อำนาจและการผสานนั้น ถือเป็ช่องว่างระหว่างขอบเขต
อำนาจ เป็กลิ่นอายมหาศาลที่เกิดจากการดูดซับพลังจากฟ้าดินและแปรเปลี่ยนเป็พลัง เพื่อใช้อำนาจบังคับอีกฝ่ายและยังช่วยเสริมพลังโจมตี นี่คือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อันร้ายกาจ
ส่วนการผสานนั้น เป็การยกระดับขอบเขตจากอำนาจ เกิดจากพลังจากฟ้าดินรวมเป็หนึ่ง เป็การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์มาก ดูเหมือนว่าจะไม่ตั้งใจโจมตีแต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายสูง
อำนาจของมู่ฟ่านถูกพบเข้าโดยขอบเขตการผสานของหลินเฟิง ในแง่ของการบ่มเพาะแล้ว เขาจะเป็คู่แข่งกันได้อย่างไร?
ในที่สุดมู่ฟ่านก็ตระหนักได้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงไม่ได้รับผลกระทบ คาดไม่ถึงว่าเขาจะบรรลุขอบเขตการผสานได้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
หนี นี่คือสิ่งเดียวที่มู่ฟ่านคิดได้ตอนนี้
มู่ฟ่านก้าวเท้าฉับพลัน พริบตาเดียวเศษฝุ่นได้คละคลุ้งไปทั่ว แต่จู่ๆ มู่ฟ่านก็ชะงักฝีเท้าลงแล้วเริ่มก้าวถอยหลังแทน
“ช้าไป”
สิ้นเสียงเ็าที่ออกจากปากของหลินเฟิง ร่างกายของหลินเฟิงตอนนี้ราวกับปีศาจ เขาใช้ฝ่ามือพุ่งเข้าใส่มู่ฟ่าน
“ตูม!”
เกิดเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่ง ท่ามกลางฝุ่นควันหนาร่างเงาทั้งสองชะงักการเคลื่อนไหวลง ฝ่ามืออันแหลมคมราวกับหอกได้แทงกลางร่างของมู่ฟ่าน แค่พริบตาเดียวเขาได้ทำลายโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ของมู่ฟ่านไป แค่การโจมตีเดียวก็สามารถสังหารเขาได้แล้ว
“หืม?” ฝูงชนต่างมองม่านฝุ่นหนาด้วยแววตาสงสัย และไม่รู้ว่าทั้งสองในตอนนี้เป็เช่นไรแล้ว
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จ้องเขม็งมองไปที่ละอองฝุ่นจนแทบทะลุไปได้ ราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นบ้าง
“หึ เ้าเด็กนี่ไม่รู้จักประมาณตนและยังอ้างว่าตัวเองเป็ฆาตกร ตอนนี้มันต้องตายคามือของศิษย์พี่มู่ฟ่านแล้วแน่นอน”
มีเสียงเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นดังนั้น ทำให้ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งเสียงนี้ได้ปัดเป่าความกังวลใจของพวกเขาไปได้
ใช่แล้ว ผู้ที่ไม่รู้จักในคัมภีร์ดีจะเป็คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่มู่ฟ่านผู้เป็อัจฉริยะของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้อย่างไร เพียงแค่อำนาจของกำปั้นจากมู่ฟ่านก็แข็งแกร่งมาก ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ไม่อาจเทียบเคียงมู่ฟ่านได้ กำปั้นขอบเขตอำนาจของมู่ฟ่านนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 แม้จะเป็คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็มีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอๆ กันน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินเฟิงเลย
“ศิษย์พี่มู่ฟ่านชนะแล้ว” ชายหนุ่มชนชั้นสูงกล่าวอย่างเ็า ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง มู่ฟ่านต้องชนะแน่นอน เพราะหากเขาพูดว่าแพ้ เขาอาจเสียหน้าได้
“เ้าคิดมากไปแล้ว” ทันใดนั้นเสียงที่เ็าก็ดังขึ้น ทำให้ผู้คนพลันตกตะลึง
“บางคนมีจิตใจไม่แน่วแน่พอในเส้นทางแห่งนักรบของตัวเอง และยังพึ่งวิธีสกปรกเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ คนพวกนี้จะเลวไปถึงไหนกัน”
เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว จากนั้นละอองฝุ่นที่ลอยไปทั่วค่อยๆ จางไป ร่างอันเลือนรางของหลินเฟิงและมู่ฟ่านได้ปรากฏต่อสายตาอย่างชัดเจน
ขณะนั้นหลินเฟิงค่อยๆ ขยับตัวและหันกลับมา แต่ร่างของมู่ฟ่านกลับค่อยๆ ล้มลง
“ตูม!”
เกิดเสียงกระทบเบาๆ ดังขึ้น แต่เสียงดังกล่าวกลับทำให้ใจของผู้ชมบอัฒจันทร์ถึงกับสั่นระรัว
ชัยชนะ แต่ผู้ชนะไม่ใช่มู่ฟ่านอย่างที่ใครๆ คิดไว้ แต่กลับเป็หลินเฟิง
บุรุษสวมหน้ากากสีเงินผู้ลึกลับจู่ๆ ได้ปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ แล้วยังสังหารศิษย์ที่กำลังรุ่งเรืองดั่งดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้าของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้
หลินเฟิง แม้กระทั่งสายตาและกลิ่นอายของเขาไม่มีความผันผวนเลยสักนิด แต่ยังคงสงบนิ่งและไม่สนใจสิ่งใด ราวกับว่าเขาได้เขียนตอนจบเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว
“พ่ายแพ้?”
ั์ตาของคนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างเบิกกว้าง พวกเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้าเลยว่า เพียงแค่การโจมตีครั้งเดียวของหลินเฟิงจะสามารถสังหารมู่ฟ่านได้
“อัจฉริยะจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ฮ่าๆ เป็ไปตามคาด เขาช่างร้ายกาจนัก ถือว่าข้าได้เรียนรู้แล้ว”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส ทำให้ม่านตาของเหล่าศิษย์หดตัวลง วาจาหยิ่งผยองของหลินเฟิงที่กล่าวออกมานั้นแฝงไปด้วยคำดูถูกอย่างชัดเจน จนทำให้ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต้องอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
อัจฉริยะล้วนมีเพียงพละกำลังและอำนาจ หากจะหาความดีจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เกรงว่าจะหาไม่ได้จากที่ไหน?
เหล่าศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว เพราะั์ตาของหลินเฟิงที่จ้องมาขณะนี้คล้ายกับจะกลืนกินพวกเขา
“เ้าแค่บังเอิญชนะแท้ๆ แต่กลับทำตัวหยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้อื่นเช่นนี้ เป็ผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มชนชั้นสูงเ้าของใบหน้าคมสันกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ทำให้หลินเฟิงมึนงง แต่ในดวงตาของเขาเผยแววหยอกล้อ
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่น่าจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ราวกับเป็ดอกไม้ประหลาดที่หาได้ยาก
“หรือว่าเ้ากับข้ามาลองประลองยุทธ์กัน?”
หลินเฟิงจ้องมองไปยังชายหนุ่มชนชั้นสูงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ทำให้อีกฝ่ายตกตะลึง มู่ฟ่านนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเฟิง พละกำลังของเขาแข็งแกร่งกว่ามู่ฟ่านมาก นี่อาจเป็การรนหาที่ตายก็ได้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูด หลินเฟิงจึงกล่าวต่อว่า “แม้คุณสมบัติในการต่อสู้จะไม่มี แต่เ้าคิดว่าจะพูดจาเหลวไหลอย่างไรก็ได้งั้นหรือ”
สีหน้าของชายหนุ่มชนชั้นสูงซีดขาว แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“พูดจาร้ายกาจนัก วาจาเสียดสีอย่างกับฝึกจนชำนาญ แต่ในการต่อสู้กลับพ่ายแพ้ให้กับการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ยังพูดจาเหยียดหยามได้เต็มปากเต็มคำ ช่างน่าละอายใจนัก หรือว่าศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้แต่ประกาศความยิ่งใหญ่เท่านั้น?”
หลินเฟิงไม่สนใจสายตาของอีกฝ่าย และกล่าวต่อว่า “ก็จริงที่ว่าตอนนี้ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ของพวกเ้า้ากระจายชื่อเสียง จึงต้องทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเ้าแข็งแกร่งมากที่สุด แน่นอนว่าข้อเท็จจริงนั้น ในวันนี้ผู้คนคงได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าจึงไม่อยากพูดมาก”
สายตาของหลินเชียนจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง เ้าเด็กนี่พูดจาได้เฉียบขาด เพียงไม่ประโยคก็ทำให้ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ถึงกับต้องอับอาย
อาจกล่าวได้ว่าวันนี้ไม่เพียงศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต้องขายหน้าเท่านั้น แม้แต่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ยังต้องอับอายจนยากที่จะกู้หน้าได้ และไม่รู้ว่าเ้าเด็กนี่โกรธแค้นอะไรลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่นัก ถึงตั้งใจฉีกหน้าลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เช่นนี้
ชายหนุ่มที่ดูเป็มิตรนั่นจ้องหลินเฟิงเขม็ง
“เพิ่งทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 และยังบรรลุขอบเขตการผสาน ไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว” ชายหนุ่มคิดในใจขณะมุมปากเผยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นได้เอ่ยคำหนึ่งออกมา “ตรวจสอบ!”
เมื่อพูดจบ ทันใดนั้นด้านหลังของชายหนุ่มก็มีร่างเงาหนึ่งออกไปเงียบๆ
หลินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาหันไปมองรอบๆ ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดที่ด้านนอกลานประลองเชลย และกล่าวกับผู้ดูแลปีศาจสิงโตเพลิงนั่น “ตอนนี้ข้าสามารถประลองได้หรือยัง?”
ชายหนุ่มชนชั้นสูงมองจากบนอัฒจันทร์อย่างเฉยชา และไม่ได้ตอบหลินเฟิงในทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้หลินเฟิงเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทำให้หลินเฟิงลอบยิ้มขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็ไปตามคาด ชายหนุ่มชนชั้นสูงนั่นดูเหมือนจะมีตำแหน่งที่สูงมาก เหล่าผู้คนของลานประลองเชลยล้วนต้องฟังคำสั่งเขา
“ในเมื่อชนะแล้ว พวกเ้ายัง้าดูอะไรอีก”
ชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนนั่นกล่าวอย่างเ็า ทำให้ลูกหลานชนชั้นสูงจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ตกตะลึง แล้วพวกเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เยี่ยม งั้นจ่ายมา 20 หินหยวนระดับกลาง เ้าถึงจะสามารถต่อสู้ได้”
ผู้ดูแลการต่อสู้จูงปีศาจสิงโตเพลิงเข้าไปในกรงและกล่าวเช่นนั้นด้วยเสียงเ็า จึงทำให้หลินเฟิงงุนงง
ผู้คนที่อยู่ในลานประลองเชลยต่างได้ยินคำพูดของชายหนุ่มชนชั้นสูง แต่ลูกหลานชนชั้นสูงจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่นั่น กลับดูเหมือนจะเกรงกลัวพยาน ด้วยทุกประโยคดูเหมือนจะเป็น้ำเสียงธรรมดา แต่กลับทำให้ลูกหลานชนชั้นสูงจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ไม่กล้าขัดขืน
หลินเฟิงไม่ได้คิดอะไรมาก และจ้องเขม็งไปที่ปีศาจสิงโตเพลิงด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม สัตว์อสูรระดับจิติญญาขั้นที่ 5 นอกจากนี้ยังสามารถเติบโตจนกลายเป็สัตว์อสูรระดับลี้ลับ แม้กระทั่งระดับ์ที่น่ากลัวนั้นก็ย่อมได้
พละกำลังอันแข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว สามารถกลืนกินเปลวเพลิงได้ ด้วยปีกคู่นั้น แม้กระทั่งท้องฟ้าก็สามารถท่องไปได้อย่างอิสระ
ชายหนุ่มชนชั้นสูงนั่นถึงกับยอมตัดใจ และเตรียมมอบปีศาจสิงโตเพลิงให้กับมู่ฟ่าน อย่างไรก็ตามหากมู่ฟ่านยอมรับ ชายหนุ่มผู้นั้นอาจได้รับการยอมรับจากมู่ฟ่านต่อไปในอนาคต
หลินเฟิงโยน 20 หินหยวนระดับกลางให้กับอีกฝ่าย จากนั้นผู้ดูแลก็ปล่อยปีศาจสิงโตเพลิงทันที และมองหลินเฟิงด้วยแววตาอิจฉา
“โฮก!!!”
เมื่อปีศาจสิงโตเพลิงเห็นหลินเฟิงจึงส่งเสียงคำราม จากนั้นร่างกายของก็มันสั่นสะท้านฉับพลัน และะโพุ่งใส่หลินเฟิง ปากอันกว้างใหญ่ของมันได้เปิดออกและพ่นไฟที่ร้อนจัดออกมา
หลินเฟิงก้าวเดินด้วยขาที่สั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาะโขึ้นสูงและชักดาบยาวออกจากฝัก จากนั้นเท้าของเขาก็แตะผืนดินและพุ่งตรงไปยังปีศาจสิงโตเพลิง!