียวของเขาอยู่แล้วว่าเทพแห่งการร่วมประเวณีองค์นี้กำลังทุกข์ทรมานเพราะโรครักระทม
เขามาถึงวังของาาเผ่าซาตาน เป็ป้อมปราการสูงใหญ่ก่อด้วยหินแข็งแรง มีรูช่องหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่ประปราย ตลอดทั้งแนวกำแพงมีซาตานคอยเฝ้าเวรยามตลอดเวลา สองเท้าชะงักนิ่งเมื่อต้องประจันหน้ากับซาตานสองตนที่ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ ทั้งสองถือหอกแหลมที่สูงเท่าตัวอยู่ในมือ
“ฉัน้าพบาาเผ่าซาตาน” โจไซอาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพื่อกลบทับความอ่อนแอที่ตนมีต่อหน้าุ์ผู้แข็งแกร่ง
ซาตานยามเฝ้าประตูหน้าสองตนหันมองหน้ากันด้วยแววตาไม่มั่นใจ ราวไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า จากนั้นซาตานทางฝั่งขวาใช้มืออีกข้างจับหอกให้มั่น ทำท่าจะใช้ปลายแหลมชี้มาทางองค์เทพด้วยความไม่รู้
“หยุด”
ซาตานอีกตนหนึ่งเดินเข้ามาจับด้ามหอกเอาไว้ แม้ว่าโจไซอาจะยืนนิ่ง จ้องปลายแหลมอย่างไม่รู้สึกกลัว มาดและท่าทางของซาตานผู้ที่เดินเข้ามาห้ามนั้นดูเข้มแข็งและน่าเชื่อถือ เขาสั่งการทหารเวรยามทั้งสองตนได้ด้วยสายตาดุดันสีขาว เวรยามฝั่งขวาจึงลดหอกมาไว้ข้างลำตัวดังเดิม แล้วโค้งหัวคำนับพร้อมคุกเข่าข้างหนึ่ง ก้มจนหน้าผากแทบชิดเข่าเป็การขอโทษที่เสียมารยาทกับเทพ
“สวัสดี ท่านองค์เทพ” ซาตานผู้มาใหม่โค้งคำนับโจไซอาด้วยความเคารพ “มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“ฉันมีเื่อยากคุยกับลูกชายของาาเผ่าซาตาน”
เปลือกตาสีขาวเบิกกว้างเล็กน้อย ซาตานผู้นี้กำลังใเมื่อได้ยินองค์เทพกล่าวถึงลูกชายของาาเผ่าซาตาน แต่ไม่กี่ชั่วอึดใจ ร่างสูงใหญ่กำยำก็โค้งหัวนอบน้อมอีกครั้ง แล้วถอยหลังเบี่ยงตัว พร้อมผายมือเชิญให้ท่านองค์เทพเดินผ่านเข้าไปด้านในประตูหน้าของวังป้อมปราการ
ด้านในวังที่มีหน้าต่างไม่มีบานและเป็เพียงช่องลมแคบ ๆ แต่กลับเย็นสบายกว่าด้านนอก ไฟคบเพลิงให้ความสว่างไสวไปตลอดทางเดินพื้นหิน เท้าสองข้างที่เหยียบย้ำดังก้อง ผสานเสียงเผาไหม้ของคบเพลิง เ้ากริฟฟินยังเดินตามติดโจไซอาไม่ห่างแม้มันจะไม่ถูกกับเหล่าซาตาน เพราะมันรู้ดีว่าเ้านายต้องใช้ร่างกายของมันช่วยพยุงขณะเดินเป็บางครั้ง
ซาตานผู้น่าเกรงขามและนอบน้อมกับเทพนำทางโจไซอามาที่ห้องโถงขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยโคมไฟ และเชิงเทียนมากมายจนทั้งห้องสว่างไสว แสงแดดจากภายนอกส่องลอดช่องหน้าต่างเล็กเข้ามาเป็เส้น ๆ ที่พื้นกลางห้องปูด้วยพรมสีน้ำเงินพอดิบพอดี ซาตานพาโจไซอาหยุดยืนตรงนั้น ขณะที่เหล่าซาตานทุกตนในห้องโถงโค้งคำนับโจไซอาโดยพร้อมเพรียง
หัวใจของเทพผู้เป็โรครักระทมบีบตัวและหยุดเต้นมานาน กลับคลายออกและเต้นเป็จังหวะระรัวในวันนี้ แม้จะยังเ็ปทุกครั้งที่หัวใจเต้น แต่มันทำให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนประกายไปด้วยความหวังขณะกวาดตามองซาตานผิวกายสีขาวซีดทุกตนในห้องอย่างช้า ๆ เพื่อตามหาชายผู้เป็ที่รัก ที่ห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนี้มีเก้าอี้บัลลังก์ของาากับราชินีบนแท่น และมีเก้าอี้ตัวอื่น ๆ ของเชื้อพระวงศ์ลดหลั่นลงมา
โจไซอาคิดเข้าข้างตัวเองเมื่อตามหาผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเอเดนไม่พบว่า เพราะอีกฝ่ายอยู่ในร่างซาตานจึงทำให้เขาจำเอเดนไม่ได้
“ท่านเทพโจไซอา มาหาผมถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือครับ หรือว่าท่าน้ากำลังทหารของซาตาน”
ซาตานร่างสูงใหญ่กำยำลุกจากเก้าอี้บัลลังก์าา กายสีขาวโพลนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็สีสันของผิวเนื้อ ความสูงใหญ่หดเล็กลงไม่มากนัก จนในที่สุดาาแห่งเผ่าซาตานก็อยู่ในร่างของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกับร่างของเทพ าาแสดงความนอบน้อมต่อโจไซอา ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นยิ้มแย้ม แววตากระตือรือร้นที่บุตรของประมุขเทพองค์ใหม่มาหาถึงเผ่า
“ใครคือลูกชายของท่าน” โจไซอาส่ายหน้า และรีบเอ่ยถามอย่างรีบร้อน ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองซาตานมากมายในห้องอีกครั้ง
“ท่านเทพคงหมายถึงแซ็กคารี…” ชื่อที่โจไซอาไม่รู้จักทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วต่อหน้าาาเผ่าซาตาน
“แต่ลูกชายของผมเก็บตัว ไม่ค่อยจะเป็มิตรกับเทพองค์ใด ไม่ทราบว่าท่านเทพมีธุระ—”
“แล้วเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เขาถามแทรกไม่สนใจว่าาาเผ่าซาตานมีคำถามมากมายจนแสดงออกทางใบหน้า เสียงของโจไซอาเริ่มแ่เบาลง เรี่ยวแรงกำลังจะหมดจากการเดินทาง แต่ยังคงฝืนจนกว่าจะได้คำตอบ
“ผมเกรงว่าแซ็กคารีจะไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาชอบหนีไปโลกมนุษย์อยู่เรื่อย…”
าาเผ่าซาตานตอบพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก แต่โจไซอาสนใจเพียงคำตอบถึงจุดหมายปลายทางต่อไปของเขาเท่านั้น องค์เทพยกมือผ่ายผอมวางบนอก ก้มหัวเป็การขอบคุณาาเผ่า แล้วจับขนแผงคอของเ้ากริฟฟินเพื่อเหวี่ยงตัวขึ้นหลังของมัน เมื่อปีกใหญ่สยาย มันกระพือขึ้นพาโจไซอาบินผ่านทางเดินแคบอย่างไม่เกรงกลัวคบไฟที่เรียงรายบนผนัง
ในเดือนธันวาคม เทศกาลคริสต์มาสที่เด็ก ๆ ต่างมีความสุขและสนุกสนานกับการแกะของขวัญ หรือมื้ออาหารที่เรียงรายเต็มโต๊ะ แต่มีเพียงเด็ก ๆ ที่เกิดในครอบครัวร่ำรวยได้อยู่ชั้นกลางถึงชั้นบนของแนวกำแพงเท่านั้นที่ได้รับโอกาสเ่าั้ ที่ชั้นล่างสุดของแนวกำแพงสูงแตกต่างออกไป มีหิมะที่ตกมายาวนานั้แ่ต้นเดือนธันวาคมสะสมจนพูนสูง
ทางการเข้ามาเก็บกวาดให้เรียบ และนำออกนอกกำแพงเพียงแค่ตามทางรางรถไฟขนส่งสินค้าเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจกระท่อมหรือเพิงเล็ก ๆ ของเหล่าคนยากจนที่ชั้นนี้ เด็ก ๆ จึงหนาวเหน็บ และทรมานกับหิมะ ไม่มีการแลกของขวัญ ไม่มีมื้ออาหารชุดใหญ่ เพราะใครสักคนในครอบครัวต้องทนกับความหนาวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่อุ่นพอ ออกไปใช้พลั่วเก่า ๆ ขุดหิมะออกจากรอบกระท่อม ส่วนอีกสักคนหนึ่งในครอบครัวต้องคอยดูแลเตาผิงไม่ให้ดับเพราะไม่มีเครื่องทำความร้อนที่ราคาแพง เด็ก ๆ ต้องนั่งชิดกันเข้าไว้เพื่อให้อุ่น
ที่กระท่อมเล็ก ๆ สร้างจากไม้ผุพังไม่ค่อยทนทานหิมะ พ่อผู้ทำงานหนักสวมเสื้อผ้าที่หนาที่สุดในตู้ แต่ยังไม่อุ่นมากพอ เพื่อลักลอบออกนอกกำแพงสูงไปหาฟืนสำหรับเตาผิงมาเพิ่ม และหวังว่าตนจะโชคดีล่าสัตว์มาเป็มื้อค่ำในคืนคริสต์มาสให้ภรรยาชื่นใจได้ ส่วนหญิงผู้เป็แม่และภรรยาโอบกอดทารกอายุเพียงหนึ่งปีไว้ในอ้อมอกไม่ปล่อย ห่อผ้าพันเด็กแก้มแดงหลายชั้น นั่งอยู่ใกล้เตาผิงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยังคงมีไอน้ำออกจากริมฝีปากแห้งแตกของเธอยามหายใจ
ขณะที่กำลังโยกตัวไปมาและร้องเพลงกล่อมลูกน้อย เสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตู และเงียบหายไป เธอคิดว่าเป็สามีขอร้องให้ช่วยเปิดประตูให้ แต่เธอไม่อยากอุ้มลูกน้อยออกห่างจากเตาผิงในยามหนาวเหน็บเช่นนี้จึงวางห่อผ้าของทารกไว้ที่พื้นด้านหน้าเตาผิง แล้วลุกไปเปิดประตูไม้
แต่กลับไม่ปรากฏสามีของเธอที่หน้าประตู มีเพียงอากาศหนาวที่พัดพาเข้ามาจนมือสั่น เธอกวาดตามองซ้ายขวาแต่ยังไม่พบสิ่งใด กลัวว่าลมเย็นจะเข้าไปในบ้านจนทำให้ลูกน้อยหนาว จึงสอดตัวออกมาด้านนอกแล้วรีบปิดประตู ทันใดนั้นเท้าของเธอก็เตะเข้ากับอะไรบางอย่าง เธอก้มมอง เห็นกล่องสี่เหลี่ยมใบใหญ่ที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลใหม่เอี่ยมไม่มีร่องรอยเปียกเปื้อนหิมะ
เธอรีบหยิบกล่องนั้นแนบอก มันไม่หนักมากเท่าที่คิดไว้ จึงรีบกลับเข้าด้านในบ้าน ถูฝ่ามือเย็นเฉียบให้อุ่นก่อนแล้วเดินเข้าหาลูกที่หน้าเตาผิง เด็กน้อยยังหลับสนิท เธอจึงไม่ได้อุ้มลูกขึ้นแนบอก แล้วเริ่มสำรวจกล่องปริศนาที่ห่ออย่างประณีต
ไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีชื่อผู้รับ ไม่มีอะไรเขียนระบุไว้เลย เธอถอนหายใจพลางหันมองที่หน้าประตูอย่างทำตัวไม่ถูก ลิ้นแลบเลียริมฝีปากแห้งแตก จากนั้นเธอจึงตัดสินใจในเวลาอันนั้นว่าต้องแกะกล่องปริศนาใบนี้ มือสองข้างเริ่มแกะกระดาษสีน้ำตาลนั้นอย่างรวดเร็ว ลืมเสียสนิทว่าผู้ห่อได้พับเก็บมุมกระดาษอย่างประณีตสวยงาม
ด้านในกระดาษห่อเป็กล่องสีขาวธรรมดาอีกชั้นหนึ่ง เธอแกะกล่อง และพบว่าสิ่งที่ทำให้กล่องใบนี้เบากว่าที่เธอคิด คือผ้ามากมายที่อัดไว้จนแน่นแล้วเด้งออกมาทันทีที่เธอเปิดกล่อง เธอค่อย ๆ หยิบผ้าหนาขนนุ่มมากางออก กระทั่งเห็นเต็มตาว่ามันคือเสื้อกันหนาวตัวเล็ก ผ้าอ้อมเด็ก หมวกไหมพรมขนาดเล็ก ถุงมือและถุงเท้าหนาที่เพียงแค่เธอจับก็รู้สึกอบอุ่น
หญิงผู้เป็แม่และภรรยาชูเสื้อกันหนาวตัวหนาสีครีมขึ้น วางทาบกับลูกน้อยของเธอด้วยรอยยิ้ม มันยังใหม่เอี่ยมไม่มีรอยขาดหรือรอยเปื้อนใด ๆ แม้จะสงสัยว่าใครเป็คนเอากล่องใบนี้มาวางหน้าบ้าน แต่เพราะโอกาสที่เธอและลูก้ามาอยู่ในมือแล้วจึงต้องรีบคว้าเอาไว้ ยามนี้ชีวิตของลูกน้อยสำคัญกว่าสิ่งใด เธอจึงค่อย ๆ สวมเสื้อกันหนาว รวมถึงถุงมือถุงเท้าให้ลูกด้วยสัญชาตญาณของผู้เป็มารดา
เด็กหญิงแมรี่ กริฟฟิน
ตื่นขึ้นมาขณะที่แม่ของเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดที่มีขนนุ่มนิ่มให้ความอบอุ่นอย่างเบามือ แต่เด็กทารกอายุหนึ่งขวบกลับไม่ร้องไห้งอแงเพราะความหนาวเย็น และการถูกกวนขณะหลับ เด็กหญิงยิ้มหัวเราะเมื่อสบตากับแม่ ชูแขนยืดขาอย่างร่าเริงเมื่อได้รับชุดกันหนาวที่อุ่นจนไม่ต้องขดอยู่ในห่อผ้าอีกต่อไป
“อุ่นแล้วใช่ไหม นี่คือของขวัญจากซานตาคลอสเลยนะ”
เด็กน้อยหัวเราะเสียงใส จนแม่ของแมรี่ยิ้มตามอย่างมีความสุข รอยยิ้มของทั้งสองเผื่อแผ่มาถึงชายหนุ่มที่แอบมองผ่านรูโหว่เล็ก ๆ ระหว่างไม้สองแผ่น ผู้แอบมองวาดรอยยิ้มตาม ค่อย ๆ กว้างขึ้นโดยที่เ้าของไม่รู้ตัวเลยสักนิด เสียงหัวเราะของเด็กหญิงนั้นใสซื่อน่าเอ็นดู จนผู้ที่มอบของขวัญรู้สึกยินดี
ชายหนุ่มดีใจที่ได้ยินคำว่าซานตาคลอสอย่างที่หวังเอาไว้ ระหว่างเดินเลือกเสื้อกันหนาวกับหมวก ถุงมือและถุงเท้าที่ร้านค้า ผู้คนต่างแห่กันมาเลือกซื้อของเป็ของขวัญวันคริสต์มาสกันอย่างหนาแน่น จึงไม่ค่อยมีเสื้อผ้าที่ดีที่สุดเหลือมากนัก และแทบไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการ เขาจึงตามหาร้านค้าที่ยังเปิดอยู่ และเลือกหาอย่างตั้งใจที่สุด เพื่อเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้
แซ็กคารีปล่อยให้ความหนาวเย็นเข้าไปในรูโหว่ระหว่างไม้สองแผ่นตอนแอบมองมานานแล้ว เขาจึงต้องผละถอยด้วยความสุขที่ยังแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า แล้วนำดินเหนียวสีน้ำตาลเข้มจากแดนไกลและหาไม่ได้ในแนวกำแพงสูงแห่งนี้มาอุดรูโหว่นั้นจนมิดชิด ไม่ให้ลมลอดผ่านได้
ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง ถอยออกมามองช่องโหว่อีกหลายจุดที่อุดด้วยดินเหนียวจากป่าลึกในโลกของุ์ มองชื่นชมผลงานของตนเองที่ตั้งใจทำอย่างเรียบร้อยแเีไปกับแผ่นไม้ ไม่ให้มีใครสังเกตเห็นได้
โจไซอาเดินทางไปที่ตึกของประมุขเทพ ซึ่งอยู่ติดกับที่ทำการของเหล่าเทพอารักษ์กฎ เขาเดินเข้าห้องทำงานของพ่ออย่างรีบร้อน ขอร้องให้ช่วยตามหาชายผู้เป็ที่รักของตนซึ่งตอนนี้อยู่ที่โลกมนุษย์ ทีแรกโจไซอาจะออกไปตามหากับเทพหลายองค์ที่ชอบเฝ้าดูมนุษย์ด้วยตนเองแต่กลับไอโขลกเป็เืจนแม้แต่ก้าวเดินยังลำบาก
เทพแห่งความผูกพันจึงมอบหมายหน้าที่ให้กับบริวารผู้เป็อดีตภูตประจำต้นไม้ ให้ติดต่อกับภูตผีตนอื่น ๆ บนโลกมนุษย์ การตามหาุ์ที่อยู่ในโลกมนุษย์ยากยิ่งจึงต้องใช้เวลาพอสมควร ระหว่างนั้นโจไซอาแทบเสียสติเพราะทนรอไม่ไหว เขาร้องไห้ด้วยความคิดถึง และอาเจียนเป็เืไม่หยุด ผู้เป็พ่อจึงต้องทำให้หลับไปสักพัก
กระทั่งได้ข่าวคราวของลูกชายาาเผ่าซาตาน โจไซอาก็เดินทางไปโลกมนุษย์ทันที ไม่รอคอยให้บริวารของพ่อไปตามหาน้ำตาเทพมาให้เพิ่ม โจไซอารอมา 99 ปีแล้ว แต่เขาไม่สามารถทนรอต่อไปได้อีก เขาฝืนพาร่างกายของตัวเองผ่านประตูเชื่อม และปรากฏกายที่ชั้นล่างสุดของแนวกำแพงสูง
สองเท้าจมอยู่ในหิมะสีขาว ความหนาวเหน็บบาดผิวกาย โจไซอาจึงเดินไปเหยียบบนรางรถไฟให้เท้าพ้นจากหิมะ สองแขนผ่ายผอมกอดตัวเองระหว่างเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางมีกระท่อมเล็ก ๆ ตั้งเรียงรายระยะห่างกันพอสมควร ทุกกระท่อมล้วนมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟที่อยู่ด้านข้าง เพราะหลีกเลี่ยงการถูกจับข้อหาปล่อยมลพิษรบกวนผู้คนที่อาศัยชั้นบนของกำแพง
ดวงตาสีน้ำตาลมองผ่านความมืดที่มีไฟสีส้มลอดจากหน้าต่างบางบ้าน กับบางส่วนที่มาจากรางรถไฟชั้นบน เขากำลังตามหาชายผู้เป็ที่รักพร้อมความหวังเต็มเปี่ยม แต่ความสิ้นหวังค่อย ๆ คืบคลานทีละน้อย เพราะหนาวเหน็บจนเ็ปทุกก้าวเดิน
และดวงตาสีน้ำตาลได้เห็นอะไรบางอย่างในที่สุด
อะไรบางอย่างที่เป็สิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกกระท่อมเล็ก ๆ ท่ามกลางอากาศหนาว
อะไรบางอย่างที่เป็สิ่งมีชีวิตกำลังย่อตัวก้มหน้าก้มตาซ่อมผนังกระท่อมจนไม่ได้ยินเสียงของเขา
เสื้อแขนยาวทับด้วยเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาลเข้มไม่หนามากนัก รวมถึงการตระหนักรู้ด้วยอำนาจของเทพทำให้โจไซอารู้ ว่า สิ่งมีชีวิตผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ เป็ชายหนุ่มไหล่กว้างดูแข็งแรง และเมื่ออีกฝ่ายยืนขึ้น เขาจึงเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ตัวสูงขายาวจนเกิดภาพซ้อนทับกับความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว
ชายหนุ่มุ์ถอยหลังออกมา โจไซอาจึงได้เห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างที่ช่วยยืนยันว่าเหตุใดจึงเกิดภาพซ้อนทับนั้น
แม้เส้นผมของชายหนุ่มจะเป็สีขาวซีดจนแทบกลืนกับหิมะ แต่ขนตายาวเรียงเส้นสวย กับสันจมูกโด่งปลายทู่มนนั้น โจไซอายังจำได้ดี
กระทั่งริมฝีปากมุมคว่ำดูดุดันยกขึ้นทีละน้อย แล้วแย้มยิ้มกว้างกว่าเดิม จนเหมือนกับแสงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ผลิที่ให้ความอบอุ่น และช่วยไล่ความหนาวเหน็บกับน้ำแข็งให้ละลาย โจไซอาก็มั่นใจว่าเขามองไม่ผิด ตลอด 99 ปีที่ผ่านมาเขาเห็นภาพหลอนหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้อย่างแน่นอน
“เอเดน”
ชื่อที่ไม่เคยมีใครใช้เรียกตลอดอายุ 25 ปีดังขึ้นด้วยเสียงหวานที่สั่นอย่างน่าสงสาร เขาชะงักนิ่งและไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่เมื่อค่อย ๆ หันมองที่มาของเสียงนั้น จึงช่วยยืนยันได้ว่าเขาได้ยินไม่ผิดไป
ชายร่างผอมผมสีทองหม่น แก้มตอบคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวแขนยาวขายาว ผ้าบางขัดแย้งกับรอบกายที่เต็มไปด้วยหิมะและความหนาวเหน็บ กำลังยืนมองเขาด้วยใบหน้าอิดโรยบิดเบี้ยวราวกับกำลังจะร้องไห้
แซ็กคารีจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน มองไล่สำรวจถึงจมูกโด่ง ถึงริมฝีปากแห้งแตกสีซีด พยายามค้นความทรงจำของตนเองในชาติก่อน แต่กลับไม่พบความทรงจำของชายผู้นี้อยู่เลย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเพราะตนเองไม่เคยผิดพลาดในเื่ความทรงจำมาก่อน ไม่ว่าจะนานนับร้อยปีมาแล้ว
ชายตรงหน้ายังคงจ้องเขาอยู่ กายผอมสั่นเพราะอากาศหนาว มือสองข้างกำแน่นข้างลำตัวก็สั่นไหว แล้วในที่สุดชายตัวผอมท่าทางแปลก ๆ คนนี้ก็ร้องไห้ออกมาหลังกลั้นอยู่นาน เป็การร้องไห้ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าท่าทางและเสื้อผ้าของชายตัวผอม
เพราะน้ำตาไหลอาบแก้มตอบทั้งสองข้างจนมาไหลรวมกันที่คางและหยดลงบนพื้นหิมะใกล้กับรางรถไฟ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มกว้างอย่างงดงามราวดอกไม้ยามผลิบาน
แซ็กคารีรื้อค้นความทรงจำในชาติก่อนอีกครั้ง แต่ทุกอย่างว่างเปล่า เอเดนไม่ได้รู้จักชายคนนี้
แล้วชายคนนี้รู้จักเอเดนจนตามหาแซ็กคารีเจอได้อย่างไร
ทันใดนั้นแสงไฟสว่างจ้าก็ส่องมาที่ชายตัวผอม แซ็กคารีจึงยิ่งเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายตัวผอมแห้งมากเพียงใด แต่แสงไฟนั้นมาจากรถไฟขนส่งสินค้าที่จะวิ่งบนรางชั้นล่างสุดของกำแพง รถไฟนี้ไม่มีทางหยุดให้สิ่งกีดขวางใด ๆ เสียงของรถไม่ดังมากนักมีเพียงเสียงลมขณะที่รถวิ่งผ่านด้วยความเร็ว
แต่ชายตัวผอมที่ยืนอยู่บนรางเหล็กกลับหยุดนิ่ง จ้องหน้าของแซ็กคารีและร้องไห้พร้อมกับยิ้ม โดยไม่มีท่าทีว่าจะหลบ
“คุณครับ หลบ”
แซ็กคารีก้าวเท้าไปข้างหน้า คิดว่าจะดึงแขนของชายตัวผอมออกจากราง แต่ยิ่งเขาเปล่งเสียง อีกฝ่ายกลับร้องไห้หนักกว่าเดิม รถไฟกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ความเร็วบีบบังคับให้เขาทำตัวไม่ถูก ได้แต่เดินฝ่าหิมะพร้อมเอื้อมมือไปด้านหน้าหวังว่าจะคว้าร่างของชายตัวผอมได้ทัน
แต่รถไฟกลับวิ่งผ่านไปบนรางเหล็กเสียก่อน ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วในเสี้ยววินาทีพร้อมแสงสว่างจ้าของรถไฟแซ็กคารีจึงมองอะไรไม่เห็น เขาก้มหน้ามองที่รางเหล็กแต่กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากรถไฟแต่ละตู้ที่วิ่งผ่านไป กับหิมะสีขาว เขาหันซ้ายหันขวามองหาชายตัวผอมแต่ก็ไม่พบ
ระหว่างที่กำลังเดินเหยียบย้ำบนพื้นหิมะจนมันเป็หลุมรอยเท้า ััจากแขนสองข้างก็โอบกอดรอบเอวของแซ็กคารีจากด้านหลัง ชายหนุ่มใจนรีบคว้าข้อมือสองข้างนั้นไว้ด้วยแรงกำลังของซาตาน แต่พบว่าข้อมือนี้ทั้งเย็นเฉียบและเล็กจนมือเดียวกำรวบได้ทั้งสองข้าง
เมื่อหันมองด้านหลัง เขาจึงได้รู้ว่าเป็ชายตัวผอมท่าทางประหลาดคนนั้น กำลังทำสิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าด้วยการเข้ามากอดเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากอำนาจวิเศษที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้แซ็กคารีรู้ว่าชายตัวผอมไม่ใช่มนุษย์ เขาจึงไม่คิดจะออมแรง สองมือแข็งแรงของซาตานเหวี่ยงร่างอีกฝ่ายทุ่มลงพื้นหิมะ จนเกล็ดสีขาวลอยกระจัดกระจาย แล้วจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้านหลัง กดไว้กับพื้นไม่ให้ขยับสู้แรงเขาได้
“แกเป็ใคร”
แซ็กคารีโน้มตัวลงพูดกระซิบข้างหู เพราะกลัวว่ามนุษย์ที่อยู่ด้านในกระท่อมจะได้ยิน แต่ยังคงไว้ซึ่งความโมโหและน่าเกรงขาม
ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับคำถามนั้น ไม่มีแม้แต่ภาษากายขยับเคลื่อนไหวให้หลุดจากการเกาะกุม ร่างของชายตัวผอมนอนคว่ำนิ่งไม่ขัดขืนสู้แรงแซ็กคารี เขาจึงปล่อยข้อมือเล็กจับพลิกร่างกายอย่างไม่ทะนุถนอมใด ๆ
และใจนดวงตาสีเฮเซลเบิกโพลงเมื่อเห็นเืไหลออกมาจากจมูกของอีกฝ่าย พร้อมเปลือกตาปิดสนิท ตัวเย็นเฉียบไร้สติ
“คุณ… คุณ!” เขาจับไหล่บางแล้วเขย่าแรง ๆ พร้อมเรียกชื่อ แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากเืที่ไหลออกมาเพิ่มมากขึ้น
แซ็กคารีมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง แล้วตัดสินใจช้อนร่างของชายตัวผอมแนบอกในท่าเ้าสาว เขามองรอบกายให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อยืนตัวเต็มความสูง
แล้วสยายปีกสีขาวราวหิมะของตนเอง ร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็สีเดียวกัน ลำตัวสูงใหญ่และกำยำมากยิ่งขึ้น เขาโค้งไปด้านหลังงอกออกจากศีรษะ
แซ็กคารีโอบกระชับชายในอ้อมกอดแน่นขึ้น และกระพือปีกบินขึ้นตามเส้นทางลับที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น เพื่อออกไปด้านนอกกำแพง
เมื่อนั้น โจไซอาจึงได้อยู่ในอ้อมกอดของชายผู้เป็ที่รักในรอบ 99 ปี
เพียงไม่กี่วินาทีที่ซาตานอุ้มเทพแนบอกบินจากไป
ต้นหญ้าที่นอนตายอยู่ใต้หิมะใกล้รางรถไฟก็ฟื้นคืนชีพ และเติบโตผลิดอกท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในเดือนธันวาคม
tbc.
#เฮเซลอาย