“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงของโซรานดังทะลุอากาศอันหนาแน่น ก้องไปทั่วทั้งลานหน้าเรือนของใต้เท้าคิม ด้วยความท้าทายและสั่นเครือ รูปร่างเพรียวบางดิ้นรนอย่างไร้ผลท่ามกลางการจับกุมของชายสองคนร่างั์ แขนของทั้งคู่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้า
แต่เพียงเมื่อก้าวข้ามลานเรือนของใต้เท้าคิม ทั้งสองก็ปล่อยนางลงให้ล้มลงกับพื้น ผ้ากระโปรงและเส้นผมยุ่งเหยิง ดุจดอกไม้ร่วงโรยปลิวตามสายลม
“ข้าพานางมาแล้ว, ใต้เท้าคิม!”
เสียงคำรามสั้นๆ ก่อนพวกอันธพาลจะถอยหลังไป ฝีเท้าหนักๆ ก้องกังวานบนทางหิน ขณะที่ประตูบานใหญ่เปิดกว้างอย่างช้าๆ พร้อมเสียงเอี๊ยดอี้ดของประตูเรือนไม้
“อ้อ...นี่หรือคือหญิงสาวที่ถูกส่งมาเพื่อรับใช้ข้าในวันนี้?”
เสียงที่ลอยออกมาแหบแห้งและแตกลายตามกาลเวลา แต่เปี่ยมด้วยบารมีที่มิอาจปฏิเสธ จากเงามืดในห้องโถง ปรากฏชายวัยชราผู้หนึ่ง ก้าวเดินอย่างมั่นคง ดวงตาคมกริบแม้ท่าทางจะอ่อนโยน เขาสวมฮันบกผืนยาวสีทอง-เขียวเข้มของใบแปะก๊วยแก่จัด ดูเหมือนนักปราชญ์สูงวัย มากกว่าที่จะเป็เผด็จการ
แต่แม้จะเป็เช่นนั้น นางโซรานก็ไม่กล้าสบสายตา
นางคุกเข่าลงที่นั่น เปื้อนฝุ่นและความหวาดกลัว จนกระทั่งชายชราหยุดยืนตรงหน้าและโน้มตัวลงมา เสียงเขานุ่มลงในคราเดียวกัน
“จงมองข้าให้ดีเถิด นางสาวน้อย”
ด้วยความลังเลและลมหายใจสั่นระริก โซรานยกหน้าขึ้น สายตาของทั้งคู่สบกัน ดวงตานางเต็มไปด้วยพายุแห่งความสับสนและไม่ไว้วางใจ ส่วนของเขาเปี่ยมด้วยความสงบที่แฝงไว้ด้วยความสงสัย
แม้เขาจะไม่เผยอารมณ์โหดร้ายอย่างที่นางคาดหวังไว้ แต่จะเป็ไปได้อย่างไร ที่ผู้มีดวงตาอ่อนโยนเช่นนั้นจะสั่งให้ชายหนุ่มจับตัวบุตรสาวจากอกแม่ที่ร่ำไห้เช่นนี้…
ชายผู้นั้นคือท่าน ใต้เท้าคิม ยองกวาง...ลุกขึ้นช้า ๆ พนมมือไว้ด้านหลัง แล้วเริ่มเดินเวียนเป็วงช้าๆรอบตัวนาง ราวกับผู้พิพากษาที่กำลังพินิจผลงานศิลป์เพื่อหาความบกพร่อง
ความคิดของโซรันวนเวียนไปตามการก้าวเดินของเขา ความไม่สบายใจทวีขึ้นในทุก ๆ รอบที่เขาหมุนตัว
“ข…ขอเวลาสักครู่ได้หรือไม่..ท่านใต้เท้าคิม?”
นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
เขาหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับมา ชายเสื้อฮันบกของเขาปลิวไสวตามสายลมฤดูร้อน
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ ใต้เท้า”
“แต่พอเสียทีเถอะ!” นางะเิเสียงออกมา น้ำเสียงแตกพร่า
“หยุดเดินเวียนไปราวกับเป็เหยี่ยวร้าย! ท่านพาข้ามาที่นี่เพื่อเป็นางบำเรอใช่หรือไม่? นี่หรือคือวิธีชดใช้หนี้สินของท่าน!”
ชายชราหัวเราะขึ้นมาดังลั่น ไพเราะและกลมกลืนไปทั่วห้อง เขายิ้มในความไร้เดียงสาอันเกรี้ยวกราดของโซราน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ความคิดบ้าบออะไรเช่นนี้! โอ้...ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน!”
โซรานหดตัวลงภายใต้เสียงหัวเราะนั้น ร้อนผ่าวขึ้นที่แก้ม
(ข้าพูดเื่โง่ ๆ อีกแล้วหรือ?) นางคิดพลางเอื้อมมือแตะริมฝีปากด้วยความอาย แล้วยกสายตาลงต่ำ
“เ้าสงสัยข้า?” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ใครจะไม่สงสัยเล่าเ้าคะ?” นางสวนกลับก่อนจะลดเสียงลง
“เพราะเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่? มีทางไหนบ้างหรือไม่…ที่ข้าจะชดใช้หนี้ โดยไม่ต้องสูญเสียศักดิ์ศรี? ครอบครัวของข้า...เรามีน้อยนิดนัก ข้าขอท่านล่ะเ้าค่ะ”
สายตาของชายชราผ่านวูบหนึ่งด้วยสิ่งที่อ่านยากนัก... อาจเป็ความสงสาร หรือความทรงจำบางอย่าง แต่สิ่งนั้นก็เลือนหายไปในพริบตา
พร้อมถอนหายใจ เขาหยิบพัดพับจากแขนเสื้อแล้วคลี่ออกด้วยเสียงแหบกรอบ พลางพัดลมเบา ๆ ก่อนเอ่ยว่า
“เ้ามาเพื่อให้ข้าได้รับความบันเทิง เพียงเท่านั้น ไม่มีผู้ใดในนี้จะทำร้ายเ้า ข้าผู้แก่ชรานี้มิใช่สัตว์ร้าย เ้าดูอ่อนเยาว์จนอาจเป็หลานสาวของข้าได้ แต่ข้าไม่้า...เพื่อนเล่นเช่นนั้น อีกอย่างพ่อเ้าก่อหนี้ไว้มากโข ก่อนโดนตัดสินโทษ ครอบครัวของเ้าน่าสงสารยิ่งนัก เขาเคยเป็ลูกน้องที่ดี พ่อของเ้าน่ะ แต่อย่างไรเสีย เขาควรจะต้องชดใช้หนี้ที่ก่อ มันถึงจะยุติธรรม เ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?”
เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อ
“เ้าจะได้นอนอย่างสบายในคืนนี้ ไม่ต้องเป็กังวลไป”
โซรานถอนหายใจยาว เสียงลมหายใจสั่นระริก ดั่งปลดเปลื้องน้ำหนักของฝันร้ายที่นางจินตนาการไว้ให้หลุดพ้นจากบ่า ริมฝีปากนางแย้มออกเพียงน้อย อย่างเหนื่อยอ่อนปนโล่งใจ
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ...ใต้เท้า”
“เอาล่ะ!” เขากระชากเสียงขึ้นทันที “เ้าคิดจะนั่งซึมอยู่ในฝุ่นราวลูกหมาที่ถูกทอดทิ้งอีกนานแค่ไหน? ลุกขึ้นซะ เด็กน้อย”
โซรันสะดุ้ง รีบลุกขึ้นพลัน ใช้มือปัดฝุ่นจากแขนเสื้อและกระโปรงอย่างเก้ๆกังๆ แต่ก่อนที่ชายชราจะหันกลับเข้าร่มเงาแห่งเรือนใหญ่ นางก็เรียกไว้ด้วยเสียงที่สูงขึ้นอย่างหวานลึก แม้จะยังเปี่ยมด้วยความระแวง
“ข…ขอประทานโทษเ้าค่ะ...ใต้เท้า?”
เขาหยุดยืน โดยไม่หันกลับมา ชายเสื้อฮันบกของเขายังพริ้วไหวในลมฤดูร้อน
“ข้าต้องทำงานที่นี่นานเท่าใดหรือ?”
เขาตอบโดยไม่หันหลังกลับ
“จนกว่าจะมีผู้ไถ่ตัวเ้าไป อ้อ อีกอย่าง ข้ามิได้จะจ้างเ้ามาทำงานหรอกนะ ข้าน่ะมีคนงานมากมาย มากเพียงพอสำหรับเรือนของตระกูลคิม”
แล้วเขาก็เดินจากไป
เสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ดังยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด คำพูดนั้นตบใส่หัวใจนางราวกับฝ่ามือหนักหน่วง
จนกว่าจะมีผู้ไถ่ตัวเ้า...
โซรานยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับที่ แล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงตรงจุดเดิม ที่เมื่อครู่นางพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น
“นี่มันเื่ตลกใช่หรือไม่?” นางพึมพำ “ใครกันจะบ้าพอมาไถ่ข้า? นี่ไม่ใช่งาน...มันคือการจับตัวประกันชัด ๆ!”
คนรับใช้ผู้หนึ่งที่เดินผ่านได้ยินเสียงบ่นของนาง กัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะ
ยังคงพึมพำไม่หยุด โซรานค่อย ๆ เดินเลียบทางไปยังลานด้านในของเรือนใหญ่
“แล้วข้าต้องนอนที่ใดล่ะ? บนพื้น? หรือในคอกแพะ? หรือใต้ต้นพลัมงามนั่น หากฝนตกลงมา...”
นางถอนหายใจเงียบ ๆ
“อย่างน้อย...ข้ายังสวมเสื้อผ้าอยู่...ก็แค่ตอนนี้ล่ะนะ”
ด้วยความคิดขื่นขมที่ประหนึ่งความหวังเล็กๆ นางจึงหายลับเข้าไปในเรือนเล็กๆนั้น แผ่นหินใต้ฝ่าเท้าอบอุ่นด้วยแดดบ่าย ชะตากรรมของนางยังไม่อาจรู้ แต่มิใช่สิ้นหวังเสียทีเดียว
โซรานพึมพำอย่างสิ้นหวัง พลางปัดฝุ่นจากกระโปรงด้วยอารมณ์เทียบเท่าคนใช้ใบไม้กวาดข้าวสารที่หกเกลื่อนพื้น นางนั่งกองอยู่อย่างพ่ายแพ้พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทีโอเวอร์เกินความจำเป็ แล้วลากฝีเท้าเดินจากลานของใต้เท้าคิมไปอย่างเหนื่อยล้า
“แล้วคืนนี้...ข้าจะได้นอนที่ใดเล่า?”
นางบ่นอุบ พลางแหงนหน้ามองฟ้า ราวกับจะให้มันตอบอะไรสักอย่างกลับมา
ั้แ่มาถึงเรือนแห่งนี้นี้ ยังไม่มีใครให้คำอธิบายใดชัดเจน ไม่มีบัญชีงาน ไม่มีห้องพัก แม้แต่มุมพื้นกับเสื่อฟางยังไม่มีให้ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือลากส้นเท้าเดินไปเรื่อย ๆ ในคฤหาสน์กว้างใหญ่นี้ ปลายเท้าเขี่ยฝุ่นเบา ๆ พลางความคิดลอยกลับไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของท่านป้า และดวงตาน้ำตาคลอของน้องชายและมารดาที่ยังเหลืออยู่ในครอบครัว
นางอยากร้องไห้...แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนใจยาว
หากข้าล้มตัวลงนอนกลางลาน แล้วแกล้งทำเป็ศพ บางที...อาจจะมีใครสักคนยื่นหมอนให้ข้าบ้างก็ได้...
ทว่าโชคชะตากลับมีแผนอื่น
ตุบ!
“โอ๊ย!”
โซรานร้องเสียงหลง ร่างกระเด็นไปด้านหลัง แล้วก้นกระแทกพื้นอย่างจัง...เป็ครั้งที่สองของวัน
(ให้ตายเถอะ! หากยังเป็เช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ ข้าควรยัดฟางไว้ใต้กระโปรงแล้วกระมัง)
ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก้มลงฉับไว มือแข็งแรงแต่แ่เบาประคองร่างนางให้ลุกขึ้น
“เ้าเป็อะไรหรือไม่?”
เสียงนั้นลึก ทุ้ม อบอุ่น เปี่ยมด้วยความห่วงใย...และคุ้นหูเกินกว่าจะเป็คนแปลกหน้า
โซรานกะพริบตา แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา...ตรงเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มที่นางเห็นครั้งสุดท้าย ที่ตลาด...กับกำไลหยกเส้นนั้น
เงาร่างของเขาถูกแต่งแต้มด้วยแสงแดดลอดใบไม้ ราวกับภาพวาดที่หลุดออกมามีชีวิตอย่างไม่ตั้งใจ
“คือ...เ้า!”
นางอุทาน
“คือ...เ้า!”
เขาอุทานกลับเช่นกัน ด้วยน้ำเสียงตกตะลึงไม่ต่างกัน เสียงของเขาแปร่งเล็กน้อย ราวกับความสุขุมเยือกเย็นถูกเหยียบลงอย่างจัง
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วขณะยาวนาน จนกระทั่งริมฝีปากของเขาแย้มยิ้มเ้าเล่ห์ออกมา
“แล้วเ้ามาทำอะไรที่นี่เล่า? อย่าบอกนะ...ว่าเ้ามาเพื่อชดใช้หนี้แทนบิดาข้ารึ?”
เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างเกินจริง ราวกับใสุดขีด
โซรานหรี่ตาลง “บิดา? โอ้! ท่านคิดเช่นนั้นหรือ?..ท่านคือ..บุตรชายของ..”
“ก็...” เขายักไหล่ “เ้าบอกเองว่าไม่มีเงินพอจะซื้อกำไลหยกนั่น ข้าก็เลยคิดว่าเ้าอาจตัดสินใจขายตัวเองให้กับบ้านนี้เสียเลย”
ปากของโซรานอ้าค้าง ราวกับได้รับความิ่แคลนที่สุดในโลก
“หยาบคาย!”
“แล้วมันผิดหรือ?” เขากระเซ้า
โซรานยกแขนไขว้อก ยืดตัวตรงแล้วยกคางขึ้นอย่างทรงเกียรติที่สุดเท่าที่จะเรียกออกมาได้ แต่สายตาอันซุกซนของคุณชาย จ้องมองไปยังหน้าอกที่เชิดขึ้นของนาง อย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่โซรานจะมองตามสายตานั้นไป แล้วรีบห่อไหล่ด้วยความใปนเขินอายทันที
“ข้ามิได้มาชดใช้หนี้ด้วยเงินทองหรอกนะ”
“โอ้หรือ?”
รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ เลือนลง เมื่อััได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของนาง
“ข้ามา...เพื่อชดใช้ด้วยวิธีอื่นต่างหาก”
ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง คำหยอกล้อแปรเปลี่ยนเป็ความนุ่มนวลเจือหม่น และอาจจะ...รู้สึกผิดเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ
“เ้ามาทำงานที่นี่...ใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงเขาแ่ลง และบ่าเขาก็เช่นกัน
“ใช่” นางยอมรับ “เป็ความจริง”
เขาพยักหน้าช้า ๆ “ถ้าเช่นนั้น...ก็คงถึงเวลาที่เ้าควรไปทำหน้าที่ของเ้าแล้ว”
คราวนี้ น้ำเสียงของเขามิได้แฝงเย้าใด ๆ หากเปี่ยมด้วยความเห็นใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบขรึม
“นั่นสิ” นางเอ่ย พลางโค้งกายอย่างเคารพ แต่ในดวงตานั้นยังมีประกายเ้าเล่ห์แวบอยู่
“ข้าเอาแต่เดินเตร่ไปมา พูดกับชายแปลกหน้า แทนที่จะหาถังน้ำหรือไม้ถูพื้นเสียหน่อย ถ้ามีใครเห็นเข้า อาจคิดว่าข้าตั้งใจหลงทางเสียก็ได้”
เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “เ้าก็มีพร์ในการปรากฏตัวอย่างอลังการเสียจริง”
“ส่วนท่านเองก็เหมือนจะชอบปรากฏตัวทุกครั้งที่ข้าล้มลง” นางกล่าว ขณะเดินเฉียดผ่านเขาไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
เขาหันจะพูดบางอย่าง แต่่เวลานั้นกลับพ้นผ่านรวดเร็วเกินไป
โซรานเดินห่างออกไปแล้ว กระโปรงพลิ้วไหวตามจังหวะก้าว ร่างของนางเล็กลงในทุกย่างเท้าที่ลับตา
“อา...”
มือเขาค้างอยู่กลางอากาศ ราวกับพยายามจะหยุดเวลาไว้เพียงครู่หนึ่ง
คุณชายปริศนาถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบบางสิ่งออกมา
คือกำไลหยกเส้นนั้น
‘บอบบาง ยังไม่สมบูรณ์ สิ่งเดียวที่นำพาให้พวกเขาได้พบกัน’
เขาจ้องมองมันชั่วขณะ แล้วเก็บกลับคืนเข้าแขนเสื้ออีกครั้ง พร้อมเสียงพึมพำ
“ให้ตายเถอะ...ในหัวข้าคิดไว้งดงามกว่านี้ตั้งเยอะ”
ตึก ตึก ตึก
“ออกจากเรือนนั้น...แล้วเลี้ยวซ้าย…”
โซรานใ นางรีบลนลานวิ่งออกมาจากเรือนหลังเล็กปริศนา ด้านหลังของเรือนใหญ่ของใต้เท้าคิม พลางเอามือทาบอก ที่ได้ยินเสียงของหัวใจเต้นราวกับจะหลุดออกมาจากอก
โซรานถอนหายใจยาว สองครั้ง ไล่ลมแห่งความตื่นเต้นออก
‘เรือนหลังเล็กปริศนา ที่นึกว่านั่นคือห้องอะไรสักอย่าง?’
โซรานเร่งฝีเท้าไปตามทางที่เขาชี้ไว้ หัวใจยังเต้นแรงจากการพบกันโดยไม่คาดคิด
ข้อมือของนางยังรู้สึกอุ่นระเรื่อ ราวกับััจากมือของเขายังคงไม่เลือนหาย
ออกจากเรือนนั้น...แล้วเลี้ยวซ้าย...
คำแนะนำนั้นยังคงดังก้องในหัว ทั้งเหมือนคำสั่งและเหมือนบทกลอนในคราวเดียวกัน
ราวกับถูกผลักไส...และชี้ทางอย่างอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน นางถอนหายใจ แก้มยังคงแดงระเรื่อ
(ให้ตายเถอะ...เหตุใดบุรุษในที่นี้ถึงได้ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดกันหมดนะ)
นางส่ายหน้า ราวจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นให้หลุดไป
หลังจากเดินตามระเบียงแคบที่คดเคี้ยวดั่งทางในสวน นางก็พบในที่สุด…. ครัวจริงของคฤหาสน์ กลิ่นขิงต้มกับหัวไชเท้าอบอวลอยู่กลางอากาศ เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง และประตูไม้เปิดกว้าง เผยให้เห็นภาพความวุ่นวายดั่งสนามรบที่อาวุธคือทัพพี หม้อไฟ และเสียงะโ
โซรานยืนลังเลอยู่ที่หน้าประตู ไม่แน่ใจว่าจะก้าวเข้าไปดี หรือหันหลังกลับแล้วแสร้งทำเป็ว่าตนหลงทางมาตามหาห้องส้วม
หญิงร่างกลมในผ้ากันเปื้อนเก่า ๆ หันมาเห็นเข้า แล้วก็โบกทัพพีในมืออย่างรวดเร็ว
“นั่นแน่! เ้าสาวน้อยหน้าตาเหมือนลูกหมาหลงทางนั่นน่ะ ใช่ เ้านั่นแหละ! เป็คนใหม่หรือ?”
“เอ่อ...เ้าค่ะ” โซรันตอบเสียงเบา พลางก้าวเข้ามาอย่างลังเล ราวแมวเดินเข้าไปในบ้านสุนัข
“ถ้าเช่นนั้น ก็อย่ายืนแหงนมองอยู่เช่นนั้น! หันไปหยิบตะกร้าไชเท้านั่น แล้วเริ่มปอกเดี๋ยวนี้!”
ก่อนที่นางจะทันเอ่ยคัดค้าน ูเาเล็ก ๆของผักถูกยัดใส่อ้อมแขนของนาง พร้อมกับเก้าอี้ไม้โยกเยกที่ดูเหมือนเสียขาไปข้างหนึ่งจากศึกาใดสักแห่ง
“จ..เ้าค่ะ!...” โซรันพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่ง
นางเริ่มปอกผักอย่างเงียบ ๆ มือของนางเคลื่อนไหวช้า ๆ ใน่แรก ขณะที่รอบตัวเต็มไปด้วยความเร่งรีบวุ่นวายของครัว ซึ่งดำเนินไปดั่งโลกอีกใบที่หมุนรอบแกนของมันเอง
ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายนั้น
จิตใจของนางก็ล่องลอยออกไปไกลอีกครั้ง…
คุณชายผู้นั้น...
โซรานยังจำเสียงของเขาได้ ช่างสงบนิ่งราวกับลมฤดูใบไม้ร่วง สีหน้าเรียบเฉย ดวงตาที่ทอดมองนางราวกับนางเป็เพียงกลุ่มเมฆที่ลอยผ่านไป...แต่ภายใต้ท่าทีเยือกเย็นนั้น กลับมีบางสิ่งแฝงเร้นอยู่ แววเศร้าละมุนที่แวบผ่านวูบหนึ่ง...คล้ายเื่ราวปริศนาที่ค้างคาอยู่ตรงนั้น
ฉึก!
“โอ๊ย!”
จู่ ๆ ความเจ็บก็สะกิดให้นางหลุดจากห้วงคิด นิ้วของนางโดนบาดเข้าแล้ว เด็กชายที่นั่งปอกผักอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะเบา ๆ
“วันแรกหรือ? ถือเป็พิธีต้อนรับน่ะนะ ใครมาใหม่ก็ต้องเสียเืกับหัวไชเท้าเส้นแรกทุกคนแหละ”
โซรานฝืนยิ้ม “ดีเลย เช่นนั้นข้าก็เป็คนของครัวนี้โดยสมบูรณ์แล้วสินะ เลือกได้ข้าก็ไม่อยากจะโดนบาดหรอกนะ”
แม่ครัวใหญ่หน้ากลมได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาใกล้
“ถ้าเ้าคิดจะเป็ลมล้มพับล่ะก็ ข้าจะโยนเ้าลงหม้อซุปเสียเลย เสริมรสชาติ!”
โซรานกระพริบตาปริบ “ว่า...ว่าอย่างไรนะ?” นางรีบซ่อนนิ้วที่โดนบาดเข้าไปในชายเสื้อสั้นๆ ด้วยความหวาดกลัว
ครัวทั้งห้องะเิเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลงถนัดตา โซรานมองซ้าย และขวา และสับสนกับบรรยากาศที่เปลี่ยนขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
โซรานเองก็หลุดหัวเราะเบา ๆ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าพันนิ้วที่มีแผล
นางนั่งนิ่ง มองโลกหมุนวนรอบตัวด้วยจังหวะโกลาหลที่แปลกประหลาด แต่กลับอบอุ่นและจริงใจ
(ที่นี่ไม่ได้แย่ อย่างที่คิดเลย)
เสียงน้ำเดือด กลิ่นเครื่องเทศ เสียงคนะโบ่นข้ามกันไปมา เหล่านี้ช่างแตกต่างจากภาพที่นางเคยนึกไว้
แม้จะมีทั้งความอับอาย ความกลัว และคุณชายลึกลับผู้มีแววตาอันยากจะเข้าใจ...
แต่ในมุมอึกทึกและหอมกลิ่นขิงของคฤหาสน์หลังนี้ ก็ยังมีบางสิ่งที่ปลอบโยนนางได้อย่างประหลาด
(บางที...บางที ข้าอาจจะอยู่รอดในที่แห่งนี้ได้จริง ๆ ก็เป็ได้)
ตึก… ตึก… ตึก…
โซรานก้าวข้ามธรณีเรือนของคุณชายหนุ่มด้วยฝีเท้าที่เบากว่าเดิม แม้หัวใจของนางจะเต้นถี่ หนักแน่น ราวแบกสิ่งใดบางอย่างที่นางมิกล้าเอื้อนเอ่ยออกมา
นางยกมือแนบอก ตรงตำแหน่งที่หัวใจเต้นแรงจนไม่อาจปิดบังความสับสนในอกได้
พวงแก้มของนางร้อนผ่าว ลมหายใจก็ติดขัดอยู่ตรงลำคอ
“นี่ข้าเป็อะไรไป...” นางพึมพำเบา ๆ กับสายลม พลางเอามือทั้งสองข้างถูใบหน้าแรง ๆ ราวกับหวังให้สีแดงบนแก้มหายไปเสียที
แต่ใบหน้านั้น...ใบหน้าของเขา...กลับยังผุดขึ้นมาในห้วงคิดอยู่เรื่อยไป ดวงตาสงบนิ่งที่อ่านไม่ออก ผิวขาวราวหยก และลักษณะอันละมุนละไม ราวภาพวาดบนม้วนผ้า มิใช่สิ่งที่ควรปรากฏบนใบหน้าของมนุษย์จริง ๆ
“ช่างงามเหลือเกิน…” นางเผลอพึมพำอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดหน้าไล่ความคิด
(พอได้แล้ว! ข้ามาที่นี่เพื่อทำงาน ไม่ใช่มาเป็นางเอกโศกนาฏกรรมรักเสียหน่อย)
เมื่อรวบรวมสติได้อีกครั้ง โซรานก็จัดแจงเสื้อชอกอรีสีหม่นของตนให้เรียบร้อย ปัดฝุ่นจากแขนเสื้อด้วยท่วงท่าภูมิฐานเพียงพอ แล้วจึงย่ำเท้าออกไปข้างหน้า ด้วยความแน่วแน่ประหนึ่งเสียงหัวใจจะเงียบลงได้ด้วยฝีเท้าอันมั่นคง
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
กลิ่นไอจากครัวก็พุ่งเข้าจู่โจมประสาทััทันที
เสียงหม้อกระทะกระทบกันดังระงม เสียงไม้ฟืนแตกเปรี๊ยะจากเตาไฟ เสียงมีดสับผักอย่างขะมักเขม้น
กลิ่นกระเทียม น้ำมันงา และน้ำซุปเดือดปุดผสมผสานกันเป็ความโกลาหลที่หอมฟุ้ง
โซรานยืนลังเลอยู่ตรงประตูอีกครั้ง นี่มิใช่เพียงห้องครัวธรรมดา แต่มันคือสนามรบ..ที่ทุกคนสวมผ้ากันเปื้อน
นางยืนเขย่งเท้า สอดส่ายสายตามองหาผู้ใดสักคนที่ดูไม่น่าจะขว้างทัพพีใส่หัวนางได้
ในที่สุด สายตาก็หยุดอยู่ที่สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง หญิงผู้นั้นกำลังนวดแป้งด้วยสมาธิอันแน่วแน่ ราวกับว่าแม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ไม่อาจทำให้สติของนางสั่นไหว
โซรานกระแอมเบา ๆ พลางยืนตัวตรง แล้วพยายามแสดงท่าทีให้เหมือนสาวใช้มืออาชีพที่สุดเท่าที่นางจะเลียนแบบได้ (ซึ่ง...ก็ห่างไกลนัก)
“ขออภัยเ้าค่ะ…ไม่ทราบว่าข้าช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่?”
สตรีผู้นวดแป้งเงยหน้าขึ้น มองนางอย่างใเล็กน้อย จากนั้นจึงเอียงคอประเมินด้วยสายตารวดเร็ว
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“อ้อ...เ้าคงเป็เด็กใหม่สินะ” นางว่า พลางยิ้มกว้าง “ช่างมีใบหน้างดงามอะไรเช่นนี้”
โซรานหน้าแดงเถือกแทบในทันที มือทั้งสองยกขึ้นเกาเส้นผมอย่างประหม่า
“ฮะ...ฮะ...ก็...ข้าเป็แค่สาวใช้น่ะเ้าค่ะ” นางตอบเสียงเบา พลางก้มมองรองเท้าตัวเองอย่างกระดาก
หญิงคนนั้นหัวเราะเบา ๆ “สาวใช้อะไรกัน มีหน้าแบบเ้าน่ะหรือ? ดูสิ! งามราวกับลูกคุณหนูที่ไหน แค่สวมชุดเก่าๆเท่านั้นเอง น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ”
รอยยิ้มของโซรานค่อย ๆ เลือนหาย นางรู้สึกสะอึกกับคำพูดนั้นอีกแล้ว...อีกครั้งที่ถูกมองแบบนั้น นางลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบา ซื่อตรงจนแม้แต่ตนเองยังใ
“ท่านเ้าคะ บอกว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าเป็นางบำเรอเ้าค่ะ... ขอท่านอย่ามองข้าเช่นนั้นเลย”
แต่แทนที่หญิงตรงหน้าจะตัดสินหรือตำหนิ กลับเพียงแค่ยิ้ม และวางมือลงบนไหล่นางเบา ๆ ด้วยท่าทีอ่อนโยน
“ข้าไม่ห่วง…เ้าหรอก” นางพูดอย่างเรียบง่าย “แต่เ้าจะเข้าใจในไม่ช้านี้ อย่าเรียกว่าท่านเลย ข้าเองก็เป็แม่ครัวที่นี่”
โซรานกะพริบตาถี่ มึนงงกับคำพูดนั้น
“ข้าเองยังไม่แน่ใจว่าเป็พรหรือคำสาปกันแน่...” หญิงคนนั้นพูดต่อ ดวงตาอ่อนลงด้วยแววคล้ายสงสาร
“หญิงสาวที่งามเกินไป มักจะดึงดูดพายุเข้าหาตัวเอง และเ้าหนู...เ้ากำลังเดินเข้าไปกลางพายุลูกโตเลยล่ะ”
โซรานเอียงคอ “พายุ?”
“คุณชายน้อย...ของข้าต้องเ็าใส่เ้าอีกแน่เลย” หญิงคนนั้นลดเสียงลง พลางทำท่าลึกลับประหนึ่งเล่าคำทำนายจากตำราลี้ลับ
“คุณชาย..คนสุดท้องของตระกูลนี้นั่นแหละ”
ในน้ำเสียงนั้นมีความเ้าเล่ห์แฝงอยู่ชัดเจน
“ใช่ เขาเป็คนดี” นางกล่าวต่อ “แต่หลายปีแล้วที่เขาไม่เคยเหลียวมองหญิงใด ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นพนัน ไม่เกี้ยวสาว อยู่แต่ในห้องเงียบ ๆ ของเขานั่นแหละ อ่านตำราจนข้าคิดว่าอักษรคงไหลออกมาจากหูเขาแล้วกระมัง”
โซรานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ฟังดูราวกับพระนักบวชเลยนะเ้าคะ”
หญิงคนนั้นหัวเราะเสียงใส
“แย่ยิ่งกว่าพระอีก… เป็พระหนุ่มรูปงามที่ยังมีปมในใจไม่รู้จักคลายต่างหาก”
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะแ่เบาจากโซรานเช่นกัน แม้มันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเงียบที่ตามมา หัวใจของนางแม้จะสงบลงแล้ว แต่ยังคงมีแรงะเืเบา ๆ แฝงอยู่…คล้ายเสียงฟ้าร้องห่างไกล ที่แม้มิได้ดังสนั่น แต่ยังคงก้องอยู่ในอก
นางโค้งตัวให้หญิงแม่ครัวอย่างสุภาพ ก่อนขอตัวออกจากครัวไปอย่างช้า ๆ ก่อนถือถังตักน้ำ เพื่อจะออกไปตักน้ำจากบ่อน้ำหลังเรือนครัว ใกล้ๆสวนดอกไม้เล็กๆ
ขณะที่ก้าวเท้าผ่านประตูไม้เตี้ยตรงนั้น กลิ่นแป้งขาวและควันฟืนยังคงเกาะติดชายแขนเสื้อของนางไม่จาง
เรือนครัวตั้งอยู่ติดสวนสมุนไพรหลังคฤหาสน์ใหญ่ รอบข้างมีต้นโสมอ่อน กุหลาบป่า และตะไคร้เขียวสด เรียงเป็แนวเล็ก ๆ ใต้ชายคา พื้นทางเดินเป็หินเรียบลื่นที่ดูเหมือนจะถูกลมฝนขัดจนขึ้นเงา มีเศษใบไม้ปลิวเกลื่อนอยู่ใต้แสงแดดยามบ่ายที่ส่องลอดหลังคาไม้ไผ่
เสียงกระดิ่งลมที่แขวนไว้ตามชายเรือนดังกริ่งเบา ๆ ตามแรงลมพัด เสียงนั้นปะปนกับเสียงขลุกขลักของคนงานที่กำลังขนฟืนเข้าเรือนใหญ่ และเสียงผ้าผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่บนราวตากเสื้อผ้าข้างรั้วไม้เตี้ย
โซรานเดินทอดน่องอย่างเงียบ ๆ ไปตามทางเดินที่ทอดผ่านลานหิน
นางไม่แน่ใจว่าตนกำลังหนีจากบทสนทนา หรือกำลังเก็บถ้อยคำเ่าั้ไปคิดให้ลึกขึ้น
นางพึมพำเบา ๆ ขณะก้าวพ้นร่มเงาเรือนเข้าสู่แสงแดดอีกครั้ง
“พายุอย่างนั้นหรือ...? ก็ได้… ข้าเคยผ่านเื่แย่กว่านี้มาแล้วนี่นา”
กระนั้น...ในใจนางก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ ว่าสิ่งที่รออยู่นั้นน่ากลัว...หรือว่าน่าค้นหากันแน่
โซรานนั่งอยู่ใต้ร่มเงากว้างของต้นไม้ใหญ่ แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านใบไม้เขียวมรกตลงมาแต่งแต้มชุดชอกอรีสีสดของนางด้วยแสงและเงา เสมือนลวดลายที่ธรรมชาติวาดเล่นอย่างละมุน
ในใจของนางนั้น กลับเต็มไปด้วยความสับสน ไม่ต่างจากปมด้ายพันกันยุ่งเหยิง
เสียงเล่าลือซุบซิบนับไม่ถ้วน เื่ราวที่ไม่มีคำตอบ และ...คำหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ
“คุณชาย..คนสุดท้องแห่งตระกูลคิม…?”
นางพึมพำเบา ๆ พลางใช้นิ้วลูบผ่านข้อมือใต้แขนเสื้อ ที่ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากผิวเปลือยเปล่า
ใต้นิ้วนั้น ชีพจรยังเต้นเป็จังหวะ มั่นคง ทว่าแสนห่างไกล
ราวกับเตือนนางว่า ชะตาชีวิตของตน บัดนี้ไม่ได้อยู่ในมือของตนโดยลำพังอีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้น สายลมยามบ่ายก็พลิ้วพัดผ่าน หอบกลิ่นดอกมะลิอ่อน ๆ มาด้วย พร้อมกับกลิ่นบางอย่าง…เย้ายวนใจ
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมดังขึ้นฉับพลัน ทำให้นางสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นวูบ ราวนกน้อยใ
นางเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มือไม้อันวุ่นวายแตะที่พวงแก้มร้อนผ่าว
และเมื่อเงยหน้าขึ้น…ดวงตาก็สบเข้ากับบุรุษคนหนึ่ง ผู้มีแววตาสงบนิ่ง เจือรอยซุกซนในแววตานั้นจนแยกไม่ออกว่าเอ่ยเล่นหรือจริงจัง
“คะ-คุณชาย...!” นางอุทานด้วยความใ มือยกขึ้นปิดริมฝีปากราวจะกลั้นเสียงตนเอง
เขายิ้มออกมา รอยยิ้มที่คล้ายจะเย้าหยอก คล้ายจะกรุ้มกริ่ม
“ใช่ ข้านี่แหละ ไม่ต้องทำหน้าราวกับเห็นิญญาเลย ด้วยใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้ เ้านั่นแหละ ควรจะเป็ฝ่ายหลบตาข้าเสียมากกว่า”
โซรานกะพริบตาถี่ ระหว่างความโมโหกับขำขันที่กำลังไล่บี้กันในอก
“แน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ” นางประชดกลับ “ข้าไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็หญิงที่เป็ลมเพียงแค่เห็นหน้าเ้านาย…โดยเฉพาะผู้ที่ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณเช่นนี้”
เขาหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นอบอุ่นนุ่มลึก ราวกับฟ้าร้องไกล ๆ ที่ถูกกลบด้วยสายฝนฤดูร้อน
“ระวังถ้อยคำนะ” เขาเอ่ยหยอก “ไม่อย่างนั้น ข้าอาจจะเผลอคิดว่าเ้าชอบอยู่ใกล้ข้าเสียแล้ว”
ดวงตาของโซรานเปล่งประกายด้วยความกล้าซน
“ถ้าเป็เช่นนั้นจริง…ท่านก็ควรประพฤติตัวให้น่าเคารพกว่านี้หน่อยแล้วกระมัง? เ้าคะ?”
คุณชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว มือทั้งสองประสานอยู่ด้านหลัง ใบหน้าแดงเรื่ออย่างยากจะปิดบัง
“เ้าคงไม่รู้… ข้ามิใช่ผู้ชินชากับคำกล่าวอันกล้าเช่นนี้”
โซรานยิ้มตอบ รอยยิ้มเจือกลิ่นท้าทายอย่างนุ่มนวล
“ส่วนข้า…ก็ไม่ชินกับสายตาของคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เพียงแค่ปรายตามอง ก็ทำให้หญิงสาวต้องหายใจติดขัดได้เช่นนี้”
ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่แห่งนั้น เงาไม้ทอดยาวไปบนพื้นดินเบื้องล่าง ถ้อยคำที่ไม่ได้เอ่ย อัดแน่นอยู่ในอากาศระหว่างกัน เบาหวิวแต่เต็มไปด้วยความหมาย
จนกระทั่ง…คุณชายโน้มกายลงเล็กน้อย ก่อนโค้งศีรษะด้วยท่วงท่าราวกำลังเปิดม่านบทละคร
“เราจะถือว่านี่เป็การพบกันครั้งแรกก็แล้วกัน…แม้ข้าจะเกรงว่า….มันคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย”
โซรานโน้มกายโค้งตอบกลับ รอยยิ้มมุมปากเผยอย่างแ่เบา
“ข้าก็หวังเช่นนั้นเช่นกัน…”
สายลมยามบ่ายพัดผ่านมาอีกครา พัดพาเอากลิ่นดอกไม้หลังเรือน และกลิ่นของความเป็ไปได้ลอยวนในอากาศ ลานเรือนที่เคยดูเ็าห่างเหิน…พลันกลับดูอ่อนโยนขึ้นในชั่วพริบตา และแม้ชะตากรรมข้างหน้ายังพร่ามัว แต่นางก็รู้สึกว่า อย่างน้อย…มันช่างมีแสงอยู่ในนั้นมากกว่าที่เคย
โซรานเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความกระดากใจ คิดว่าคำพูดของเขานั้นเอ่ยถึงความไร้เดียงสาของนางจริงจัง
คุณชายกลับยิ้มกว้างขึ้น เมื่อเห็นแววตาสับสนที่ปิดบังความเขินอายไว้ไม่มิด
"อา..."
ในทันใดนั้น เขาก็ล้วงบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อของนางอย่างแ่เบา กำไลหยกสีเขียวมรกตที่ส่องแสงแ่ในยามบ่าย พลางยื่นให้ด้วยท่าทางดื้อรั้นแต่แฝงความอ่อนโยน
“เอาไปเถิด ถือเสียว่าเป็ของฝาก”
เขากล่าว พลางวางกำไลลงบนฝ่ามือของนางที่ยังคงสั่นเล็กน้อย เรียกได้ว่ายัดเยียดก็ว่าได้
“ข้า...รับไว้ไม่ได้เ้าค่ะ ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือ”
โซรานรีบยื่นมันคืน มือประคองสิ่งล้ำค่านั้นด้วยความระวัง
คุณชายก้มลงเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายอย่างขี้เล่น
“แล้วเ้ารู้จักนามของข้าหรือไม่?”
“เอ๋?”
นางกระพริบตาปริบด้วยความมึนงง จนเขาทวนคำถามเดิมอีกครั้ง
“นามของข้า เ้ารู้หรือไม่?”
ใบหน้าของโซรานแดงจัด นางกระซิบตอบด้วยเสียงแ่เบา
“ข้า...ข้าเป็เพียงคนรับใช้เพิ่งเข้าบ้าน ท่านจะให้ข้ารู้ได้อย่างไรเล่า...”
เขายื่นหน้าเข้าใกล้จนปลายเสียงแทบกระซิบข้างหู
น้ำเสียงต่ำลึก แ่เบาเสียจนลมเย็นแห่งบ่ายยังต้องหยุดฟัง
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะให้คนโบยเ้าเสียที จะได้จดจำข้าไปชั่วชีวิต!”
“ท่านอย่า...!”
โซรานเบิกตากว้างด้วยความตระหนก เอามือทาบอกด้วย ก่อนจะมองคุณชายเบื้องหน้าั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเขาเอ่ยเรียกเหล่าคนรับใช้เสียงดัง
“เฮ้ย! พวกเ้าทั้งหลาย มานี่เดี๋ยวนี้!”
นางไม่ฟังคำใดแล้ว สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทำงานทันที โซรานพุ่งเข้ามาข้างหน้า ยกมือปิดปากเขาอย่างแ่า
“ชู่! ข้า...ข้าไม่อยากโดนโบยเ้าค่ะ ท่านอย่าให้เขามา!”
นางพูดพลางสั่น มือยังคงกดแนบกับริมฝีปากของเขาแ่า ราวกับนั่นคือหนทางเดียวที่จะรอดพ้นโทษ คุณชายพยายามอธิบายแต่เสียงถูกกลืนอยู่หลังฝ่ามือนุ่มนิ่ม
“อื้มมมม!” อึก อัก พยายามที่จะพูดคุย
เมื่อสติกลับมา นางรีบถอยออกทันที โค้งตัวลงจนแทบจะซบกับพื้น
“โปรดอภัยเ้าค่ะ! ข้าล่วงเกิน! ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ!”
เสียงของนางสั่นจนแทบไม่ได้ศัพท์
เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนุ่มดุจเสียงระฆังยามเย็น แฝงความเอ็นดูไว้อย่างปิดไม่มิด
“เ้านี่ช่างคิดเกินจริงยิ่งนัก โซรานเอ๋ย...”
เขากล่าวอย่างแ่เบา
“ข้าไม่มีวันโบยหญิงสาวผู้เปี่ยมชีวิตชีวาเช่นเ้าเป็แน่ หากจะให้เลือก ข้ายินดีให้น้ำเสียงของเ้าก้องอยู่บนผนังเรือนนี้ดีกว่าเสียงหวีดร้องจากการลงโทษเสียอีก”
โซรานแอบยิ้มบาง ๆ อย่างโล่งใจ ปนความขวยเขิน
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องหาวิธีอื่นชดใช้หนี้เสียแล้วกระมัง” นางแอบใเล็กน้อย ที่เขารู้จักชื่อของนาง
คุณชายพยักหน้าช้า ๆ ราวกับนักปราชญ์พิจารณาบทเรียน
“ตัดสินใจได้ดีนัก และเ้าควรระวังมือของเ้าไว้ให้ดี... มิฉะนั้น ข้าอาจต้องใช้วิธี...ที่แปลกใหม่กว่าเดิม” คุณชายว่า พลางเลียริมฝีปากชมพูระเรื่อของตน
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ก้องอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ ราวเสียงระฆังไม้เคาะเบา ๆ ในอารามยามสาย บรรเทาความหนักอึ้งในอก
ใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งเรือนหลังในนั้น พื้นดินโรยกรวดสะอาดสะอ้าน กระเบื้องดินเผาแดงเข้มทอดยาวเป็ทางเดินเรียบเงียบ เรือนรอบด้านเรียงตัวกันงามสงบ เสียงนกกาน้ำร้องแว่วเบาจากสระบัวกลางลาน มวลดอกพุดที่ปลูกเรียงขอบทางส่งกลิ่นหอมอบอวล จับคู่กับดอกบ๊วยปลายฤดูที่โปรยลงมาทีละกลีบ ราวกับธรรมชาติเอ่ยคำพรเบา ๆ แก่พวกเขา
ทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวลงอย่างช้า ๆปลายนิ้วเรียวยาวจับมือนางเบา ราวกับกลัวว่านางจะหลุดหายไปจากโลก ริมฝีปากของเขาแตะลงบนฝ่ามือนางอย่างแ่เบา... อ่อนโยนราวกับจุมพิตแห่งลมหายใจ
แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยมือนั้นอย่างนุ่มนวล เสมือนยอมปล่อยวัตถุอันเปราะบางที่สุดในโลกให้ลอยอยู่ในสายลม
โซรานยังคงยืนตะลึงอยู่กับที่ ใจเต้นแรงจนแทบสะดุดลมหายใจ คำพูดติดคอไปหมด ความคิดวุ่นวายพยายามประมวลผลเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
นางได้แต่กระซิบเสียงสั่น ๆ เบา ๆ ว่า
“คุณชาย..?.”
ริมฝีปากของเขายกยิ้มเ้าเล่ห์
“มือของเ้านุ่มเหลือเกิน... นั่นเองจึงทำให้ข้าไม่ถือโทษโกรธเ้า ไว้ข้าจะมาหาใหม่นะ”
ก่อนที่โซรานจะได้เอ่ยตอบอะไร ท่านชายก็หมุนตัวเดินจากไปด้วยท่วงท่าที่สง่างามราวกับลมพัดผ่าน เพียงในขณะนั้นเอง นางจึงรู้สึกถึงน้ำหนักบางอย่างที่พันรอบข้อมือ เหลือบตามองลงไปก็พบว่ากำไลหยกชิ้นบางนั้นได้ถูกคล้องไว้แน่นสนิท
มือเรียวของนางลูบััหยกเย็นเฉียบอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน รีบมองหาเงาร่างของท่านชายในมุมมืดของเรือน แต่เขาได้ลับตาไปแล้วกับทางเดินที่คดเคี้ยวของเรือนหลังใหญ่
เสียงหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่อยากเชื่อแต่ก็ชื่นชมลอยออกจากริมฝีปากนาง
“แท้จริง... ความประหลาดของชนชั้นสูงนั้นช่างเหมือนกับลีลาของจันทร์บนผืนน้ำ”
โซรานกล่าวอย่างอ่อนโยน พลางใช้ปลายนิ้วลูบััหยกนั้นอย่างแ่เบา
แสงแดดยามบ่ายอาบไล้ลานบ้านด้วยสีทองอ่อน ๆ เสียงใบไม้ไหวเบา ๆ คล้ายกระซิบความลับที่ใจเท่านั้นจะเข้าใจ และในชั่วขณะเงียบสงบนี้ โซรานรู้สึกได้ถึงการเริ่มต้นบทใหม่ บทที่ถูกถักทอด้วยความลึกลับ ความหวัง และคำสัญญาที่นุ่มนวลของความกรุณาที่ไม่คาดฝัน
ด้านในห้องสมุดส่วนตัวของคุณชายยองวอน แท้จริงเป็เพียงห้องว่างเล็กๆเท่านั้น ยองวอนชื่นชอบการอ่านมากๆ ดังนั้นเขาจึงมีห้องสมุดของตนเองไม่ต่างไปจากเหล่าๆเ้าชายผู้รักการอ่าน
บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษและสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางโปร่ง
แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างไม้บานเก่า เป็ริ้วสว่างบนโต๊ะไม้เก่าที่เต็มไปด้วยตำราโบราณ
คุณชายยองวอนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ มือเรียวขยับเปิดตำราลัทธิขงจื้ออย่างตั้งใจ
ใบหน้าเรียบเฉยปกปิดความคิดลึกซึ้ง แต่สายตากลับฉายแววว้าวุ่น พยายามเข้าใจปรัชญาแห่งความดีงามและหน้าที่ในตำราหนานั้น
“ถ่อมตน... ความซื่อสัตย์... การเคารพผู้ใหญ่...”
เขากระซิบเบา ๆ ราวกับท่องมนต์ ริมฝีปากขยับเปล่งเสียงเรียบๆ อย่างช้าๆ
“ธรรมะเหล่านี้จะนำทางให้ข้าผ่านพ้นภาระหนัก... และ...รักษาเกียรติแห่งตระกูล...”
แม้หนังสือจะหนักหน่วงด้วยปรัชญา แต่ในแววตาของเขามีประกายแห่งความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะแกะรอยคำสอนโบราณนั้นจนกระทั่งรู้แจ้ง เพื่อก้าวผ่านเงามืดแห่งความขัดแย้ง และสานสัมพันธ์ที่ถูกขึงเครียดด้วยหน้าที่และชะตากรรม
ลมหายใจลึก ๆ ที่ปลดปล่อยออกมา เปรียบเสมือนเสียงของใจที่ค่อยๆหวัง และเปิดรับความเปลี่ยนแปลง
ฤดูใบไม้ร่วง (가을, Ga-eul)
ยองวอนกวาดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานเก่า ท่ามกลางลมหนาวอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเป็แดงและเหลืองทองร่วงโรยตามทางเดินหิน ใจเขาปวดร้าวยามคิดถึงอินฮยองหญิงสาวคนรักเก่าที่เคยอยู่เคียงข้าง
ำเขาเปิดกระดาษขาวสะอาดหน้าเก่า หยิบขนนกจรดปลายหมึกเขียนกลอนออกมาอย่างช้า ๆ เหมือนพยายามร้อยเรียงคำพูดแทนความรู้สึกที่พร่ามัวในใจ
บทกลอนของยองวอน
ใบไม้ร่วงหล่นล่อง ไกลลับตามลมหนาว
เดือนเพ็ญหายลับราว เงาใจพลัดพรากคว้าง
โอ้…ห้วงคิดถึงนั้น ยิ่งยืดยาวดั่งปลายฟ้า
แม้เพียงลมต้องกิ่ง ใจยังสั่นไหวตาม
ยองวอนหยุดพักเล็กน้อย มือเขาสั่นเล็กน้อยกับความทรงจำเก่า ๆ ความเ็ปเปรียบเสมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นจากกิ่งไม้ช้า ๆ แต่ในความเศร้านั้นก็ยังคงมีความหวังบางอย่างที่ยังไม่สูญสิ้น
เขาจดจ่อกับการเขียนกลอนต่อไป อยากสื่อความรักที่ไม่ลืมเลือน ถึงแม้เวลาจะพรากพรากจากไป……
ข้างๆกระดาษบทกลอนของเขา ยังมีหนังสือนิยายรักเล่มหนึ่ง นั่นก็คือ..
‘ห้วงของปุถุชนในวังวนของการจากลา’ เป็นิยายของยองวอน ที่เขาแอบส่งขายลับๆให้กับร้านหนังสือนอกเมืองแห่งหนึ่ง และกำลังเป็ที่นิยายในตอนนี้ แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ตัวจริงของนักเขียน ในนามปากกาของ ‘คุณชายตาบอดผู้หลงทาง’
