บทที่ 11 เศษซากเคล็ดวิชาปราณฟ้า
“กระบวนท่ากระบี่ของลูกพี่ไม่เลวเลย” เมื่อเห็นฉินชูฆ่าเสือดาวไปได้หนึ่งตัว ไป๋อวี้ก็เอ่ยปากชม
ฉินชูก้มเก็บผลึกพลังของเสือดาว “เ้าพูดผิดแล้วไป๋อวี้ เป็เพราะฝีมือข้าต่างหาก”
ไป๋อวี้หัวเราะ หากคนอื่นได้ยินเข้า คงเข้าใจผิดว่าฉินชูมั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ไป๋อวี้กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะความมั่นใจแบบนี้ทำให้ฉินชูกล้าเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรขั้นที่สี่และหลิ่วเจ๋อ
พูดคุยกันอีกสองสามประโยค ฉินชูกับไป๋อวี้ก็กลับไปทำภารกิจต่อ เส้นทางการทำภารกิจครั้งนี้ของพวกเขาค่อนข้างออกไปไกลกว่าครั้งก่อนๆ ซึ่งบริเวณที่ออกมาทำภารกิจก็คือรอบนอกของเขามี่หยุน
หากเป็เขามี่หยุน ทั้งฉินชูและไป๋อวี้ต่างก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป พวกเขาได้ทำการศึกษาสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆ ของสำนักชิงหยุนแล้ว บริเวณรอบนอกเขามี่หยุนมีสัตว์อสูรขั้นที่สามอาศัยอยู่เป็หลัก ไม่ค่อยมีสัตว์อสูรขั้นที่สี่ปรากฏตัวออกมาเท่าไร แต่ด้านในเขามี่หยุนกลับคนละเื่ เพราะมีสัตว์อสูรขั้นที่สี่อาศัยอยู่เป็หลักหรืออาจจะมีขั้นที่ห้าโผล่มาก็เป็ได้ ซึ่งพลังของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้ ขืนเข้าไปด้านใน มีหวังตายสถานเดียว
แม้จะเคยโค่นสัตว์อสูรขั้นที่สี่อย่างหมีป่ามาแล้ว แต่ฉินชูก็ยังไม่มั่นใจถึงขนาดนั้น เขาไม่คิดว่าตัวเองสามารถฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่สี่ลงได้อย่างง่ายดาย การที่โค่นหมีป่าตัวนั้นได้ เป็เพราะมันเพิ่งบรรลุขั้นที่สี่และการเคลื่อนที่มันค่อนข้างช้า ดังนั้นเขากับไป๋อวี้จึงช่วยกันเอาชนะมันได้
“ลูกพี่ วันนั้นที่มีเื่กับหลิ่วเจ๋อ หากต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา นางคงเอาจริง” ไป๋อวี้พูดกับฉินชู
“แล้วมันยังไง คือข้าต้องยอมแพ้อย่างนั้นหรือ ขืนทำเช่นนั้น ข้าคงอยู่ไม่เป็สุข มีแต่ต้องสู้ก่อนเท่านั้น แล้วค่อยว่ากันอีกที” ฉินชูตอบกลับ
อันที่จริงฉินชูรู้ดีว่าตัวเองสู้หลิ่วเจ๋อไม่ได้ แต่เขาไม่ใช่คนที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง เขาแพ้ได้ แต่จะไม่มีทางยอมแพ้ก่อนเริ่มสู้เด็ดขาด หากได้ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้วตัวเองแพ้ สำหรับฉินชูแล้ว แบบนี้คือการเคารพในวิถีของตัวเอง ตอนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาลึก ผู้เฒ่าเคยบอกกับเขาว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร เราจำเป็ต้องดุร้ายเหี้ยมโหดกว่าสัตว์อสูรตัวนั้น ถึงจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
ตอนนี้ช่องว่างมิติในเข็มขัดเก็บของของฉินชูเต็มแล้ว ฉินชูจึงใช้เสื้อคลุมตัวนอกมัดเป็ถุงย่ามและนำสิ่งของที่ต้องส่งมอบสำหรับภารกิจยัดเข้าไป ก่อนจะสะพายมันขึ้นหลัง ภายในใจของเขาค่อนข้างร้อนรน แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะตำรายุทธ์ฝึกปราณ แต่เขา้ามีตัวตนในสำนักชิงหยุนให้เร็วที่สุด และให้คนในสำนักเห็นวิถีฝึกตนของตัวเขาให้เร็วที่สุด แบบนี้เขาจึงจะมีโอกาสเข้าพบผู้เฒ่าโม่
“ลูกพี่ ข้าเห็นลูกพี่เก็บรวบรวมสมุนไพรที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจ” ไป๋อวี้ลองถามหยั่งเชิง
“สมุนไพรพวกนั้นข้าเก็บไว้ใช้เอง เอาไว้จะให้เ้าลองดู” ฉินชูตบไหล่ไป๋อวี้ เขาคิดว่าไป๋อวี้ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ร่วมเป็ร่วมตายกันได้ ยกเว้นเื่ที่เอาแต่คิดหนีเวลาเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่า นอกนั้นเ้าหมอนี่ถือว่าใช้ได้เลย
การทำภารกิจครั้งนี้ พวกเขาออกห่างจากสำนักชิงหยุนหลายร้อยลี้ จนกระทั่งพวกเขาหอบของสำหรับภารกิจไม่ได้แล้ว ถึงได้เดินทางกลับ
ฉินชูตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะหลังจากส่งมอบภารกิจครั้งนี้ แต้มคุณูปการของเขาก็น่าจะมีสักสามหมื่นแต้มแล้ว จากนั้นเขาก็จะสามารถแลกตำรายุทธ์ฝึกปราณที่ตัวเองเล็งไว้ั้แ่แรกได้
ตำรายุทธ์ฝึกปราณที่เขาเล็งไว้มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาปราณฟ้า’ หลังจากได้อ่านคำแนะนำแล้ว ฉินชูคิดว่ามันสุดยอดมาก มิหนำซ้ำยังน่าสนใจกว่าพวกตำรายุทธ์ฝึกปราณที่มีราคาแสนแต้มคุณูปการเสียอีก
เมื่อฉินชูกับไป๋อวี้เดินทางมาถึงหอคุณูปการบนยอดเขาชิงจู๋ ประตูก็ใกล้จะปิดทำการแล้ว
ผู้ดูแลหานที่ออกมาจากหอคุณูปการจึงต้องกลับเข้าไปข้างในเพื่อทำเื่ส่งมอบภารกิจให้พวกเขา
หลังจากส่งมอบเสร็จ ดวงตาของฉินชูก็เจือแววผิดหวังขึ้นมารำไร เพราะแต้มคุณูปการของเขามีแค่สองหมื่นเก้าพันหกร้อยแต้ม ขาดอีกแค่สี่ร้อยแต้มเท่านั้น
“แต้มที่เ้าขาด ข้าให้ยืมรากหัวแห้งเหอโส่วอู เอาไปแลกห้าร้อยแต้มก่อน แต่เดือนหน้าลูกพี่ต้องคืนข้าหนึ่งพันแต้ม” ไป๋อวี้พูดพลางยื่นรากหัวแห้งโส่วอูให้ฉินชูหลังจากรู้ว่าฉินชูแต้มคุณูปการไม่ถึงสามหมื่นแต้ม
ฉินชูพยักหน้า เขารู้ว่าไป๋อวี้กลัวว่าเขาจะไม่รับ ดังนั้นไป๋อวี้จึงพูดแบบนี้ออกมา แต่ครั้งนี้ฉินชูไม่คิดแบบนั้น เพราะเป็เพื่อนกันย่อมต้องช่วยเหลือกัน
เมื่อมีแต้มคุณูปการครบสามหมื่นแต้ม ฉินชูกับไป๋อวี้ก็ออกจากหอคุณูปการ
“มีแต่ผู้ที่มีปณิธานอยากแข็งแกร่งอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะผลักดันให้คนเรากลายเป็ผู้แข็งแกร่ง สามารถล่าแต้มคุณูปการหมื่นแต้มได้ภายในหนึ่งเดือน... แบบนี้ยังเรียกว่าศิษย์รับใช้อยู่อีกหรือ” ผู้ดูแลหานพูดพึมพำกับตัวเอง พลางมองตามหลังฉินชูกับไป๋อวี้ที่คล้อยจากไป เขาเสียดายที่ฉินชูเป็แค่ศิษย์รับใช้ เพราะความเร็วในการล่าแต้มคุณูปการกับศักยภาพทางร่างกายของฉินชูนั้นสูงกว่าพวกศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงหยุนเสียอีก เผลอๆ อาจสูงกว่าพวกศิษย์สายในด้วยซ้ำ
เมื่อกลับถึงหอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็พาไป๋อวี้มาที่กระท่อมตัวเองที่ผาหินตัด
“อ่างดินเผาใบใหญ่ใบนี้ใช้สำหรับต้มน้ำหรือ?” ไป๋อวี้ชี้อ่างดินเผาที่ฉินชูใช้แช่ตัว
ฉินชูเริ่มจุดถ่านฟืนใต้อ่างดิน จากนั้นก็เทสมุนไพรบางอย่างลงไปในอ่าง
“อีกประเดี๋ยวข้าจะลงไปแช่ก่อน แล้วเ้าค่อยลงหลังข้าแช่เสร็จ” พูดจบ ฉินชูก็ถอดเสื้อผ้าและก้าวลงไปในอ่าง
ไป๋อวี้อึ้งงัน เขาไม่รู้ว่าฉินชู้าจะทำอะไร ต้มคนเป็ๆ งั้นหรือ...
ไม่นานนักน้ำโอสถในอ่างก็เริ่มเดือดปุดๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋อวี้ก็ถึงกับตะลึงเป็ไก่ตาแตก ฉินชูเพ่งสมาธิไปกับการฝึกตนตามตำรายุทธ์ไร้นามเพื่อซึมซับสารสรรพคุณในอ่างแช่เข้าสู่ร่างกาย ตอนนี้ฉินชูรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาพัฒนามาจนถึงจุดที่ไม่อาจไปต่อด้วยวิธีนี้ได้แล้ว เขาจึงแช่แค่ครึ่งชั่วยามก่อนจะลุกออกจากอ่าง
“เ้าลองลงไปแช่ดู” ฉินชูพูดไป๋อวี้
“ไม่เอา ลูกพี่แช่เองเถอะ” ไป๋อวี้หันหลังเตรียมออกไปทันทีที่ฉินชูเอ่ย เขายังไม่อยากถูกต้มเป็ๆ แบบนี้
ฉินชูส่ายหน้า เขาคิดว่าไป๋อวี้พลาดโอกาสแล้ว แต่เป็เพราะแบบนี้ เขาถึงคิดว่าไป๋อวี้เป็เพื่อนที่ไม่เลวเลย หากเป็คนอื่น ฉินชูคงไม่มีทางเอ่ยปากชวนแช่อ่างน้ำโอสถแน่นอน
หลังจากเข้าฌานดูดซับอณูปราณด้วยกันตลอดหนึ่งคืน ฉินชูกับไป๋อวี้ก็เปลี่ยนชุดศิษย์รับใช้ตัวใหม่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ยอดเขาชิงหยุน วันนี้ฉินชู้าแลกตำรายุทธ์ฝึกปราณด้วยแต้มคุณูปการสามหมื่นแต้ม ซึ่งแต้มคุณูปการของไป๋อวี้ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เขามีทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันแต้ม สามารถแลกตำรายุทธ์ได้เช่นกัน
สำนักชิงหยุนแห่งนี้ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือศิษย์รับใช้สองคนพกกระบี่เดินทางมาที่หอคัมภีร์
อีกทั้งศิษย์เฝ้ายามก็ยังเป็ลูกศิษย์สองคนเดิม เมื่อพวกเขาเห็นฉินชูกับไป๋อวี้ ก็ไม่คิดจะเข้าไปขวางแต่อย่างใด เพราะว่าผู้าุโลู่ได้อนุญาตแล้ว และผู้เฒ่าแห่งหอคัมภีร์ก็ให้การยอมรับ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเปลืองแรงโดยใช่เหตุ
พวกเขาแสดงบัตรสะสมแต้มคุณูปการเสร็จ ก็เดินเข้ามาด้านในหอคัมภีร์อย่างราบรื่น
ผู้เฒ่าที่อนุญาตให้ฉินชูเข้าไปในหอคัมภีร์ในตอนแรกลืมตาพูดขึ้น “เมื่อครู่ เ้าบอกว่าเขายังเหลือแต้มอยู่อีกสามหมื่นกว่าแต้มงั้นหรือ”
“ขอรับ หักค่าเข้าไปแล้วยี่สิบแต้ม เขาเหลือแต้มอยู่ราวสามหมื่น ส่วนอีกคนเหลือประมาณหมื่นเจ็ดขอรับ” ศิษย์ผู้ดูแลประตูทางเข้ารายงานท่านผู้เฒ่า
“เดือนที่แล้ว เขายังมีแค่สามพันแต้มอยู่เลย ตอนนี้มีถึงสามหมื่นแต้มแล้ว จงแจ้งไปยังผู้าุโลู่ หากเขาทุจริตแต้มคุณูปการก็จงไล่เขาออก แต่ถ้าเป็ของจริงก็น่าสนใจทีเดียว” หลังจากผู้เฒ่าพูดจบก็หลับตาลง
หลังจากเข้ามาด้านในหอคัมภีร์ ฉินชูก็พุ่งตรงไปยังตำราเคล็ดวิชาปราณฟ้าทันที สุดท้ายเขาก็ได้มันมาอยู่ในมือ ส่วนไป๋อวี้ก็เลือกตำรายุทธ์มาหนึ่งเล่มเช่นกัน เป็ตำรายุทธ์ขัดเกลาร่างกายในราคาหนึ่งหมื่นหกสิบแต้ม
เมื่อได้ตำรายุทธ์ฉบับตัวอย่างมา ทั้งสองก็ออกจากหอคัมภีร์เพื่อไปแลกตำรายุทธ์เล่มจริง
ครั้นได้ตำรายุทธ์เคล็ดวิชาปราณฟ้ามาอยู่ในมือ ฉินชูก็หน้าถอดสีลงทันที เพราะหนังสือที่เขาแลกมามันไม่สมประกอบ หากจะพูดให้ถูกก็คือสิ่งที่ฉินชูแลกมา มันเป็เหมือนเศษซากเคล็ดวิชาปราณฟ้าเสียมากกว่า
“มันไม่สมประกอบ ทำไมพวกเ้าไม่อธิบายลงในตำราตัวอย่างให้ชัดเจน” สีหน้าของฉินชูไม่พอใจเป็อย่างมาก เขาอุตส่าห์ล่าแต้มคุณูปการสามหมื่นแต้มมาอย่างยากลำบาก แต่กลับได้เศษซากมันมา เป็ใครก็ต้องไม่พอใจกันทั้งนั้น
“หากมันสมประกอบ เ้าไม่มีทางแลกมันมาได้ในราคาสามหมื่นแต้มคุณูปการแน่นอน” ผู้เฒ่าที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาตอบ