ในตอนนี้สิ่งที่อยู่หน้าหลินลั่วหรานนั้นไม่ใช่เพียงการล่อใจของการเหยียบดาบบินขึ้นไปเท่านั้นแต่ยังมีความ้าที่จะออกไป ไม่อยากติดอยู่ที่นี่ต่อไปได้อยู่ด้วย
ท่านเทพป๋ายมองไปยังดาบเจาเสวี่ยในมือของเธอก่อนจะแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมาและหายไปอย่างรวดเร็ว ในชีวิตที่ยาวนานของเธอนั้นนอกจากต่อสู้ดิ้นรนแล้ว เื่ล่อลวงใจคนแบบนี้ก็ทำมาไม่น้อยได้พบกับนักปราชญ์ที่มีพร์มามากมาย แล้วจะมีใครที่สามารถหนีจากสิ่งล่อตาล่อใจในการฝึกศาสตร์ได้กันเล่า?
ดังนั้นท่านเทพป๋ายจึงวางแผนมาเป็อย่างดีแล้วตอนนี้เธอจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร เท่าที่เธอรู้ คนที่ควรจะร้อนใจควรจะเป็เ้าเด็กน้อยนั่นมากกว่า
ในรอยยิ้มของท่านเทพป๋ายนั้น ประกอบไปด้วยความงดงามสามส่วนอีกหนึ่งส่วนคือความเอาจริงเอาจัง ส่วนที่เหลืออีกหกส่วนนั้นยังคงเป็ความผยองในตัวของก็นักปราชญ์ระดับสูง
หลินลั่วหรานคิดไตร่ตรองอยู่นานเธอลุกขึ้นมาจากพื้นและมองไปยังท่านเทพป๋าย แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “ได้ข้อเสนอของท่านดูยั่วยวนใจจริง ข้ายอมรับว่าสนใจเข้าแล้ว...ท่านบอกสิ่งที่ท่าน้าจะแลกเปลี่ยนมาเถอะ”
ท่านเทพป๋ายปรบมือเสียงดังไม่รู้เหมือนกันว่าเรือนร่างที่เป็เพียงจิติญญาของเธอนั้นทำให้เกิดเสียงปรบมือขึ้นมาได้อย่างไร บางทีอาจจะให้เกิดจากการเสียดสีของแรงลม?
“สิ่งที่ข้า้านั้นง่ายมากเพียงแค่พาข้าออกไปจากที่นี่”
แค่ออกไปจากหุบเขานี้? หลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากันแม้ว่าหุบเขาแห่งนี้สำหรับเธอแล้วจะเป็หน้าผาที่สูงชันมากแต่สำหรับเทพไร้ร่างอย่างเธอ มีข้อจำกัดอะไรด้วยอย่างนั้นเหรอ?
ท่านเทพป๋ายรู้ถึงความลังเลของเธอจึงชี้ไปยังก้อนหินใต้เท้า พร้อมกับอธิบายออกมา “หลายปีก่อน ข้าถูกเ้าพวกตัวร้ายเล่นงานเข้าร่างและิญญาต่างแหลกสลายหายไปมีเพียงเศษเสี้ยวของจิตที่แตกสลายที่หนีมาจนถึงที่นี่ได้และถูกหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้รวบรวมจิติญญาเข้าไป จึงสามารถยื้อชีวิตต่อมาได้แต่ก็กลับติดอยู่กับมัน ไม่สามารถที่จะออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้เลย...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของท่านเทพป๋ายก็ปรากฏรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าขึ้น “แม้ว่าจะหนีออกจากการผูกมัดของหินก้อนนี้ไปได้โดยที่ไร้การป้องกันจากภายนอก ในหุบเหวแห่งนี้เต็มไปด้วยลมอันรุนแรงสำหรับพวกเ้าแล้ว ก็อาจจะเป็ลมที่ค่อนข้างแรงเสียหน่อย แต่สำหรับข้าแล้วเพียงแค่นั้นก็สามารถปัดเป่าให้ิญญาแตกสลายไปได้”
หลังจากได้ยินดังนั้น หลินลั่วหรานก็เงียบไปเธอไม่รู้ว่าที่ท่านเทพป๋ายพูดออกมาจากนั้นมีความจริงอยู่เท่าไรแต่ว่าหากเื่ราวเป็อย่างที่เธอพูด ิญญาที่แตกสลายถูกกักขังเอาไว้ที่นี่มากว่าพันปีนั่นก็เป็เื่ราวน่าเศร้าเื่หนึ่งเลยทีเดียว
“ท่านเทพข้าขอถามอะไรท่านหน่อยได้ไหม?”
หากไม่ใช่ว่ามีเื่้าขอร้องเ้าเด็กระดับฝึกลมปราณคนนี้ท่านเทพป๋ายคงไม่ลดท่าทีลงมาพูดคุยกับเธอมากขนาดนี้ อะไรที่ควรและไม่ควรพูดต่างก็พูดออกมาหมดแล้วดังนั้นหากจะตอบคำถามอะไรของเธออีกสักสองสามคำถามก็คงจะไม่เป็อะไรดังนั้นเธอจึงพยักหน้าลง แสดงถึงการอนุญาต
หลินลั่วหรานลังเลเล็กน้อยก่อนจะขบริมฝีปากถามขึ้น “ก่อนที่ท่านเทพจะตกลงมายังหุบเขาแห่งนี้ท่านฝึกถึงระดับอะไรแล้ว และเื่การหายไปของผู้ฝึกระดับแยกจิตเมื่อพันปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้น?”
ท่านเทพป๋ายคิดไม่ถึงว่าเธอจะถามเื่นี้ขึ้นมาเธอนิ่งไปสักพัก มันผ่านมานานแล้วที่เธอไม่ได้คิดย้อนกลับไป จะว่าไปแล้วตอนนั้นเหมือนจะเป็่ปีที่สามของ่โจวอู่สินะ?
“ก่อนที่จะเกิดเื่ขึ้นกับข้าข้าไม่เคยได้ยินเื่การหายไปของระดับแยกจิตเลยดังนั้นมันคงจะเกิดขึ้นหลังจากที่ข้าตกลงมายังที่นี่แล้ว...ตอนนั้นเป็่ปีที่สามของโจวอู่โอ้ เ้าน่าจะเคยได้ยินเื่ของโจวอู่สินะนั่นก็คือเ้าเด็กที่ลงไปเป็จักรพรรดินีอะไรสักอย่างที่โลกมนุษย์ในโลกแห่งศาสตร์ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยเื่นี้...เพราะแบบนี้จึงไม่เคยได้ยินเื่การหายไปของนักปราชญ์ระดับแยกจิตนั่นก็เป็เพราะคนที่เล่นงานตัวข้าในที่แห่งนี้ก็เป็นักปราชญ์แยกจิตระดับปลายแล้วหากว่าก่อนหน้านั้นมีเื่การหายไปเล่าลือขึ้นมาล่ะก็ ข้าเองก็ไม่น่าที่จะไม่รู้เื่นี้ดังนั้นเด็กน้อย คำถามนี้ข้าคงจะให้คำตอบแก่เ้าไม่ได้”
แยกจิตระดับปลาย? หลินลั่วหรานใขึ้นมาก่อนหน้านี้เธอคงประเมินท่านเทพป๋ายต่ำไปโชคดีที่ตอนนี้เธอเหลือเพียงจิติญญาบางๆไม่อย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จะเป็อย่างไรก็ไม่มีใครรู้
“ท่านผู้าุโเป็ไปได้ไหมที่ตอนนั้นจะมีเพียงนักปราชญ์ที่ระดับสูงไปกว่าแยกจิตที่จะรับรู้ถึงสิ่งนี้ได้?” หลินลั่วหรานถามต่อเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้สนใจเื่ราวปริศนาการหายตัวไปของโลกแห่งการฝึกศาสตร์นักบางทีพวกคนรุ่นก่อนอาจจะรับรู้ได้ถึงการถดถอยของพลังธรรมชาติและรู้ว่าพันปีต่อมาโลกนั้นจะย่ำแย่ลงจึงเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกศาสตร์มากกว่าแล้วหรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ทำให้พวกเขาต้องจากไปอย่างช่วยไม่ได้...แต่หลินลั่วหรานก็มั่นใจสำหรับทางด้านหน้าในการฝึกศาสตร์ของเธอ ทิศทางของคนรุ่นก่อนนั้นสำหรับหลินลั่วหรานแล้ว เป็สิ่งที่สำคัญมากทีเดียว
ท่านเทพป๋ายยิ้มออกมาราวกับดอกไม้ผลิบาน “นักปราชญ์ที่มีระดับสูงกว่าแยกจิตหรือ? ั้แ่ที่ข้าเริ่มก้าวเข้ามาในเส้นทางฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมปราณมาจนถึงแยกจิต เป็เวลากว่าหกร้อยปีก็ยังไม่เคยพบนักปราชญ์ที่สามารถข้ามระดับแยกจิตไปได้เลย! นักปราชญ์ที่ทำการสลายจิตต่างก็พูดกันว่า ในการสลายจิตครั้งหนึ่งนั้นจะสามารถทำให้จิตแตกออกกลายเป็ความว่างเปล่า โบยบินขึ้นหาแสงอาทิตย์และไม่ใช่คนของโลกธรรมใบนี้อีก แต่ก็ยากที่จะรู้ว่าเหล่านักปราชญ์ที่สลายจิตแล้วโบยบินขึ้นสู่อากาศเ่าั้แท้จริงแล้ว พวกเขาไปที่ไหนกันแน่?”
แตกออกกลายเป็ความว่างเปล่า? โบยบินขึ้นหาแสงอาทิตย์? มือทั้งสองของหลินลั่วหรานกำแน่นสิ่งเหล่านี้ช่างห่างไกลกับตัวเธอมากมายนัก อย่างไรก็ควรที่จะทำเื่ในปัจจุบันให้ดีก่อนเสียดีกว่า!
“ท่านเทพอย่างไรพวกเรามาเรียนศาสตร์การควบคุมดาบกันก่อนไหม?”
ท่านเทพป๋ายมองพิจารณาตัวเธอก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ “ดูเหมือนว่าตอนนี้จิตของข้าจะพังทลายไปมากข้าจึงมองพื้นฐานพลังของเ้าไม่ออก แต่เท่าที่เห็นว่าเ้าสามารถสร้างม่านพลังน้ำง่ายๆขึ้นมาได้ ก็คงจะมีพื้นฐานพลังธาตุน้ำอยู่หากเพียงแค่้าจะบังคับดาบเจาเสวี่ยออกไปจากหุบเขาแห่งนี้แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอ”
ท่านเทพป๋ายยกมือชี้ขึ้นด้วยความเร็วที่หลินลั่วหรานไม่อาจจะหลบหนีได้ แสงสีขาวพุ่งเข้าไปยังระหว่างคิ้วของหลินลั่วหรานในชั่วพริบตาในสมองของเธอปรากฏตัวอักษรโบราณขึ้น หลินลั่วหรานก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือ “ศาสตร์การบังคับดาบ”
“เ้าลองศึกษาด้วยตัวเองไปก่อน” ท่านเทพป๋ายทิ้งถ้อยคำนี้ไว้บางทีอาจจะเป็เพราะวันนี้เธอได้ทำเื่ที่ผลาญพลังของเธอไปมากแล้ว เธอจึงกลายเป็หมอกควันก่อนจะหายไปในหินกลมนั่น
หลินลั่วหรานจึงเลือกผืนหญ้าแห้งบริเวณหนึ่งเธอกังวลว่าจะได้รับการโจมตีจากเหล่ากวางหรือม้าที่ไม่กลัวคนพวกนั้นและเหล่ากระต่ายที่ะโไปะโมา จึงแบ่งจิตรับรู้ออกเป็สองส่วนเพื่อเฝ้าระวังและใช้จิตใจในการคิดไตร่ตรองตัวหนังสือโบราณที่เข้าใจยากเ่าั้
“นักดาบและอาวุธ จิตทองิญญาไม้เป็ฐาน ดินไฟของ...” นี่คือทฤษฎีพื้นฐานทั่วไปที่พูดถึงดาบเมื่อแปลออกมาแล้ว ก็เป็การพูดคร่าวๆถึงระดับและวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างดาบบินที่พบได้ง่ายในโลกแห่งการฝึกศาสตร์หรือแม้แต่วิธีการสร้างแบบง่ายๆ
ส่วนตัวหนังสือท่อนหลังได้เขียนเกี่ยวกับศาสตร์การบังคับดาบ และยุทธศาสตร์ที่สลักอยู่บนตัวของดาบเจาเสวี่ยและวิธีการปลุกให้ตื่น รวมไปถึงการควบคุม
เมื่อเทียบกันแล้ว ทฤษฎีใน่แรกไม่เพียงแต่ให้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การควบคุมดาบเท่านั้นแต่เป็ศาสตร์เกี่ยวกับอาวุธด้วย นี่จึงเป็สิ่งที่มีค่ามาก
หลินลั่วหรานราวกับกำลังปะทะคลื่นอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรดูดซึมความรู้อย่างบ้าคลั่ง ราวกับวาฬตัวใหญ่ที่กำลังดูดน้ำเข้าไปเธอไม่้าที่จะปล่อยผ่านมันไปแม้แต่นิดเดียว ทฤษฎีกว่าหมื่นตัวอักษรอีกทั้งยังอยู่ในรูปตัวอักษรแบบโบราณแต่หลินลั่วหรานกลับศึกษามันซ้ำไปมาอยู่ในสมอง การชี้ทางของท่านเทพป๋ายทำให้เหล่าตัวอักษรไหลเข้ามายังสมองของเธอโดยตรง แม้ว่าจะว่องไวและรวดเร็วแต่กลับไม่ได้เกิดจากการพยายามของเธอ เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจนักเธอคิดว่าต้องเป็ตัวเองเท่านั้นที่ต้องจดจำมันเอาไว้ถึงจะไม่ลืมมันไปอีกทั้งชีวิต
ในสถานที่ลึกลับเองก็มีเวลากลางวันกลางคืนเช่นกันไม่รู้เหมือนกันว่าสถานที่ลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลลึกแห่งนี้ทำไมถึงมีการสับเปลี่ยนของกลางวันกลางคืนเกิดขึ้นได้บางทีมันอาจจะมีกฎธรรมชาติในตัวของมันเอง
เมื่อหลินลั่วหรานออกจากการทำสมาธิก็พบว่าฟ้ามืดลงมากแล้ว ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยความเงียบสงบมีเพียงเสียงของแมลงดังขึ้นมาบ้างตามโอกาส เพื่อมอบชีวิตชีวาให้กับค่ำคืนเหล่านี้
หลินลั่วหรานลืมตาขึ้นก่อนจะหันกลับไปจ้องมองที่หินกลมด้วยสายตาที่ซับซ้อนหยาดน้ำค้างปกคลุมอยู่ในกอหญ้า ประกายแสงวิบวับใต้แสงจันทร์ ชวนให้รู้สึกเอ็นดูแต่ว่าหินกลมก้อนนั้น กลับไร้ซึ่งเสียงใดๆจะไปหาร่างที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสของท่านเทพป๋ายได้ที่ไหน?
หลินลั่วหรานก้มหน้าหลับตาลงพิจารณาไตร่ตรองเวทควบคุมดาบและพื้นฐานทั่วไปของศาสตร์แห่งดาบเธอไม่แน่ใจว่าการที่ท่านเทพป๋ายมอบ “ของขวัญชิ้นใหญ่” แบบนี้ให้กับเธอแท้จริงแล้วมีแผนอะไรกันแน่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้