เมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร หลี่ลั่วก็หยิบตะกร้าเล็กๆ ใบหนึ่งที่วางอยู่หน้าประตูยื่นให้กับไห่กงกง “ไห่เหฺยเหฺย เหล้าสองขวดนี้มอบให้ท่านขอรับ”
“เสี่ยวโหวเหฺยนึกถึงข้าเสมอเลยนะขอรับ” เมื่อสักครู่แค่ไห่กงกงได้กลิ่นหอมของเหล้าก็รู้สึกเปรี้ยวปากแล้ว ยังคิดว่าจะขอฝ่าาลองดื่มดูสักอึก คิดไม่ถึงว่าหลี่ลั่วช่างละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ยังได้เตรียมส่วนของตนมาด้วย
“ท่านอาหลี่บอกกับข้าว่า เมื่อครั้งท่านพ่อเข้าร่วมกองทัพที่ซีเป่ยนั้นมักจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากฝ่าาและไห่เหฺยเหฺยอยู่เสมอ หลี่ลั่วซาบซึ้งใจยิ่งนัก” หลี่ลั่วกล่าว
เื่นี้เป็ความจริง ในเวลานั้นหลี่ซวี่มีสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ไห่กงกงตอบด้วยเสียงหัวเราะในคอว่า “เช่นนั้นข้ารับคำขอบคุณของเสี่ยวโหวเหฺยแล้ว”
“ไห่เหฺยเหฺย ข้ายังมีอีกเื่หนึ่งอยากขอคำชี้แนะจากท่านขอรับ” หลี่ลั่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไม่กล้าชี้แนะ เสี่ยวโหวเหฺยมีเื่ใดให้ถามมาได้เลย”
“ข้าอยากถามเกี่ยวกับเื่ที่นาพระราชทาน ครอบครัวของพวกเรามีที่นาพระราชทานอยู่หนึ่งพันหมู่ ยามนี้ดูแลรับผิดชอบโดยคนของกรมวัง แต่ว่ารายได้ของทุกปีมีเพียงเสมอตัว ข้าอยากจะรับมาดูแลด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าคนของกรมวังเหล่านี้จะจัดการอย่างไรดีหรือขอรับ” หลี่ลั่วถาม
เมื่อได้ยินหลี่ลั่วพูดเช่นนี้ไห่กงกงก็รู้ความหมายของหลี่ลั่วทันที “พวกเขาได้รับเงินเดือนจากกรมวังอยู่แล้ว หากเสี่ยวโหวเหฺยไม่อยากให้พวกเขาดูแลเพียงถอดถอนพวกเขาก็พอ”
“ไห่เหฺยเหฺยพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจลงได้แล้วขอรับ พรุ่งนี้ข้าจะไปดูๆ ที่นาพระราชทาน ข้ามีแผนการจะทำเื่ใหญ่” หลี่ลั่วกล่าวอย่างสุขใจ
หัวข้อสนทนานี้นั้นเพื่อเป็การดึงความสนใจของไห่กงกง ไห่กงกงได้ยินแล้วจึงถามขึ้นด้วยความสนใจจริงๆ ว่า “เสี่ยวโหวเหฺยอยากจะทำเื่ใหญ่โตอันใดรึ?”
“ยังบอกไห่เหฺยเหฺยไม่ได้ขอรับ ต้องมีความรู้สึกแปลกใหม่บ้างสิขอรับ” หลี่ลั่วพูดอยากมีลับลมคมใน
ไห่กงกงหัวเราะ อายุมากแล้วย่อมชมชอบคนเอาแต่ใจเล็กน้อยและออดอ้อนฉอเลาะเช่นนี้ “เช่นนั้นเสี่ยวโหวเหฺยรีบไปจัดการเถิด หากกรมวังขัดขวางท่าน ให้ส่งคนมาบอกข้าก็พอ”
“ขอบคุณไห่เหฺยเหฺย ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ข้าจะไปส่งเสี่ยวโหวเหฺยเอง”
วันถัดมา หลี่ลั่วไปยังที่นาพระราชทาน แต่ในขณะเดียวกันเขาได้ให้ซินเป่าไปส่งถุงเท้าทั้งสี่คู่ของกู้จวิ้นเฉินที่จวนฉีอ๋อง และยังถือจดหมายไปฉบับหนึ่งด้วย
กู้จวิ้นเฉินนั้นเป็คนตื่นเช้ามาตลอด ฝึกซ้อมหมัดมวยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดื่มเืปลาปักเป้าสลายพิษในร่างกายของตน อาหารเช้านั้นจัดการตามรายการอาหารที่หลี่ลั่วกำหนดไว้ นมวัว และอาหารอื่นๆ ที่ช่วยเื่การขับพิษออกจากร่างกาย
ยามเมื่อซินเป่ามาถึง เขาก็ได้กินอาหารเสร็จแล้ว กำลังอ่านหนังสือ
“นี่คือของขวัญที่โหวเหฺยของข้ามอบให้กับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ และยังมีจดหมายของเขามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซินเป่าโน้มกายลงต่ำรายงานอย่างรู้ฐานะต่ำต้อยของตน เมื่ออยู่ต่อหน้าฉีอ๋อง หน้าอกผึ่งผายของเขาต้องเก็บไว้ก่อนแล้ว
ของขวัญ? จดหมาย? ดวงตาของกู้จวิ้นเฉินมีความประหลาดใจพาดผ่าน เขารับถุงผ้ามาจากซินเป่า เมื่อเปิดออกดูพลันรู้สึกถึงความอบอุ่นชนิดหนึ่งที่ไหลบ่าเข้ามาในใจ มือของเขาค่อยๆ หยิบถุงเท้าสีขาวขึ้นมา ด้วยกริยาท่าทางทะนุถนอมต่างจากในยามปกติ เนื้อผ้าแตกต่างจากเมื่อก่อน นุ่มนิ่มและอุ่นสบายยิ่ง ยังไม่ทันได้มีเวลาคิดว่านี่เป็เนื้อผ้าชนิดใด พื้นที่ในหัวใจทั้งหมดในยามนี้พลันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
กู้จวิ้นเฉินพบว่า เ้าสารเลวตัวน้อยก่อนหมั้นหมายกับหลังหมั้นหมายนั้นแทบจะกลายเป็คนสองคนเลยทีเดียว ก่อนหมั้นหมายถอนพิษต้องคิดเงิน ทั้งยังมาจวนอ๋องกินฟรี ดื่มฟรี แล้วนำกลับบ้านอีก มักจะเอาเปรียบอย่างถึงที่สุด หลังหมั้นหมายกลับมอบเหล้าดีๆ ให้กับเขา มอบถุงเท้าเนื้อผ้านิ่มสบายให้กับเขา เต็มไปด้วยความเอาใจใส่เสมอ
หากหลังการหมั้นหมายเป็ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจนั้นสุขสบายเช่นนี้ เช่นนั้นกู้จวิ้นเฉินก็รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้คุ้มค่าแล้วจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือ ความประพฤติของเ้าสารเลวตัวน้อย ช่าง...ช่างชมชอบตนเองเสียจริงๆ
ว่าที่ภรรยาทำถุงเท้าให้ว่าที่สามี ดีงามยิ่งนัก กู้จวิ้นเฉินคิด
ฉีอ๋องคิดมากไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าถุงเท้านี้ไม่ใช่เสี่ยวโหวเหฺยทำ แต่เสี่ยวโหวเหฺยเป็ผู้มอบให้ก็เท่ากับว่าเป็เสี่ยวโหวเหฺยทำ ความคิดของฉีอ๋องคิดเช่นนี้
ต่อมากู้จวิ้นเฉินหยิบจดหมายขึ้นมา
ถึงว่าที่สามีที่รัก เห็นจดหมายก็เหมือนเห็นข้า ข้าคิดถึงท่าน ถุงเท้าชนิดนี้ใช้เนื้อผ้าที่ข้าทำการค้นคว้าออกมาเป็พิเศษ สวมแล้วเท้าไม่ลื่น ทั้งยังช่วยซับเหงื่อ เนื้อผ้าแพงยิ่งนัก คนงานทอผ้าใช้เวลาเกือบสามเดือนจึงทอผ้าออกมาได้ผืนหนึ่ง กว้างราวสองเมตร วัสดุที่นำมาทำเนื้อผ้านั้นหายากยิ่งกว่า หวังว่าท่านจะชมชอบ ขอมอบสิ่งของที่มีค่ามากที่สุดให้แก่คนที่ข้ารักที่สุดเช่นท่าน ม๊วบบบบ
จดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่ง ตัวอักษรทุกตัวเต็มไปด้วยความอบอุ่น คิดถึงท่านอันใดกัน เป็ที่รักอันใดกัน คำพวกนี้ทำให้ติ่งหูของกู้จวิ้นเฉินแดงก่ำ ผู้ชายนั้นมีเพียงการหมั้นหมาย มีครอบครัว จึงจะรู้จักเรียนรู้ที่จะเอาใจใส่ต่อผู้อื่น เ้าสารเลวตัวน้อยนั่นก็ด้วย
ว่าแต่ ม๊วบบบ นี่ หมายความว่าอย่างไร?
กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดังนั้นจึงตอบจดหมาย
เขียนจดหมายเสร็จ พับให้เรียบร้อย ใส่เข้าไปในซองจดหมาย ฉีอ๋องทำทุกอย่างด้วยความว่องไวอย่างที่สุด ราวกับกำลังทำเื่น่าละอายอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเขาก็ลองสวมถุงเท้า ถุงเท้ามีพื้นที่เหลืออยู่ แต่ทุกคนต่างชอบสวมถุงเท้าที่มีพื้นที่เหลืออยู่บ้าง หากไม่เคยสวมถุงเท้าที่ทำด้วยเนื้อผ้าชนิดนี้ ย่อมไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของเนื้อผ้าชนิดนี้ หลังจากสวมแล้วกู้จวิ้นเฉินจึงััได้ถึงความหมายของคำว่ามีค่าของหลี่ลั่วได้อย่างแท้จริง ความรู้สึกที่เท้านั้นดีเยี่ยม
หลังจากสวมแล้วฉีอ๋องก็แกล้งทำเป็ลืมถอดถุงเท้า จากนั้นจึงสวมรองเท้าทับ “นำไปเก็บไว้ให้ดี” เขานำถุงเท้าที่เหลืออีกสามคู่และคู่ที่ตนเองเปลี่ยนออกมาส่งให้เยียนเซ่อ
“เพคะ”
จากนั้นกู้จวิ้นเฉินจึงเอ่ยขึ้นกับซินเป่าว่า “เ้านำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้กับโหวเหฺยของพวกเ้าเสีย จากนั้นให้นำของว่างที่เขาชอบกินกลับไปด้วย”
ซินเป่ารับจดหมายมาซ่อนไว้อย่างดีแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านอ๋อง เสี่ยวโหวเหฺยของพวกเราวันนี้ไม่ได้กินของว่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?”
“วันนี้เขาและองครักษ์หลี่ไปที่นาพระราชทานด้วยกัน ยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว “แค่พวกเขาสองคนหรือ?” แม้จะมีอั้นมู่และอั้นจินสะกดรอยตามอยู่แล้วก็ตาม แต่กู้จวิ้นเฉินมั่นใจในความสามารถด้านการก่อเื่ก่อราวของภรรยาตนเองดียิ่งนัก ดังนั้นไม่ว่าจะทำเื่ใดเขาล้วนไม่วางใจ
จากน้องชายตัวน้อยมาถึงเ้าสารเลวตัวน้อยจนมาเป็ภรรยาของตน ในใจของฉีอ๋องนั้นยอมรับอย่างเปิดเผย
“ยังมียามรักษาการณ์อีกสองกลุ่มติดตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซินเป่าตอบ
สองกลุ่มจำนวนสิบคน อั้นมู่ที่สะกดรอยตามอย่างลับๆ ได้เคยมารายงานกับเขาแล้ว ทั้งหมดเป็คนที่หลี่จงิใช้เวลาสามเดือนในการฝึกฝนออกมา ล้วนเป็ผู้ที่มีพื้นฐานการฝึกยุทธ์มาแล้วทั้งสิ้น บวกกับการฝึกฝนของหลี่จงิ ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว หากเผชิญหน้ากับคนธรรมดาสามัญทั่วไป ประมือหนึ่งต่อห้าย่อมไม่เป็ปัญหาอันใด มียามรักษาการณ์สิบคนบวกกับอั้นมู่ อั้นจิน และยอดฝีมือเช่นหลี่ฉางเฉิง กู้จวิ้นเฉินวางใจลงได้แล้ว
“อืม เ้ากลับไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ซินเป่ากลับไป กู้จวิ้นเฉินก็ถอดรองเท้าของตนอีกครั้ง เขายืดเท้าของตนออกไป ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไปที่ถุงเท้าบนเท้าของตน
เมิ่งเต๋อหลางเข้ามาตรวจชีพจร แม้พิษในร่างกายของกู้จวิ้นเฉินจะถูกควบคุมโดยเืของปลาปักเป้าแล้วก็ตาม แต่ร่างกายของเขานั้นยังจำเป็ต้องฟื้นฟูและปรับสมดุลอยู่ ด้วยพิษนั้นตกค้างอยู่ภายในร่างกายของเขามานานถึงหกปี หากไม่มียาและการดูแลของเมิ่งเต๋อหลาง คาดว่าหลี่ลั่วยังไม่ปรากฏตัวเขาคงได้กลายเป็อัมพาตและไม่รู้สึกตัวไปนานแล้ว
เมื่อยามที่เมิ่งเต๋อหลางเข้ามานั้นก็เห็นฉีอ๋องมองเท้าของตนเองอย่างเหม่อลอย เมิ่งเต๋อหลางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอ๋องรู้สึกไม่สบายเท้าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
กู้จวิ้นเฉินมองมาที่เขา สงสัยว่าสายตาของเมิ่งเต๋อหลางไม่ดี ตนเองนั้นสวมถุงเท้าอยู่ ที่มองอยู่นั้นเป็เท้าหรือไร? กู้จวิ้นเฉินส่ายหน้า “เพียงแค่รู้สึกว่าเนื้อผ้าของถุงเท้านี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ดังนั้นจึงมองอยู่สักพัก”
เมิ่งเต๋อหลางนั่งลงตรงข้ามกู้จวิ้นเฉิน “เนื้อผ้าชนิดนี้...ไม่เคยพบเห็นมาก่อนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างหาได้ยาก “ลั๋วเอ๋อร์ส่งมาให้ บอกว่าเนื้อผ้าล้ำค่ายิ่ง ทอได้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงตัดถุงเท้าให้เปิ่นหวางสี่คู่”
“...” เมิ่งเต๋อหลางเป็คนฉลาดเพียงใด เวลานี้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว เขารู้สึกว่าที่ฉีอ๋องเอาแต่จ้องมองเท้านั้นเป็เพราะ้าบอกตนว่าถุงเท้าของตนนั้นเป็ของที่หลี่เสี่ยวโหวเหฺยมอบมาให้
กู้จวิ้นเฉินตวัดสายตามองเมิ่งเต๋อหลางแวบหนึ่ง “?”
“เสี่ยวโหวเหฺยช่างเอาใจใส่ท่านอ๋องยิ่งนัก” เมิ่งเต๋อหลางซึ่งเป็ชายชราผู้หนึ่ง ถูกบีบบังคับให้ต้องเอ่ยวาจาเช่นนี้จนได้
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกพอใจกับคำพูดของเมิ่งเต๋อหลาง ทว่ากลับเอ่ยว่า “หมั้นหมายแล้วเพิ่งเรียนรู้ที่จะเอาใจใส่ต่อข้า อาจจะเป็การเสแสร้งแกล้งทำก็เป็ได้”
เมิ่งเต๋อหลางถูกทำให้สะอึกอีกครั้ง ท่านอ๋องของข้า จุดประสงค์ของท่านคือ้าบอกชายแก่อย่างข้าว่า ท่านกับเสี่ยวโหวเหฺยหมั้นหมายกันแล้วใช่หรือไม่? หมั้นหมายกับเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งมีอันให้รู้สึกภาคภูมิใจกระนั้นหรือ?
ต่อให้เขามอบถุงเท้าให้ท่าน ถุงเท้านั้นก็เป็สาวใช้ที่ลงมือถักทออยู่ดี
ท่านอ๋องของข้า แม้ท่านจะมีอายุเพียงสิบสามปี แต่ความหนักแน่นมั่นคงของท่านที่มีอยู่ก่อนการหมั้นหมายเล่า? ถูกเสี่ยวโหวเหฺยกินลงไปแล้วใช่หรือไม่? เมิ่งเต๋อหลางให้ความร่วมมืออย่างใจเย็น “เสี่ยวโหวเหฺยอายุยังน้อย จะไปเรียนรู้วิธีการเสแสร้งเช่นนั้นมาจากที่ใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้าในที่สุด “อืม”
ที่นาพระราชทานนั้นอยู่ในเขตชานเมืองทางทิศตะวันออก ในเขตชานเมืองทางทิศตะวันออกล้วนเป็ที่ดินของราชสำนัก ที่ดินของราชสำนักดูแลจัดการโดยกรมวังตามกฎหมาย เมื่อทำบัญชีแล้วจากนั้นจะส่งเข้าไปที่ทรัพย์สมบัติของท้องพระคลัง ดังนั้นที่ดินทางทิศตะวันออกจึงมีเรือนขนาดใหญ่มากหลังหนึ่ง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นคือขันทีจากกรมวังที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ
ในรัชสมัยปัจจุบันมีเก้าสกุลที่ได้รับพระราชทานเว้นโทษตายจากความดีความชอบเมื่อครั้งก่อตั้งราชวงศ์ เวลานั้นที่ดินพระราชทานของพวกเขาล้วนอยู่ในชานเมืองทางทิศตะวันออกและทางทิศตะวันตก ต่อมามียู่ห้าสกุลที่ทำการก่อฏบ้าง ตกต่ำบ้าง ที่ดินกงซวินของพวกเขาจึงถูกราชสำนักริบคืนไป
เวลานี้ครอบครัวที่ยังมีที่ดินกงซวินอยู่ในมือมี สกุลหลี่ จวนจงหย่งโหว, สกุลเฉิน ครอบครัวราชบุตรเขยเฉินขององค์หญิงฉางหนิง สกุลเฉินก็เป็ขุนนางที่มีความดีความชอบในการก่อตั้งราชวงศ์เช่นกัน ได้รับพระราชทานยศหย่งอี้โหว ราชบุตรเขยเฉินเป็ชื่อจื่อของหย่งอี้โหว ทว่าสกุลเฉินล้วนเป็ปัญญาชน หากจะกล่าวว่าสกุลหลี่หนึ่งครอบครัวมีจิ้นซื่อสองคน หลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่ฮุยมี่เวลาที่รุ่งเรือง เช่นนั้นสกุลเฉินย่อมมองข้ามไม่ได้เช่นกัน
แม้ว่าสกุลเฉินจะไม่มีอนาคตอันใด และครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ได้มีคนมากมายนัก แต่ครั้งนั้นราชบุตรเขยเฉินสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน สกุลเฉินจึงรุ่งเรืองยิ่ง หากแต่ว่า...ราชบุตรเขยถูกยกให้กับองค์หญิง เขาจึงหมดสิ้นซึ่งอนาคตไปโดยปริยาย
แม้การสมรสครั้งนี้จะเป็องค์หญิงฉางหนิงที่เป็ฝ่ายชมชอบและเลือกเอง แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนและไท่จื่อเยี่ยนต่างมีเจตนานี้เช่นกัน ฮ่องเต้องค์ก่อน้าควบคุมอำนาจของครอบครัวขุนนาง หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย อาศัยความสามารถของจ้วงหยวน ต่อมาเขาย่อมต้องได้เข้ามาอยู่ในสำนักราชเลขาธิการ การรั้งตำแหน่งมหาเสนาบดีนั้นเป็เื่ช้าหรือเร็วก็เท่านั้น ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวง กระทั่งองค์ชายรัชทายาทที่พระองค์ทรงโปรดปรานเป็ที่สุดก็ยังต้องป้องกัน แล้วจะนับประสาอันใดกับครอบครัวตระกูลขุนนางกันเล่า
จวนจงกั๋วกงนั้นถอนตัวออกมาจากอำนาจแล้วหลายรุ่น จึงไม่ได้ถูกฮ่องเต้ระแวง ก่อนหน้านี้หนึ่งรุ่นคือบิดาของจงกั๋วกงหลี่เหล่าไท่เหฺย มาถึงจงกั๋วกงรุ่นนี้ จวบจนมาถึงซื่อจื่อหลี่เฉิน ล้วนเป็บุคคลที่ไม่ได้โดดเด่นอันใด
หลี่เหล่าไท่เหฺยนั้นด้วยถือกำเนิดเป็บุตรอนุ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงไม่ได้กดเขาเอาไว้ กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถอยู่มาได้จนรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ทว่าแล้วอย่างไรเล่า สูงสุดคือขั้นสาม ไม่มีการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นอีกแล้ว
ยังมีอีกครอบครัวหนึ่งคือเหรินเซียงโหว เพียงแต่ครอบครัวเหรินเซียงโหวสกุลจินนี้ แม้จะเป็สกุลที่มีความดีความชอบจากการก่อตั้งราชวงศ์ แต่ตลอดเส้นทางของพวกเขาไม่ขรุขระอย่างยิ่ง บรรพบุรุษเพราะคดีใส่ร้ายป้ายสีจึงถูกเนรเทศ ขุนนางก่อตั้งราชวงศ์อันใด เว้นโทษตายอันใด ที่ดินพระราชทานทั้งหลายเหล่านี้ล้วนหมดสิ้น เหรินเซียงโหวคนก่อนจึงถือกำเนิดอย่างต่ำต้อย แต่ตัวคนนั้นมีความตั้งใจ เข้าร่วมกับกองทัพร่วมรบจนมีความดีความชอบจากการสู้รบ ทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพลิกคดี ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็คนเอาหน้า ้าบอกกับคนทั้งใต้หล้าว่าเขานั้นเป็ฮ่องเต้ที่ดี ดังนั้นจึงให้ทำการพลิกคดี เวลานั้นชายหนุ่มถือกำเนิดต้อยต่ำ มีบิดาผู้อ่อนแออยู่คนหนึ่ง หลังจากพลิกคดีแล้วเขาจึงกลายเป็ซื่อจื่อ บิดาของเขาเป็เหรินเซียงโหว
จากนั้นเขาก็ได้พบกับหลี่เนี่ยนจิ้ง เขารู้สึกกับหลี่เนี่ยนจิ้งดั่งเช่นรักแรกพบ
จึงไปสู่ขอ
เขามีบิดาใกล้ตายคนหนึ่ง ไม่มีพี่น้อง หลี่เนี่ยนจิ้งเห็นว่าเขามีความกล้าหาญ มีหัวใจที่บริสุทธิ์ หลังจากนั้นจึงยอมแต่งออกมาเป็ฮูหยินซื่อจื่อ ที่จริงแล้วก็ไม่ต่างจากโหวฮูหยินนัก เพราะไม่ต้องปรนนิบัติแม่สามี
ต่อมาเหรินเซียงโหวเสียชีวิตลง
ท่านโหวไร้ซึ่งภูมิหลังครอบครัวเช่นนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนชมชอบเรียกใช้งานเป็ที่สุด ผนวกกับจวนจงกั๋วกงนั้นซื่อสัตย์และรู้ฐานะตน ตลอดมาไม่เคยเชื่อมความสัมพันธ์โดยการแต่งงานกับเหล่าเชื้อพระวงศ์หรือพระญาติ ดังนั้นเหรินเซียงโหวจึงกุมอำนาจทางทหารไว้ในมืออย่างมั่นคงมาโดยตลอด ยามนี้เหรินเซียงโหวจากไปแล้ว หลี่เนี่ยนจิ้งเป็เหล่าเฟิงจวิน มารดาขุนนางผู้เป็มีความดีความชอบ อำนาจทางทหารจึงตกมาถึงมือของบุตรชายนาง
ทว่าในยามนี้เหรินเซียงโหวมีจวนโหวอยู่ที่ชายแดน ทั้งครอบครัวไม่ว่าแก่หรือเด็กต่างโยกย้ายไปอยู่ที่นั่น
นอกจากสกุลหลี่ สกุลเฉิน และสกุลจินแล้ว ก็ยังมีสกุลซูอยู่อีกหนึ่งตระกูล พระชายาเอกขององค์ชายใหญ่ถือกำเนิดจากสกุลซู
หลังจากออกเดินทางมาสามชั่วโมง รถม้าก็ได้มาถึงที่ดินพระราชทานในเขตชานเมืองทางทิศตะวันออก มองไปจากด้านนี้ เลียบไปกับูเาล้วนเป็ที่นาและหมู่บ้าน
“คุณชาย พวกเราไปกินอาหารเที่ยงในหมู่บ้านกันก่อนเถิดขอรับ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องหิ้วท้องหิวนะขอรับ” พ่อบ้านจี้ยามนี้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อหลี่ลั่ว “ละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านสามารถกินข้าวได้ขอรับ ขอเพียงแต่พวกเราให้เงินเล็กน้อยก็พอ”
“ได้ ท่านนำทางเถิด”
หมู่บ้านในละแวกใกล้เคียง ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างทำการค้าประเภทนี้ทุกเดือน ครอบครัวของผู้มีฐานะนั้นใจกว้างอย่างยิ่งสำหรับเื่อาหารการกิน บางครั้งเงินเล็กน้อยที่พวกเขาให้มานั้นยังมากกว่ารายได้ทั้งปีของชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านจึงยินดีอย่างยิ่งที่จะทำการค้าประเภทนี้
พ่อบ้านจี้หาครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง เป็ครอบครัวที่เขาและหลี่หงมักจะมากินเป็ประจำ
“พ่อบ้านจี้มาแล้วหรือ?” เมื่อชายชาาวนาเห็นพ่อบ้านจี้ก็มีความคาดไม่ถึงเล็กน้อย “วันนี้ยังไม่ใช่สิ้นเดือนนี่นา...คุณชายใหญ่ไม่ได้ด้วยมาหรือไร?”
พ่อบ้านจี้ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ต้อนรับหลี่ลั่วลงจากรถม้า หลังจากนั้นจึงตอบชายชาาวนาผู้นั้น “คุณชายใหญ่ไม่ได้มา วันนี้ที่มาเป็คุณชายน้อยของพวกเรา”
เมื่อชายชาาวนาผู้นั้นเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งลงจากรถม้าก็ให้ประหลาดใจยิ่ง เด็กเล็กเช่นนี้มาจะมีประโยชน์อันใดกัน? แต่ทว่าพิธีการนั้นยิ่งใหญ่ร้ายกาจยิ่งกว่าคุณชายใหญ่มากมายนัก เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่คุณชายใหญ่มานั้น ผู้ที่ติดตามมาด้วยมีเพียงพ่อบ้านจี้คนเดียว บ่าวรับใช้หนึ่งคน และผู้ติดตามอีกสองคน แต่คุณชายน้อยผู้นี้ยังมีองครักษ์อีกมากมายติดตามมาด้วย
“คุณชายน้อย นี่คือเ้าของบ้านหลังนี้ขอรับ พวกเราก่อนหน้านี้ก็มากินข้าวที่นี่ บางครั้งกลับไปไม่ทัน ก็ได้อาศัยพักค้างแรมที่นี่ขอรับ”
หลี่ลั่วพยักหน้า “ต้องรบกวนแล้ว”
เมื่อกินข้าวเที่ยงที่บ้านชาวนาเสร็จแล้ว พ่อบ้านจี้จึงพาหลี่ลั่วไปที่ที่นา ที่นาขนาดหนึ่งพันหมู่ ที่นากว้างขนาดนี้ ทำให้หลี่ลั่วตื่นเต้นเหลือเกิน สิ่งที่เพาะปลูกบนที่นาล้วนแต่เป็เมล็ดข้าว แต่เมล็ดข้าวพวกนี้ดูราวกับวัชพืช ยังไม่ได้เป็สีทองสว่างอร่ามตา
หลี่ลั่วเดินเข้าไปท่ามกลางต้นข้าว “ใกล้จะเก็บเกี่ยวแล้วใช่หรือไม่?”
“ต้นเดือนเก้าก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วขอรับ” พ่อบ้านจี้ตอบ
“เช่นนั้นเมล็ดข้าวเหล่านี้จะเอาไปทำอันใด?” ที่นาหนึ่งพันหมู่ นี่เป็เมล็ดข้าวจำนวนเท่าใดกัน และพื้นที่ทั้งหมดปลูกเมล็ดข้าว กินทั้งชาติก็กินไม่หมด
“ขายออกไปขอรับ” พ่อบ้านจี้ตอบ “นำส่วนหนึ่งไปไว้ในจวน เหล่าฮูหยินจะแจกจ่ายให้กับทุกคนขอรับ”
“ล้วนเป็คนของกรมหวังที่ช่วยขายใช่หรือไม่?” ในสมุดบัญชีเป็เช่นนี้ “จากนั้นั้แ่ปลูกจนกระทั่งขายออกไป เื่ราวทั้งหมดล้วนจัดการโดยคนของกรมวังใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วขอรับ”
“ที่นาหนึ่งหมู่เวลาสองวันสามารถปลูกเมล็ดข้าวออกมาได้เท่าใด?”
“ตามปกติแล้วที่นาหนึ่งหมู่จะได้ข้าวห้าร้อยชั่งขอรับ แต่หากเก็บเกี่ยวได้ไม่ดีนักจะได้ราวสามถึงสี่ร้อยชั่งขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าวสารทุกหนึ่งร้อยชั่งเป็เงินจำนวนเท่าใด?” หลี่ลั่วถามอีก
“ขายในราคาส่งหนึ่งร้อยชั่ง เป็เงินหนึ่งตำลึงขอรับ” พ่อบ้านจี้ตอบ
หนึ่งตำลึงหนึ่งร้อยชั่ง ตรงกับสมุดบัญชีของกรมวัง ดังนั้นบนสมุดบัญชีจึงถือว่าไม่มีปัญหาใดๆ เช่นนั้นที่มีปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือปริมาณของข้าวสารห้าร้อยชั่งต่อพื้นที่หนึ่งหมู่ หากเขียนมาว่าสี่ร้อยชั่ง จวนโหวย่อมไม่มีทางรู้ได้ ข้าวสารที่เกินออกมาหนึ่งร้อยชั่งขายได้เงินหนึ่งตำลึง หากเป็ที่นาหนึ่งพันหมู่ ก็เป็เงินหนึ่งพันตำลึง ปีหนึ่งสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งเดือนห้า อีกครั้งคือเดือนเก้า ดังนั้นขันทีของกรมวังหาเงินง่ายยิ่งนัก
“ไปหาคนที่พอจะคุ้นเคยในหมู่บ้าน ถามพวกเขาว่าในสถานการณ์เช่นนี้ในที่นาทุกๆ หนึ่งหมู่ จะได้ข้าวสารเป็จำนวนเท่าใด” หลี่ลั่วกล่าว
“ขอรับ” พ่อบ้านจี้วิ่งออกไปตามหาตัวชายชาาวนาที่พวกเขากินอาหารเที่ยงมา
ชายชาาวนาดูสถานการณ์ของที่นาแล้วจึงเอ่ยว่า “หากพูดตามประสบการณ์ของข้าน้อยแล้ว เมล็ดข้าวของที่นี่เติบโตได้ไม่ดีมากๆ ในยามปกตินั้นขาดการดูแล ทุกๆ หนึ่งหมู่ควรจะได้ข้าวสารสี่ร้อยห้าสิบชั่งโดยประมาณ ที่จริงหากเมล็ดข้าวได้รับการดูแลดีๆ นั้น หนึ่งหมู่จะได้ข้าวสารหกร้อยชั่งขอรับ”
หลี่ลั่วฟังแล้วใ ดีเช่นนี้เลยหรือ? “ไป ไปพบกรมวัง”
ต่อมาหลี่ลั่วและคนทั้งหมดก็มาถึงคฤหาสน์ที่ราชสำนักสร้างไว้สำหรับให้คนของกรมวังมาอยู่อาศัยที่นี่ ถือว่าเป็คฤหาสน์ขนาดใหญ่ ด้วยเหตุที่คนของกรมวังนั้นมีไม่น้อย และยังเป็หน้าเป็ตาของราชนำนัก ย่อมน้อยไม่ได้
ที่ประตูมีองครักษ์เฝ้าอยู่ สายตาของเหล่องครักษ์เหล่าที่มองผู้คนราวกับสายตาที่กำลังมองสุนัขอย่างไรอย่างนั้น “พวกเ้ามาหาผู้ใดกัน?” พูดแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมา ความหมายไม่พูดก็รู้
พ่อบ้านจี้เดินขึ้นไปข้างหน้า “พวกเรามาหาอวี๋กงกง พวกเราเป็คนของจวนจงหย่งโหว”
“หืม?” องครักษ์สะบัดมือไปมา
พ่อบ้านจี้ยื่นเงินให้ไปสองตำลึง องครักษ์ส่งเสียงฮึขึ้นเสียงหนึ่ง รังเกียจว่าเงินน้อย “คนมากมายเช่นนี้มาพบอวี๋กงกง? คนผู้นั้นเป็ใครกัน?”
“นี่คือเสี่ยวโหวเหฺยของพวกเรา” พ่อบ้านจี้ตอบยิ้มๆ
“อะไรนะ? ไอ้หนูตัวเล็กแค่นี้ยังเป็เสี่ยวโหวเหฺย เช่นนั้นข้าไม่ใช่เหล่าโหวเหฺยแล้วหรือไร?” องครักษ์หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “ฉางเฉิง ตบปาก”
“ขอรับ” หลี่ฉางเฉิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า
“พวกเ้าจะทำอันใดกัน? จะฏใช่หรือไม่? ไม่รู้ดีชั่ว” องครักษ์ชักกระบี่ออกมาแล้วด่ากราด
แต่หลี่ฉางเฉิงเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งกว่า เขาะโเตะเข้าไปที่มือขององครักษ์ กระบี่กลับคืนสู่ฝักของมันอีกครั้ง จากนั้นะโไปอยู่ด้านหลังขององครักษ์ หันไปที่ขาของเขาแล้วเตะไปเต็มแรง องครักษ์คุกเข่าลงในพริบตา องครักษ์ที่เฝ้าประตูมีสองคน อีกคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์จึงกระโจนเข้ามา แต่กลับถูกขัดขวางโดยหัวหน้ากลุ่มของยามรักษาการณ์
หลี่ลั่วก้าวขึ้นไปข้างหน้า จากนั้นก็เข้าไปตบๆ ลงบนใบหน้าขององครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น “ั้แ่ที่เปิ่นโหวถูกฝ่าาพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็ต้นมา ยังไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเป็ลูกพี่ของเปิ่นโหวเลย เ้าช่างกล้าหาญนัก”
เสียงของเด็กน้อยกังวานใสไพเราะน่าฟัง แต่น้ำเสียงของเขานั้นติดจะเกียจคร้านและหยิ่งยโส ทำให้องครักษ์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง “เ้า...เ้า...”
“ตบปาก”
หลี่ฉางเฉิงตบปากอีกฝ่ายไปอีกหนึ่งฉาด
“อยู่ต่อหน้าเปิ่นโหว เ้ายังกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ แล้วก็ไม่สืบถามว่าเปิ่นโหวเป็ใคร จับแขวนเสีย ไม่รู้ว่าพวกเขาหาผลประโยชน์จากที่นี่ไปเท่าใดแล้ว รอให้ข้ากลับไปบอกฝ่าารับความดีความชอบ” กล่าวเสร็จแล้วหลี่ลั่วก็เดินวางมาดเข้าไป
พ่อบ้านจี้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เสี่ยวโหวเหฺยพูดจา...ช่างเย่อหยิ่งถือตัวยิ่งนัก
คนในคฤหาสน์ได้ยินเสียงที่ลอยมาจากหน้าประตูแล้ว ผู้เป็หัวหน้าสวมชุดเสื้อผ้าอาภรณ์ตามแบบฉบับขุนนางผู้ร่ำรวย ข้างกายมีองครักษ์มากมาย มิใช่บอกว่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็ขันทีหรอกหรือ?
“ผู้ใดบังอาจบุกรุกคฤหาสน์ของราชสำนัก?” เขาร้องออกมาด้วยเสียงเล็กแหลม
เมื่อได้ยินเสียงจึงรู้ว่าที่แท้ก็เป็ขันทีนี่เอง ขันทีสวมชุดขุนนาง นี่เขาคิดว่ากำลังอยู่ใน่เทศกาลปีใหม่ใช่หรือไม่?
ยังไม่ทันได้รอให้หลี่ลั่วและคนอื่นๆ ได้ตอบ ก็มีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมา “พ่อบุญธรรม พ่อบุญธรรม ท่านมาเล่นเป็เพื่อนข้าหน่อยสิขอรับ” เด็กน้อยวิ่งมาถึงข้างกายขันที ดึงเสื้อผ้าของขันที มองดูเสื้อผ้าหรูหราของเด็กน้อยคนนี้แล้ว มารดามันเถอะ ไม่เหมือนขันทีน้อยนี่นา
“รอให้พ่อบุญธรรมจัดการเื่ราวที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปเล่นเป็เพื่อนเ้านะ เด็กดี” ขันทีลูบศีรษะของเด็กน้อย
เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ผู้ใดกล้ารบกวนไม่ให้พ่อบุญธรรมเล่นเป็เพื่อนข้ากัน?” จากนั้นเขาก็มองมาที่หลี่ลั่ว ในหมู่บ้านมีเด็กอยู่เช่นกัน แต่เด็กๆ เ่าั้เป็ลูกชาวนาที่สวมเสื้อผ้าสกปรกเลอะเทอะ เด็กน้อยที่งดงามดุจหยกสลักเช่นหลี่ลั่วนั้น เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็ครั้งแรก สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลี่ลั่ว จากนั้นมาหยุดอยู่ที่เอวของหลี่ลั่ว ดวงตาของเด็กน้อยเป็ประกาย “หยกชิ้นนี้งดงามยิ่งนัก รีบส่งมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หลี่ลั่วคิดในใจ นี่คงไม่ใช่คนเขลากระมัง
เด็กน้อยเห็นว่าหลี่ลั่วไม่ใส่ใจเขา เขาจึงพุ่งตัวเข้าไปแย่งหยกพกของหลี่ลั่ว ทว่ากลับถูกองครักษ์ข้างกายหลี่ลั่วผลักออกไป เด็กน้อยล้มลงบนพื้นแล้วก็ร้อง “ฮืออ...” ออกมา เด็กน้อยร้องไห้เสียแล้ว
“เ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จับกุมพวกมันไว้” ขันทีตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์พุ่งเข้ามา นอกจากนั้นยังมีขันทีอีกหลายคน หลี่ลั่วและคนอื่นตกอยู่ในวงล้อมอย่างรวดเร็ว
“พวกเ้ากล้าทำร้ายบุตรชายข้า ข้าจะให้พวกเ้าตาย” ขันทีกล่าว
พ่อบ้านจี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ท่านหัวหน้าขันทีปอ พวกเราเป็คนของจวนจงหย่งโหว พวกเรามาหาอวี๋กงกงเกี่ยวกับเื่ที่นาพระราชทานขอรับ” แม้พวกเขาจะมีองครักษ์อยู่สิบคน ทว่าฝ่ายตรงข้ามมีองครักษ์สามสิบกว่าคน พ่อบ้านจี้เกรงว่าจะทำให้หลี่ลั่วได้รับาเ็ จึงรีบเข้าไปบอกที่มาที่ไปของตนเอง
“จวนจงหย่งโหวรึ?” ขันทีปอหัวเราะเสียงเย็น “ต่อให้องค์ฮ่องเต้มาก็รังแกบุตรชายข้าไม่ได้ ในเมื่อบุตรชายข้าชมชอบหยกชิ้นนั้น ก็ยกหยกชิ้นนั้นให้บุตรชายของข้าเล่นเสีย เ้าจงรู้เอาไว้ว่าบุตรชายของข้าสนใจหยกของเ้า ถือเป็โชคลาภของพวกเ้า”
หลี่ลั่วลูบหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอว หยกชิ้นนี้เป็หยกจากกู้จวิ้นเฉินมาถึงมือของเขา “ข้ากลัวว่าเ้าจะรับไม่ไหว”
“ก็แค่หยกชิ้นหนึ่ง ราวกับว่ายิ่งใหญ่นักหนาอะไรมากมาย ข้าเนี่ยนะจะถือไม่ไหว?” ขันทีปอหัวเราะหึๆ “เช่นนั้นข้าจะหยิบให้เ้าดู” พูดแล้วเขาก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่ลั่ว ขณะที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะหยิบนั้น หลี่ลั่วก็อ้าปาก
“นี่เป็หยกของฉีอ๋อง เ้าแน่ใจว่าเ้ารับไหวใช่หรือไม่?”
มือของขันทีปอหยุดชะงัก หยกของฉีอ๋อง เขารับไม่ไหวเป็แน่ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “เห็นแก่หน้าของฉีอ๋อง ข้าจะไม่เอาเื่พวกเ้า พวกเ้ามีเื่อันใด?”
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “ได้ยินมาว่าที่นาพระราชทานจวนโหวของข้านั้นอวี๋กงกงเป็ผู้ดูแล เปิ่นโหวมาด้วยเื่ที่นาพระราชทาน”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ พาพวกเขาไปพบอวี๋กงกงเสีย” ขันทีปอชี้ไปที่หนึ่งในองครักษ์เ่าั้
“ขอรับ”
หลี่ลั่วกลับไม่ไปไหนและพูดขึ้นช้าๆ ว่า “เปิ่นโหวไปห้องทรงพระอักษร ก็ไม่เห็นว่าฝ่าาจะวางท่ายิ่งใหญ่เช่นกงกงท่านนี้เลย”
ขันทีปอหรี่ตาลง เด็กคนนี้หมายความว่าอย่างไร?
หลี่ลั่วพูดเพียงประโยคเดียว จากนั้นก็เดินจากไป
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของพวกเขาที่เดินเข้าไปแล้ว คนข้างกายของขันทีปอจึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านหัวหน้า ความหมายของเด็กน้อยหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“จะหมายความอันใดได้เล่า? เด็กน้อยคนหนึ่ง เ้ากลัวอันใด? จวนจงหย่งโหวน่ะรึ? จวนโหวสุนัขผายลมน่ะสิ ตกต่ำมานานแล้ว” ขันทีปอเต็มไปด้วยท่าทีไม่แยแส
“อวี๋กงกง คนของจวนจงหย่งโหวมาแล้วขอรับ” องครักษ์เข้ามารายงานแล้วก็จากไป