พื้นที่ส่วนในของพรรคต้าเฟิง ณ ตำหนักเต่าั
ตอนนี้ กู่ไห่กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ มีสี่ผู้บัญชาการเหล่าทัพยืนรออยู่
“นายท่าน กลุ่มคนข้างนอก ดูเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขารวมตัวกันเป็กลุ่มใหญ่ และเตรียมจะลงมือเร็วๆ นี้” เฉินเทียนซานกล่าว พลางขมวดคิ้วแน่น
“หืม? พวกเขาเป็ใคร?” กู่ไห่เอ่ยถามเสียงต่ำ
“คนของผู้น้อยซื้อข่าวมา ทราบว่ามีสองพี่น้อง ได้ทำการรวบรวมกลุ่มผู้ฝึกตนขึ้น คนหนึ่งชื่อจินเจี่ยว อีกหนึ่งชื่ออิ๋นเจี่ยว ทั้งยังได้ยินว่าพลังของพวกเขา เพิ่งจะเข้าสู่ระดับหยวนอิงเมื่อไม่นานมานี้” เฉินเทียนซานกล่าว ด้วยความจริงจัง
“เพิ่งเข้าสู่ระดับพลังหยวนอิงอย่างนั้นหรือ?... ก็ดี!” กู่ไห่พยักหน้า
“แต่นายท่าน เหตุใดเราต้องรอให้พวกเขาและผู้ฝึกตนเ่าั้ เข้ามาโจมตีก่อน?” เฉินเทียนซานเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าจะเชือดไก่ให้ลิงดู!” กู่ไห่ตอบเสียงเย็น
“หืม?” เฉินเทียนซานอึ้ง เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของผู้เป็นาย
เกาเซียนจือที่ยืนอยู่ด้านข้าง อธิบายเสริม “เวลานี้บนเกาะจิ๋วหวู่ มีผู้คนมากมายเริ่มลุกฮือ และประสงค์ร้ายต่อพวกเรา นายท่านย่อมต้องทำให้พวกเขาเ่าั้ ได้รับรู้ถึงความโเี้ เพื่อเป็การย้ำเตือน ว่าอย่าได้คิดที่จะเข้ามายุ่งกับนายท่าน หรือคนของสกุลกู่อีก”
“แต่ว่า ผู้บุกรุกในครานี้ มีระดับหยวนอิงถึงสองคน ข้าเกรงว่า...” เฉินเทียนซานกล่าวด้วยความกังวล
“เพื่อรับมือกับพลังระดับหยวนอิง ข้าจึงได้วางค่ายกลนี้ให้แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนๆ เตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีของกองทัพสัตว์อสูร ดังนั้นการบุกรุกของพลังระดับหยวนอิงเพียงสองคน ย่อมป้องกันได้แน่” กู่ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจ
“ขอรับ!”
“ทางสนามประลองเป็อย่างไรบ้าง?”
“คนของพรรคต้าเฟิงไม่ให้ความร่วมมือ เอาแต่สะอื้นไห้ เรียกหาพ่อแม่ ราวกับเด็กๆ จนไม่เป็อันทำอะไร ลูกน้องของข้าใจร้อน จึงสังหารพวกเขาไปเสียครึ่งหนึ่ง!” เฉินเทียนซานกล่าวเสียงแ่
ศิษย์พรรคต้าเฟิงเกือบหนึ่งพันคน เสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่งในวันเดียว นี่ถือเป็การประลองเดิมพันชีวิตที่ไหนกัน?
“ตายไปเสียได้ก็ดี!” ฮวางบูกล่าวเสียงเรียบ
ซ่างกวนเหินพยักหน้า “ใช่! นายท่านเปิดสนามประลองครั้งนี้ เพื่อแก้แค้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร ก็ไม่ใช่เื่สลักสำคัญ มิฉะนั้น จะไม่ดีต่อการเลื่อนระดับพลังในอนาคต”
“พรุ่งนี้ ตอนที่พวกเ้าออกไปนอกค่ายกล ให้แขวนป้ายเอาไว้ที่บริเวณทางเข้า” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“หืม?”
“ผู้บุกรุกค่ายกล มีโทษถึงตาย!” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ
“ขอรับ!” เฉินเทียนซานตอบ
จบคำ กู่ไห่จึงหันไปมองเกาเซียนจือ ซ่างกวนเหิน และฮวางบู “พวกเ้าตรวจสอบพื้นที่เป็อย่างไรบ้าง?”
“ขุดดินมาสามฉื่อ[1]แล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติ” เกาเซียนจือเอ่ย
“ใช่แล้วขอรับ นายท่าน ไม่มีร่องรอยอะไรเลย” ฮวางบูเสริม
กู่ไห่มองไปยังซ่างกวนเหิน ก่อนจะได้รับคำตอบเป็การส่ายศีรษะเช่นกัน
“พวกเ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าได้ตรวจสอบทั่วทุกพื้นที่แล้ว?” กู่ไห่ถามเสียงต่ำ
“ขอรับ! พวกข้าตรวจสอบทั่วทุกพื้นที่ ตามที่นายท่านสั่งแล้ว” เกาเซียนจือกล่าวอย่างมั่นใจ
กู่ไห่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนพูดเสียงติดกังวลว่า “สถานที่ที่ตรวจสอบไป มีผู้ในพรรคต้าเฟิงเคยอาศัยอยู่มานานหลายสิบปี ก็ไม่แปลกที่พวกเ้าจะไม่เจอสิ่งผิดปกติ
ทว่า ที่ข้า้าก็คือ ให้สำรวจพื้นที่ที่ศิษย์พรรคต้าเฟิงไม่เคยเข้าไป หรือไม่้าที่จะเข้าไปด้วย”
“หืม? แต่พวกเราได้ตรวจสอบทั่วทุกพื้นที่แล้วนี่ขอรับ” ชายหน้าบากกล่าว พลางขมวดคิ้ว
แต่เกาเซียนจือและซ่างกวนเหิน กลับยืนนิ่ง พลางครุ่นคิดบางอย่าง
“ก่อนหน้านี้ ข้าได้ตรวจสอบคัมภีร์เหล่านี้มาแล้ว พบว่าบริเวณด้านในพรรคนี่ มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย แต่มีสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยง และมีน้อยคนนักจะย่างกรายเข้าไป
ที่แห่งนี้ พวกเ้าก็รู้จักดี หุบเขาขยะอย่างไรเล่า พวกเ้าตรวจสอบที่นั่นหรือยัง?” กู่ไห่ถามเสียงเรียบ
“หา?” ท่าทีของสามผู้บัญชาการ พลันเปลี่ยนไป
กู่ไห่มองคนทั้งสาม ด้วยสีหน้าราบเรียบยากคาดเดา “เ้าหลบหลีกสถานที่ที่สกปรก และน่ารังเกียจอย่างนั้นหรือ? จงจำไว้ให้ดี! ในอนาคต จะมีสิ่งที่น่ารังเกียจกว่านี้อีกมาก ที่เ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากยังยึดความรู้สึกอันอ่อนไหวของตนเป็ใหญ่ ก็จะแพ้พ่ายต่อศัตรู”
“ขอรับ!” ท่าทีของทุกคน จริงจังขึ้นมาทันที
“ไปเถอะ! ตอนนี้ไปดูกันว่าหุบเขาขยะนั่น สกปรกมากเพียงใด จึงทำให้พวกเ้าเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมัน” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!”
พวกเขาค่อยๆ ก้าวออกจากตำหนักเต่าั ติดตามแผ่นหลังของกู่ไห่ ไปยังหุบเขาขยะ
เหล่าอาชญากรจำนวนมาก ได้ติดสอยห้อยตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงหุบเขาขยะ กลิ่นเหม็นคลุ้งของซากขยะที่เน่าเปื่อย ก็ลอยแตะจมูกทันที
กู่ไห่กลับหาได้ใส่ใจต่อสิ่งน่ารังเกียจเ่าั้ เพียงเดินขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งสามารถมองเห็นไปทั่วบริเวณหุบเขาด้านล่าง
หนูนับไม่ถ้วนวิ่งเพ่นพ่าน บ้างก็กำลังกัดแทะเนื้อติดกระดูก หรือไม่ก็ซากศพที่ถูกสังหารในลานประลอง
“นายท่าน หนูที่พวกเราเคยกินเมื่อก่อน ก็มาจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?” ฮวางบูเอ่ยเสียงสั่น พยายามสกัดกั้นอาการคลื่นเหียนของตนเอาไว้
เช่นเดียวกับนักโทษคนอื่นๆ ที่มองหนูตัวน้อยด้วยท่าทีขยะแขยง
กู่ไห่เหลือบตามองดูหุบเขาหลายต่อหลายครั้ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนะโเสียงดัง “เก็บกวาดหุบเขาเสีย!”
“หา?” เหล่าอาชญากรเมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็เบิกตากว้างอย่างใ
“ทำการเก็บกวาด นำซากศพและขยะอื่นๆ ไปทิ้งไว้ที่หุบเขาข้างๆนั่น ลงมือได้!” กู่ไห่ออกคำสั่งเสียงต่ำ
กลุ่มนักโทษพยายามอดทนต่อความรู้สึกสะอิดสะเอียน ก่อนพยักหน้ารับคำสั่ง ด้วยความจำยอม
แม้แต่หนูก็เคยกินมาแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเื่น่าขยะแขยงเหล่านี้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ชินก็เท่านั้น
ตุบๆๆ!
เหล่าอาชญากรจำนวนมาก ต่างทยอยะโลงไปในหุบเขา คว้าแผ่นหินขึ้นมาคนละแผ่น ก่อนจะเริ่มขุดพื้นขยะเบื้องล่าง
ตูม!
เมื่อขุดลึกลงไป กลิ่นเหม็นเน่าที่เกิดจากการหมักหมมมานานหลายปี ก็เริ่มคละคลุ้ง... ช่างเป็อันตรายต่อจมูกนัก
ผู้คนต่างพยายามอดทนต่อกลิ่นเหม็นขึ้นจมูก พลางเร่งมือขุดขยะขึ้นมา แล้วนำไปทิ้งที่หุบเขาด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ตูมๆ!
ทุกคนในตอนนี้ ต่างทำงานด้วยความเร็วสูง พวกเขากระจายกำลังไปทั่วบริเวณ พวกหนูที่ถูกฝูงชนบุกรุกพื้นที่ ต่างก็วิ่งหนีอย่างหวาดกลัว
ขยะในหุบเขากองพะเนิน จนกลายเป็ูเาขนาดย่อม
การขุดในครั้งนี้ พลันทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง เพราะไม่มีใครรู้ ว่าหุบเขาแห่งนี้ จะมีความลึกเพียงใด
“มีบางอย่างผิดปกติ นายท่าน หุบเขานี้ลึกเกินไป ราวกับว่าเป็หุบเหวขนาดใหญ่ เช่นนี้แล้วจะต้องใช้เวลาขุดมากขนาดไหน? ขยะที่ขุดขึ้นมา ก็กำลังจะเต็มทั้งสี่หุบเขาแล้ว แต่กลับยังไม่มีท่าทีว่าจะถึงก้นเหวเลยสักนิด” เกาเซียนจือกล่าวด้วยความแปลกใจ
“ขุดต่อไป!” กู่ไห่เอ่ยเสียงเคร่ง
“ขอรับ!”
นักโทษกลุ่มหนึ่งอดทนต่อกลิ่นเหม็นเน่า ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาด และขุดขยะลึกลงไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นตัวคนแล้ว ได้ยินก็แต่เสียงขุดที่ดังขึ้นเป็ระยะๆ เพื่อบ่งบอกว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำงานอย่างต่อเนื่องที่ข้างล่างนั่น
กู่ไห่และสี่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ยืนอยู่บนยอดเขา พลางจ้องมองไปยังพื้นด้านล่างอย่างไม่ละสายตา
ทันใดนั้น ภายในหลุมลึกที่มืดสนิท พลันเกิดประกายแสงสีทองพุ่งออกมาจากหุบเหวที่มืดมิด หากมองจากข้างบน ก็เหมือนกับดวงไฟขนาดเล็กที่ส่องสว่างขึ้น
“ขุดถึงก้นเหวแล้ว มีบางอย่างอยู่ตรงนี้... ข้าน้อยพบบางอย่างตรงนี้ขอรับ!” จู่ๆ ก็มีเสียงะโอย่างยินดี ดังมาจากก้นหุบเขา
“ขุดต่อไป... เร็วเข้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่านักโทษต่างก็ลงมือขุดเร็วขึ้น ด้วยความตื่นเต้น
จากประกายแสงที่หนึ่ง ก็มาถึงลำแสงที่สอง สาม สี่ ห้า และมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่องสว่างเจิดจ้า
ลำแสงที่ถูกขุดเจออีกหลายสาย ทำให้ก้นเหวสว่างไสว
เหล่าอาชญากรช่วยกันทำความสะอาดพื้นด้านล่าง
เมื่อขยะถูกกวาดออก ก็เผยให้เห็นม่านพลังขนาดใหญ่ ที่ปิดกั้นพื้นด้านล่าง ที่เป็ปล่องูเาไฟ
“นายท่าน มีคนอยู่ข้างล่างนี่!” ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงะโดังขึ้นจากด้านล่าง
ฟึ่บ!
กู่ไห่ พร้อมสี่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ะโลงไปในหุบเหวอย่างรวดเร็ว
ปัง!
บัดนี้ ทุกคนกำลังยืนอยู่บนม่านพลัง
มันเหมือนปล่องูเาไฟ แต่มีแสงจ้าเกินไป จนไม่อาจมองดูด้านในได้ เห็นเพียงหางสีทองที่ลอยอยู่เหนือลาวานั่น แต่ก็ช่างเลือนรางนัก
“นี่คือชีพจรัมิใช่หรือ? หางของชีพจรั? เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่ได้?” ซ่างกวนเหินเอ่ย พลางเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“หางของชีพจรั?” ท่าทีของกู่ไห่พลันเปลี่ยนไป
ติงรุ่ย เิไท่ ถังจู่แห่งหออี้ผิน และท่านประมุขซ่ง... ชีพจรัที่พวกท่านเฝ้าตามหา แท้จริงแล้วก็อยู่ที่พรรคต้าเฟิงนี่เอง!
“ดูสิ! มีใครอยู่ข้างในหรือไม่?” เฉินเทียนซานเพ่งตามองลงไป
ปรากฏว่าในม่านพลัง มีร่างชายชราผู้หนึ่งถูกโซ่สีทองหลายเส้นล่ามเอาไว้กลางเวหา โดยโซ่เ่าั้ ได้เจาะลึกลงไปจนถึงกระดูกของชายชราผู้นั้น ช่างดูน่ากลัวนัก
ดวงตาของชายชรามืดบอด มองไม่เห็นอะไร
“ท่านผู้เฒ่า!” ฮวางบูร้องเรียก
แต่ด้วยม่านพลังงานที่กั้นอยู่ จึงทำให้เสียงของเขาไม่อาจแทรกผ่านไปถึงชายชรา ที่ถูกตีตรวนอยู่เบื้องล่างได้
“หางของชีพจรัมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้” ซ่างกวนเหินกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่น
“หืม?” กู่ไห่เงยหน้ามองซ่างกวนเหิน ด้วยความไม่เข้าใจ
“นายท่าน โดยปกติแล้ว ชีพจรัปฐีนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หัวัก็ดี ตัวัก็ดี มักล่องลอยตามอำเภอใจ ดังนั้น ตามที่ควรจะเป็ หางัย่อมต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ชีพจรัปฐีนี้ ไม่รู้ว่าหัวัอยู่ที่ใด ทว่าหางักลับถูกตรึงไว้ที่นี่ มันไม่ควรจะเป็เช่นนี้... ใครกันที่จะสามารถผนึกชีพจรัปฐีได้?” ซ่างกวนเหินเอ่ยอย่างพิศวง
“จําจดหมายที่เว่ยหยางเขียนถึงหลี่เหว่ยได้หรือไม่? หรือนี่จะเป็ความลับของพรรคต้าเฟิง?” เกาเซียนจือกล่าว
“พรรคต้าเฟิง? เฟิง? ไม่! นั่นไม่น่าจะเป็แค่คำพ้องเสียง ที่พรรคต้าเฟิงมาตั้งอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเฝ้าตราผนึกนี้อย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่ขมวดคิ้วแน่น
“ผนึกชีพจรัปฐี? ไม่! แล้วใครกันที่จะสามารถผนึกชีพจรัได้? ชีพจรันี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนอิง ก็ยังไม่อาจปิดผนึกมันได้” ซ่างกวนเหินกล่าว
“แล้วถ้าเป็ผู้าุโกวนฉีล่ะ?” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ผู้าุโกวนฉี? ใช่แล้ว! ในบันทึกเ่าั้ เว่ยหยางเรียกประมุขสำนักว่า ‘ผู้าุโ’ มิใช่หรือ? พรรคต้าเฟิงน่าจะเป็หมากตัวหนึ่งที่อี้เทียนเก๋อทิ้งเอาไว้?” ท่าทีของเกาเซียนจื่อค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แล้วท่านผู้เฒ่านี่ เป็ใครกัน?” ฮวางบูเอ่ยถาม พลางชี้ไปยังชายชราที่ถูกขังเอาไว้
กู่ไห่มองดูชายชราตาบอด เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ชายชราผู้นี้คือเว่ยหยาง!”
“เว่ยหยาง? หัวหน้าพรรคต้าเฟิง? เิไท่ หลี่เหว่ย และอาจารย์ของพวกเขา?” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างสับสน
“ใช่แล้ว! หลายวันมานี้ ข้าอ่านคัมภีร์ของพรรคต้าเฟิง มีตำราเล่มหนึ่ง ได้เอ่ยถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเว่ยหยางเอาไว้ เป็เขา คิดว่าคงจะใช่” กู่ไห่พูดเสียงทุ้ม
“เว่ยหยาง? เว่ยหยางตายไปแล้วมิใช่หรือ? จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่เิไท่ ก็ดึงเฟิงหลิง หลี่เหว่ย และเยว่เหยาขึ้นมาดูแลพรรค ในเมื่อเว่ยหยางยังไม่ตาย? แล้วใครกัน ที่กักขังเขาไว้ที่นี่? แล้วต้องทำถึงขนาดให้ตาบอดเชียวหรือ?” เฉินเทียนซานมุ่นหัวคิ้ว ก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย
“หรือจะเป็เิไท่?” เกาเซียนจือกล่าว
“จะเป็ไปได้อย่างไร เว่ยหยางเป็อาจารย์ของเิไท่ เป็พ่อของเฟิงหลิง ก็เท่ากับเป็พ่อตาของเขา เิไท่จะทำเช่นนี้กับพ่อตาตัวเองได้อย่างไร?” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างงุนงง
“หัวหน้าเฉิน ท่านไม่เข้าใจ... ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย” ซ่างกวนเหินถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่เข้าใจอะไร?”
“ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของชีพจรัปฐีอย่างไรเล่า ด้วยอำนาจของชีพจรันี้ จึงมีหลายคนที่ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อแย่งชิงมันมาไว้ใน และในตอนนั้น ชายชราผู้นี้ก็เป็คนถือครองชีพจรัอยู่อย่างไรเล่า” ซ่างกวนเหินพูดเสียงต่ำ
“หา?”
“คิดหาวิธีทำลายม่านพลังกันก่อนเถอะ” กู่ไห่เอ่ยเสียงต่ำ
--------------------------------------
[1] ฉื่อ เป็การวัดระยะของจีน 1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว หรือ 33.3 เิเ ดังนั้น สามฉื่อจึงเท่ากับหนึ่งเมตร โดยประมาณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้