จางกุ้ยฮัวมองไปที่ดวงอาทิตย์และตอบว่า “หากออกเดินทางตอนเช้า ก็น่าจะถึงนานแล้ว”
หมายความว่ายังไม่มาถึง พูดได้เพียงว่าหลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ออกเดินทางช้า
หลิวเต้าเซียงสบตากับหลิวชิวเซียง ทั้งสองยิ้มเบาๆ
ขณะนั้นเองมีเสียงรถม้าดังก้องมาจากทางเข้าลานบ้าน หลิวเต้าเซียงหันขวับไปมอง เห็นม้าแก่ตัวผอมลากรถม้าผ้าสีเขียวมาหนึ่งคัน
เมื่อรถม้ามาถึงทางเข้าลานบ้านก็หยุดลง ด้วยสายตาที่เฉียบคมมองเห็นว่าโครงไม้้าข้างรถมีแขวนโคมไฟไว้ ้ามีอักษรตัวโตระบุว่า ‘หวง’
แสดงว่ารถม้านี้มาจากจวนตระกูลหวง
“นี่บ้านของฮูหยินฉีหรือ?” คนบังคับรถม้าไม่รู้เพราะเหตุใด เขาเอ่ยถามแซ่ของตระกูลฉี หาใช่ตระกูลหลิวไม่
หลิวเต้าเซียงมีไหวพริบ จึงยกยิ้มมุมปากเป็รูปจันทร์เสี้ยว แล้วะโเข้าไปในบ้าน “ท่านปู่ ในหมู่บ้านเรามีคนแซ่ฉีหรือไม่?”
ในฐานะหลานสาว นางไม่รู้จักนามสกุลเดิมของหลิวฉีซื่อว่าแซ่ฉี ด้วยเหตุนี้ จึงถามเช่นนี้
คนแรกที่ออกมาคือหลิวต้าฟู่ เขาคาบปล้องยาสูบทองแดงเก้าไฟที่เช็ดจนเงาราวเกล็ดหิมะ หากแต่สีหน้าดูไม่ดีเท่าไร
“เต้าเซียง มีเื่อะไรหรือ?”
“อ้อ ท่านปู่ มีคนมาถามทาง บอกว่ามาหาฮูหยินฉี” หลิวเต้าเซียงไม่กลัวหลิวต้าฟู่จะโมโหจนสิ้นใจ จึงพูดเสียงดังฟังชัด
ใบหน้าของหลิวต้าฟู่หมองคล้ำลงกว่าเดิม ปั้นสีหน้าบึ้งตึงแล้วเอ่ย “บ้านข้าแซ่หลิว”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สื่อความหมายเชิงตำหนิคนบังคับรถม้า แต่ก็บ่งบอกได้ว่าตัวเขานั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะยากจน แต่ก็แต่งฉีหรุ่ยเอ๋อร์เข้าบ้าน ไม่ใช่เขาแต่งเข้าบ้านไปเป็บุตรเขย ฉะนั้น ประตูบ้านของเขาเปลี่ยนตระกูลไปั้แ่เมื่อไรเล่า?
ในจุดนี้ หลิวต้าฟู่เองก็ดื้อรั้นนัก
คนบนรถม้าได้ยินเสียงของหลิวต้าฟู่ ก็รีบยื่นศีรษะออกมาแล้วะโด้วยความดีอกดีใจ “ท่านปู่ พวกข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว ท่านย่า ท่านย่า พวกข้ามาแล้ว”
หลิวต้าฟู่ยังคงยืนหน้าบึ้งไม่ตอบรับอยู่ตรงนั้น ส่วนหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันก็เดินออกมาจากห้อง
หลิวเสี่ยวหลันซึ่งอยู่ด้านหน้าก็ะโด้วยความดีใจ “หลานชาย หลานสาว พวกเ้ามาแล้วในที่สุด อาเล็กรอพวกเ้ามาั้แ่เช้าแล้ว ในที่สุดพวกเ้าก็ถึงเสียที”
หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า การแสดงออกของหลิวจื้อเซิ่งบนแคร่นั้นแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็เค้นรอยยิ้มออกมา “อาเล็ก”
ฟังดูเหมือนไม่เต็มใจเท่าไรนัก
คิดดูแล้วก็ใช่ หลิวเสี่ยวหลันาุโกว่าแต่กลับเพิ่งเจ็ดขวบ ส่วนหลิวจื้อเซิ่งคือผู้าุโน้อย แต่ปีนี้อายุสิบสามแล้ว หลิวเต้าเซียงกล้าพนันในใจ ไม่แน่ว่าเื้ัของหลิวจื้อเซิ่งผู้นี้คงมีความรังเกียจหลิวเสี่ยวหลันอยู่
หลิวจื้อเซิ่งลงจากรถม้าโดยมีคนบังคับรถม้าช่วยพยุง จากนั้นเขาก็พยุงหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ให้ลงจากรถ
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์อายุสิบขวบในปีนี้ อายุน้อยกว่าหลิวจูเอ๋อร์หนึ่งปี แต่แก่กว่าหลิวชิวเซียงหนึ่งปี
หลิวฉีซื่อโอบหลิวจื้อเซิ่งแล้วขานเรียกเขาดุจดั่งหลานในดวงใจ ต่อมาก็โอบหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วบอกว่าคิดถึงนางมากที่สุด
นางเลียนแบบท่าทางของบรรดาฮูหยินชั้นสูงทุกกระบวนการั้แ่ต้นจนจบ แต่ด้วยการเตือนของหลิวเสี่ยวหลัน นางจึงใช้มือซ้ายจูงมือหลิวจื้อเซิ่ง มือขวาโอบหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เดินเข้าเรือนใหญ่ไป
จากการปฏิบัติที่แตกต่างเช่นนี้ หลิวชิวเซียงรู้สึกสลดในใจแล้วเอ่ยตัดพ้อ “คงไม่ใช่ว่ามีเพียงท่านพี่ทั้งสองคือหลานแท้ๆ ของนางใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ยังคงดูไม่ดีนัก แม้ว่าหลิวจื้อเซิ่งและหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์จะทำการกล่าวทักทายอย่างเป็พิธีแล้ว แต่เขาก็แทบไม่ยิ้มเลย จากนั้นเขาก็ถามเพียงว่า การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่
หลังจากได้ยินทั้งสองตอบว่าราบรื่นดี เขาก็นั่งอยู่ด้านข้างและสูบยาสูบต่อโดยไม่ส่งเสียงอีก
อาจเป็เพราะทั้งครอบครัวล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหลิวฉีซื่อ และรู้ว่าหลิวต้าฟู่ไม่ค่อยยุ่งเื่อะไร หลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์จึงไม่ได้ใส่ใจนัก หรือบางทีพวกเขาอาจไม่ได้สนใจว่าหลิวต้าฟู่จะไม่พอใจ
ในขณะนี้หลิวฉีซื่อกำลังโอบซ้ายคนขวาคน แล้วถามไถ่ทั้งสองอย่างรักใคร่ว่าออกเดินทางกี่ยาม ระหว่างทางได้พักผ่อนหรือไม่ เหนื่อยหรือไม่
หลิวจื้อเซิ่งคอยตอบทีละคำถาม
เมื่อเห็นว่ามีคนสองสามคนยืนอยู่ในห้องโถง เขาเดาได้ว่าสามคนนั้นน่าจะเป็แม่ลูกกัน จึงเอ่ยปากถาม “ใช่ป้าสามหรือไม่?”
ในอดีต หลิววั่งกุ้ยมักหาเหตุผลว่าหิมะตก ถนนปิด เดินทางไม่สะดวก จึงไม่ค่อยได้พาบุตรชาย บุตรสาวและหลี่ซื่อกลับมาใน่ตรุษจีน ทุกๆ ปีเขามักจะกลับมาใน่สิ้นปีและค้างคืนไม่กี่วัน จากนั้นนำรถเข็นวัวมาลากข้าวเปลือกไปครึ่งคันรถพร้อมกับเนื้อหมูเค็ม เนื้อปลาเค็มและเป็ดไก่ต่างๆ
จางกุ้ยฮัวตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “ใช่แล้ว ไม่เจอกันหลายปี เซิ่งเอ๋อร์ตัวสูงขึ้นไม่น้อย”
หลิวจื้อเซิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ป้าสามผู้นี้ไม่เหมือนที่มารดาเคยบอกว่าโง่เขลาจนหมดทางเยียวยา เมื่อนึกถึงสิ่งที่มารดาสั่งมา ในใจเขาจึงเกิดความคลุมเครือ ไม่รู้ว่าเื่ที่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่
“ท่านแม่ข้าบอกว่า ข้ากำลังอยู่ในวัยเติบโต ป้าสามเห็นหลานย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน”
เขาเลื่อนสายตาไปทางเด็กตัวเล็กสองคน ขณะที่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ ก็ปรบมือแล้วหัวเราะ “ขอทานมาจากไหนกัน”
นางทำเหมือนกับว่าการได้เห็นขอทานเป็เื่น่าอัศจรรย์
หลิวเต้าเซียงแอบตวัดสายตาใส่นางชั่วขณะหนึ่ง หากจะว่ากันด้วยเื่มูลค่าตัว เ้า…หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์มีเงินมากกว่าข้าหรือ? มาทำอวดดีอะไรนักหนา? น่าไม่อายเหลือเกิน!
“เซียงเซียง นางหน้าไม่อายจริงๆ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดออกมาต่อว่าศัตรูฝั่งตรงข้ามด้วย
“ใช่ หน้าไม่อายสุดๆ” หลิวเต้าเซียงตอบไปตามน้ำ ต่อมาก็นึกได้ ไม่ใช่สิ
เดี๋ยวก่อน เ้าสัตว์ปีศาจน้อย นายไม่อยู่ในดวงดาวของนายหรือ? มาร่วมวงอะไรตรงนี้
“ก็มันน่าเบื่อนี่ครับ ทางนั้นมีแต่เื่ขั้นตอนดำเนินการ อีกทั้งทุกคนต่างก็ยุ่งเื่งานของตนเอง น่าเบื่อ ทางนี้ดูคึกคักกว่าเยอะครับ”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่มีทางบอกหลิวเต้าเซียงแน่นอน ั้แ่ที่มันได้เลื่อนระดับในครั้งนั้น มันก็ชอบดูฉากสนุกสนานเช่นนี้อย่างน่าประหลาด เพราะแตกต่างจากเนื้อหาที่มีอยู่ในบันทึก
หลิวเต้าเซียงพูดไม่ออกและคร้านจะสนใจมัน
ส่วนทางด้านหลิวต้าฟู่ก็เอ่ยปาก “หากพวกเ้ารังเกียจชนบทว่าไม่ดี กินข้าวเสร็จก็รีบกลับจังหวัดไป”
หลิวจื้อเซิ่งแอบจิกตาใส่น้องสาว นึกรำคาญที่นางชอบพูดโดยไม่คิด หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์จึงเงียบไป
“ท่านปู่ เฉี่ยวเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่รู้จักหนักเบา ท่านปู่อย่าได้ถือสานางเลย นางถูกท่านแม่ขังอยู่ในจวนตลอด ไม่เคยได้ก้าวออกจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว แม้ว่าจะได้ออกเดินทาง ก็มีเพียงออกนอกจวนพร้อมกับแม่หญิงเ่าั้เพื่อไปเปิดหูเปิดตาในเมืองอื่นบ้างเท่านั้น”
เขาแก้ตัวแทนหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์อย่างชาญฉลาด
ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนหลิวฉีซื่อเริ่มเปล่งเสียงด่าออกมา “ตาเฒ่าตัวดี เ้ามาสร้างปัญหาอะไรอีก หลานชายหลานสาวเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เ้าก็เริ่มชักสีหน้า หมายความว่าอย่างไร เห็นข้าดีใจไม่ได้เชียวหรือ”
หลิวฉีซื่อมีความสามารถในการทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ ทำเื่ใหญ่ให้กลายเป็การทะเลาะกันจนยากที่จะสงบศึกเจรจาได้
วันนี้เป็เทศกาลไหว้พระจันทร์ หลิวต้าฟู่ไม่้าโต้เถียงกับนาง สู้ไม่เห็นหน้ายังจะดีกว่า จึงคาบปล้องยาสูบแล้วเดินจากไป
หลิวฉีซื่อไม่สนใจมากนักก่อนจะยิ้ม “เ้าสองคนอย่าได้คิดมาก ปู่ของเ้านั้นเป็พวกน้ำเต้าสมองทึบ ไม่รู้จักตัวหนังสือ พูดจาก็แทบจะเอาฟันกัดสุนัขตายได้”
“ท่านย่า ข้ากับเฉี่ยวเอ๋อร์ย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว หนนี้กลับมาชนบท ท่านพ่อสั่งไว้แล้วว่า หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงข้าก็ต้องไปสอบถงเซิง ท่านพ่อจึงอนุญาตให้อยู่กับท่านปู่ท่านย่าหลายวันหน่อย”
“โอ้ ดีเหลือเกิน หลานรักทั้งสอง พวกเ้าช่างมีบุญปากเหลือเกิน หลิวเต้าเซียงทำอาหาร กระทั่ง…” หลิวเสี่ยวหลันยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกหลิวฉีซื่อขัดไว้ก่อน
“เอาเถอะ หลันเอ๋อร์ เต้าเซียงก็เพียงแค่เจ็ดขวบ ไหนเลยจะทำอาหารได้อร่อย เพียงเพราะพวกเรากินแต่อาหารรสมือพี่สะใภ้สามของเ้าจนเคยชิน พอเปลี่ยนคนทำกะทันหัน เวลากินจึงรู้สึกแตกต่างออกไป”
หลิวเสี่ยวหลันมองหญิงชราอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าคุณชายน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยนี่นา!
เหตุใดท่านแม่ของนางจึงไม่ให้นางพูด การให้เต้าเซียงทำอาหารให้หลานคนโตทั้งสองไม่ดีหรือ?
หลังจากที่หลิวฉีซื่อหยุดนางไว้ ก็เอ่ยปากถามหลิวจื้อเซิ่ง “พ่อแม่เ้าสบายดีหรือไม่?”
“ดีขอรับ ได้ยินหมอบอกว่า ครรภ์นี้ของท่านแม่ไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอบอกว่าต้องบำรุงครรภ์ให้มาก ห้ามวิตกเกินไป” หลิวจื้อเซิ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ใช่สิ ทั้งสองคนนี้น่าจะเป็ฝั่งครอบครัวป้าสามใช่หรือไม่ น้องสาวทั้งสองท่าทางนอบน้อมยิ่งนัก!”
ดูเหมือนว่าเขาไม่้าพูดถึงเื่บิดามารดาเท่าใด เพียงแต่ไม่อาจปฏิเสธคำถามของหลิวฉีซื่อได้ จึงวกมาถามเื่ของจางกุ้ยฮัว
หลิวฉีซื่อตอบอย่างมีความสุขว่า “สองคนนี้เป็น้องสาวของเ้า คนโตคือชิวเซียง คนรองคือเต้าเซียง ยังมีอีกคนที่กำลังดื่มนม ชื่อชุนเซียง”
“ยินดีที่ได้เจอน้องๆ ทั้งหลาย” หลิวจื้อเซิ่งยิ้มและกล่าวทักทาย
“ฮึ่ม!” แต่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์แสดงท่าทีว่าตนไม่พอใจ นางดูแคลนเด็กสาวชนบทที่เนื้อตัวสกปรกโสโครก กระทั่งเป็การแสร้งทำดีต่อหน้า นางก็ไม่ยินดีที่จะทำ
“เฉี่ยวเอ๋อร์ ท่านพ่อท่านแม่สอนเ้าอย่างไร?” หลิวจื้อเซิ่งหันศีรษะมา แล้วตักเตือนผ่านสายตา
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เบะปากและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแต่หันศีรษะไปทางอื่น แล้วพูดคุยกับหลิวฉีซื่อด้วยเสียงค่อย
ทั้งครอบครัวพูดคุยหัวเราะกันไป ด้านนอกก็มีเสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น
“ท่านลุงหลิว ท่านป้าหลิว อยู่บ้านหรือไม่?”
“ใครกัน!” หลิวต้าฟู่รู้สึกว่าคำเรียกนี้รื่นหูจึงตอบรับก่อน จากนั้นวางปล้องยาสูบลง ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วสาวเท้าเดินออกไป
หลิวจื้อเซิ่งรู้สึกแปลกๆ หันไปสบตากับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ แล้วยิ้มแย้มพร้อมกับเอ่ยว่าจะออกไปดูกับปู่ของตน
หลิวเต้าเซียงเองก็ไม่ยอม จึงดึงหลิวชิวเซียงเดินตามหลังไป เมื่อหลิวฉีซื่อที่อยู่ในบ้านเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่รีรอที่จะเดินตามไป จางกุ้ยฮัวเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับนาง ช่างเถอะ นางตั้งใจจะกลับไปดูว่าบุตรคนเล็กที่อยู่ในห้องปีกตะวันตกจะตื่นหรือยัง
ทันทีที่ก้าวออกจากประตูไป ก็เห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูบ้าน เป็ม้าตัวสีดำรูปร่างกำยำ กำลังลากรถที่ทำจากไม้สนเก่าแก่คลุมด้วยผ้าสีกรมลายทองดูเป็มงคล คนบังคับรถม้าแต่งกายสะอาดด้วยชุดผ้าฝ้ายสีคราม สวมรองเท้าหนาสีน้ำเงิน มองไปแล้วให้ความรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างในรถม้านั้นไม่ธรรมดา
“เอ๋ พวกเ้าหาข้าหรือ?” หลิวฉีซื่อสายตาแหลมคมมากกว่าใคร ไม่นานก็เดินฝ่าทุกคนออกมา หลิวเต้าเซียงถูกนางผลักไปด้านข้างถึงกับขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ดวงตาของหลิวจื้อเซิ่งเผยประกายเล็กน้อย ก้าวเท้าออกมาตามติดหลังหลิวฉีซื่อ
คนบังคับรถม้าเอ่ยถามอีกครั้งว่า “นี่ใช่บ้านของท่านลุงหลิว หลิวต้าฟู่หรือไม่?”
หลิวฉีซื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็ยิ่งปลาบปลื้ม “นั่นคือสามีข้าเอง พวกเ้าคือ?” นางแอบคาดเดาอยู่ในใจ
คนบังคับรถม้ายิ้มให้นางเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยเสียงค่อยกับคนที่อยู่ด้านในรถไม่กี่คำ จากนั้นก็เห็นว่าผ้าม่านถูกดึงขึ้นมา ปรากฏเป็ร่างหนึ่งที่สวมชุดผ้าไหมหางโจวยาว ลวดลายชังผูกับห่านสีคราม ผมรัดด้วยผ้าไหมหางโจวประดับหยก ดวงตาฉลาดเฉลียว เขาก้าวออกจากประตูและยืดตัวตรง เมื่อเห็นคนที่ยืนรวมกันเป็กลุ่มตรงหน้าประตูบ้าน จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ท่านป้าหลิว นายของข้าให้ข้าน้อยมาส่งของกำนัลเทศกาลขอรับ”
“ไม่ทราบว่าท่านคือ?” หลิวฉีซื่อมีใบหน้าระรื่นแต่เนิ่นแล้ว ไม่ต้องถามนางก็พอจะเดาได้ในใจ ว่าต้องใช่แน่นอน
-----
