เจียงเฉิงเยว่ไม่พูดเหลวไหล เขาดึงดาบเหล็กสีนิลออกมาจากเอวเล็กน้อย มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากคมดาบ
ซวีอวี่เบิกตากว้างทันที ก่อนหันมาที่เขาโดยตรง ะโด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่เชื่อถือ “ฉิงชางจวิน?!”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้พบกันนานเลยนะ สบายดีใช่ไหม?”
ซวีอวี่จ้องมอง จนถึงกับมีแสงเรืองรองเป็ประกายในดวงตาอยู่เล็กน้อย เขาตกตะลึงเป็เวลานานโดยไม่พูดจา เป็เวลาสักพักจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้ารู้...ข้ารู้ว่าเ้าจะไม่...สองร้อยปีแล้ว...สองร้อยปีแล้ว!”
เจียงเฉิงเยว่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายจึงหันศีรษะหนีอย่างซ่อนเร้น ทั้งตื่นเต้นทั้งอับอาย เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “เฮ้อๆๆ อายุปูนนี้แล้ว เ้าเมืองอย่าได้เป็เช่นนี้”
ซวีอวี่สงบลงชั่วครู่ พลางซ่อนความเปียกชื้นในเบ้าตาอย่างแเี หันกลับมาจ้องมองหลังได้ยิน “สองร้อยปีมานี้ เ้าไปอยู่ที่ใดมา ทำไมตอนนี้จึงมีสภาพเช่นนี้?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบกลับ “เื่มันยาว วันหลังหากมีโอกาสข้าจะบอกเ้าอย่างละเอียด กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้ามาหาเ้าในวันนี้ต้องเสี่ยงอย่างจนใจเช่นเดียวกัน ข้ามีเื่ให้เ้าช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าเ้าเมืองปี่อั้นจะยื่นมือช่วยเหลือ เห็นแก่คนรู้จักได้หรือไม่?”
ใบหน้าของซวีอวี่มืดมน เอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “ไม่นับว่าเป็มิตรภาพ นับว่าเป็เพราะบุญคุณของเ้าที่มีต่อข้า แล้วข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร? หากฉิงชางจวินมีรับสั่งเพียงสั่งการ เหตุใดต้องทำสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้อื่นไม่สบอารมณ์เสียจริง! กล่าวตามตรง ก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกผู้ฝึกฝนมนุษย์เรียกหาครั้งหนึ่งเพื่อสอบถามที่อยู่ของเ้า เวลานั้นข้าเดาว่าเ้าต้องกลับไปยังโลกแล้ว...หากเ้ากลับมาแล้วหลบเลี่ยงข้า ย่อมทำให้ตัวข้านั้นโกรธเคือง!”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเย็นเยียบ ทว่าเจียงเฉิงเยว่กลับรู้สึกอบอุ่นใจ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเ้าเมืองปี่อั้นเป็ผู้ที่รู้จักบุญคุณ...นอกจากนี้ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือ? บอกอย่างไม่ปิดบัง ตอนที่นักพรตเต๋าผู้นั้นจากสำนักจงหลีซานเรียกเ้ามา ข้ากำลังอยู่ในกลุ่มคน”
เมื่อซวีอวี่ได้ยินถ้อยคำก็เงยหน้าขึ้นทันที
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มหยัน พลางอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันให้เขาฟังอย่างรวบรัด จากนั้นจึงเอ่ยถึงคำร้องขอ “ดังนั้น ตอนนี้ข้า้าให้เ้าช่วยส่งคนไป...พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อค้นหาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโยวหยวน าาผีแห่งชายแดนใต้อย่างเป็ความลับ ยิ่งละเอียดยิ่งดี มีเพียงการลากผู้ร้ายเื้ัอย่างเขาออกมาเท่านั้น จึงจะสามารถล้างมลทินให้ข้าได้”
ซวีอวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ “ฉิงชางจวินคงไม่รู้...เ้าเมืองยวนโส่วหายตัวไปในปรโลกหลายทศวรรษแล้ว ถึงกับมีข่าวลือว่าิญญาของเขาแตกสลาย”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “เมื่อปีนั้น ไม่ใช่มีผู้คนมากมายบอกว่าข้าถูก์แยกิญญาหรอกหรือ?”
ซวีอวี่นิ่งค้างก่อนยกยิ้ม “ขอรับ...ฉิงชางจวินวางใจเถิด แต่เื่นี้ต้องมีการหารือกันระยะยาว เกรงว่าอาจไม่สามารถเสาะหาได้เพียงชั่วขณะ”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ข้าเองก็รู้...ข้าจะมาอีกทีเมื่อตลาดผีเปิดในครั้งต่อไป สามเดือนคงสามารถเสาะหาสิ่งใดได้บ้างใช่หรือไม่?” เขาหยุดเอ่ยชั่วครู่แล้วสั่งอีก “ใช่แล้ว เ้าจงจำไว้ว่าต้องดำเนินการอย่างเป็ความลับ...อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นด้วยการเปิดเผยแม้เพียงครึ่งส่วน”
ซวีอวี่ตอบรับ “แน่นอน ข้ามีลำดับความสำคัญของตนเอง เ้ายังมีอะไรจะกำชับนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ทั้งสองคนพูดคุยรายละเอียดอีกครา สนทนากันคำสองคำ พูดถึงเื่ในอดีตอยู่สองประโยค จากนั้นต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ
เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าซวีอวี่หรือเ้าเมืองปี่อั้นมีนิสัยเช่นนี้จึงไม่ใส่ใจนัก เขาหันสายตาออกไปนอกหน้าต่างเห็นระเบียงชมกวางอีกครั้งพอดี จึงบอกกับซวีอวี่ด้วยรอยยิ้ม “ธุระสำคัญคุยกันเสร็จสิ้นแล้ว พวกเรามาคุยเื่ข่าวลือดีหรือไม่?”
ซวีอวี่ตกตะลึง พลางมองตามสายตาของเขาไปแล้วระบายยิ้ม
เจียงเฉิงเยว่ปรับท่านั่งอย่างใจเย็น “มา มาคุยกันเถอะ เมื่อครู่ได้ยินผู้คนพูดคุยกัน เพียงพูดไปได้ครึ่งคำ ข้ากลับคันยุบยิบในใจจนยากที่จะฟัง เมื่อคิดดูแล้วกลุ่มคนด้านล่างนั้น ไม่อาจกล่าวได้อย่างครอบคลุมเช่นเ้าที่เป็เ้าเมือง เกิดอะไรขึ้นกับระเบียงชมกวาง? ทำไมยาม ‘ระเบียงชมกวาง’ กับ ‘ผู้ฝึกฝนธรรมดา’ ทั้งสองสิ่งรวมเข้าด้วยกัน ทั้งเมืองปี่อั้นถึงเริ่มโกลาหล?”
ซวีอวี่ดื่มชาอึกหนึ่งเพื่อล้างคอแล้วตอบ “เื่นี้...ต้องเริ่มกล่าวจากจุดเริ่มต้น หากกล่าวถึงเื่นี้ เป็เวลาหลายทศวรรษแล้วที่ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
เจียงเฉิงเยว่ยกขาขึ้น เอามือเท้าคางวางศอกไว้บนเข่า ยกยิ้มอย่างตั้งใจฟัง “โอ้?”
ซวีอวี่กล่าวต่อ “จนถึงตอนนี้เป็เวลากว่าร้อยปี...ในคราแรกที่ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้นั้นปรากฏตัวในเมืองปี่อั้น เขายังเป็เด็กหนุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร และไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงมา...เริ่มแรกไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ เด็กคนนั้นมักยืนบนระเบียงชมกวางเพียงลำพัง มองผู้คนทั้งเมืองจาก้า ถึงกับสังเกตผู้คนสัญจรทั้งหมดอย่างละเอียด”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า แม้ว่าระเบียงชมกวางจะสูง กลับไม่ใช่สถานที่ต้องห้ามอะไร จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจหากมีผู้คนขึ้นไปเป็ครั้งคราว
ซวีอวี่กล่าวเสริม “เดิมทีก็ไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อะไร...แต่ทุกครั้งที่ตลาดผีเปิดเขาต้องมา และทุกครั้งที่มาต้องขึ้นไปที่ระเบียงชมกวาง เขาจะยืนั้แ่ต้นจนจบโดยไม่เคลื่อนไหวเลยสองสามวัน...ยืนหยัดเช่นนี้มาตลอดปีสองปี จึงเริ่มดูผิดปกติอย่างชัดเจน”
“มีคนเข้าไปถาม เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับไม่เคยเปิดปากพูด ทำเพียงไม่ได้ยิน ทุกคนประหลาดใจสักพักหนึ่งจึงปล่อยเขาไป ยังมีคนไม่น้อยที่คิดว่าเขาสติไม่ดี อาจหูหนวกหรือเป็ใบ้ จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง ิญญาชั่วร้ายตนหนึ่งผ่านทางมา บอกได้ว่าเป็อีกฝ่ายที่หาเื่เอง โดยบอกว่าไม่ชอบท่าทางหยิ่งยะโสของเด็กหนุ่มผู้นั้น ้าดึงเขาลงมาจากระเบียงชมกวางให้จงได้”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเยาะเย้ย “คิดจะหาเื่ เหตุผลอะไรก็มีหมดเสียจริง”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “อืม หลังจากนั้น ิญญาชั่วร้ายกลับถูกเด็กหนุ่มผู้นั้นโยนลงมาจากระเบียงชมกวาง”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้ว “โอ้?”
นักพรตรุ่นเยาว์ ถึงกับต่อกรกับระดับิญญาชั่วร้ายจากปรโลกได้เชียวหรือ?
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เขาเป็เพียงเด็กหนุ่มจริงหรือ?” หรือว่าเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาที่ทรงพลัง มีความสามารถในการแก้ไขรูปลักษณ์ของตนเองให้ดูเหมือนกับเด็กหนุ่มได้เท่านั้น?
ซวีอวี่จะไม่รู้ข้อสงสัยของเขาได้อย่างไร จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็เพียงเด็กหนุ่มจริง! ณ ตอนนั้นอายุกระดูกของเขาแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดเท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้วสูง “สิบเจ็ดสิบแปด? อืม...น่าสนใจ”
อายุน้อยเช่นนี้ทว่าการบ่มเพาะกลับมาถึงระดับนี้เชียว
ซวีอวี่กล่าวต่อ “ฉิงชางจวินอาจได้ยินข้อมูลเพียงเบื้องหน้า...ยังไม่รู้ถึงความน่าอัศจรรย์ใจของเื้ั...”
เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าตนเองขัดจังหวะจึงรีบกล่าวต่อ “อืม เ้าพูดต่อ”
ซวีอวี่อธิบาย “เป็เด็กหนุ่มผู้นั้นที่โชคร้ายเช่นกัน ที่ไม่รู้ว่าิญญาชั่วร้ายตนนั้นที่เขาโยนลงไป ความจริงแล้วเป็นามผู้มีที่มาซับซ้อน เื้ัของเขาคือเขาฉิวเหยียนแห่งนั้น”
เจียงเฉิงเยว่ “เฮ้!” เขาฉิวเหยียนนี้ ยามที่ฉิงชางจวินทยังเป็าาผีตัวเล็กๆ ยังเคยได้ยินยามอยู่ในปรโลก แม้จะไม่นับว่าเป็นามที่ยุ่งยากต่อฉิงชางจวิน ทว่าไม่ง่ายที่จะมองข้าม เจียงเฉิงเยว่เอ่ยขึ้นมา “เ้าอย่าบอกนะว่าเขาเอาชนะเด็กผู้ฝึกฝนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้?!”
ซวีอวี่พยักหน้า
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง “เป็ไปได้อย่างไร?”
ซวีอวี่กล่าวเสริมต่อ “ในตอนนั้น ทุกคนล้วนตอบสนองเช่นเดียวกับฉิงชางจวิน แน่นอนว่าาาผีผู้นั้นมีปัจจัยที่ประเมินศัตรูต่ำเกินไปอยู่ แต่...ผู้ฝึกฝนธรรมดานั้น...เป็เพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ยังไม่ถึงวัยสวมมงกุฎ[1] ”
เจียงเฉิงเยว่เดาะลิ้น “ชิ!”
ซวีอวี่กล่าว “ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้นั้นมีชื่อเสียงการต่อสู้นี้มาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ไม่มีใครทราบนามของเขา หากพูดถึงเขาชาวปรโลกล้วนรู้จัก ‘ผู้ฝึกฝนธรรมดา’ ผู้นั้นที่ ‘ระเบียงชมกวาง’ และาาผีผู้นั้นก็ไม่โผล่ศีรษะั้แ่นั้นมาอีกเลย จนกระทั่งสูญสลายเป็ธุลีดินจึงไม่มีใครกล่าวถึงอีก”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “หากเป็ข้า ข้าคงอับอายมากจนไม่มีหน้าพบใคร...”
ซวีอวี่พยักหน้า “ั้แ่นั้นมา เผ่าปีศาจ ภูตผีและผู้ฝึกฝนจากโลกมนุษย์ก็มาที่เมืองปี่อั้นเพื่อท้าประลองกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างต่อเนื่อง เวลาดำเนินไปนาน ระเบียงชมกวางราวกับเป็เวทีประลอง ทุกครั้งที่ตลาดผีเปิด ถึงกับมีผู้คนมากมายจากทั้งสามโลกที่ไม่ได้มาเพื่อทำการค้า แต่รีบวิ่งไปที่ระเบียงชมกวางเพื่อท้าทายหรือดูความครึกครื้น ทุกคนรับหน้าที่โยนผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้นั้นลงไปจากระเบียงชมกวางให้จงได้”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ได้ฟังถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “เ้าอย่าบอกนะว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่เคยแพ้?! เมื่อครู่เ้าบอกว่าเขาหายสาบสูญไปหลายสิบปี และตอนที่มากลับเป็ร้อยกว่าปีก่อน ่หลายสิบปีมานี้...เขานั่งซ่อนตัวอยู่บนระเบียงชมกวางหรือ?!”
ซวีอวี่ตอบกลับ “ไม่ได้เป็เช่นนั้น”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หากเ้าบอกว่าเป็เื่จริง ต่อให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ”
ซวีอวี่บอกอย่างหดหู่ “แน่นอนว่ามีคนเคยเอาชนะเขาได้และโยนเขาลงมาจากระเบียงชมกวาง...แต่เด็กคนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้ ยังคงรักษาย่างก้าวไม่ยอมจากไปเพียงสักชุ่น”
เจียงเฉิงเยว่แลบลิ้น “ช่างดื้อรั้นจริงเชียว!”
ซวีอวี่กล่าวต่อ “สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ...ไม่ว่าใครจะโยนเขาลงไป หลังจากนั้นสามหรือห้าครั้ง กลับต้องแพ้ต่อเขาอย่างแน่นอน และถูกแย่งระเบียงชมกวางอีกครั้ง! หลายสิบปีนี้ แม้ว่าจะเคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่เด็กคนนั้นมักได้รับชนะมากกว่าพ่ายแพ้ อีกทั้งการพ่ายแพ้นี้...ส่วนใหญ่เป็ยามที่เขายังอยู่ในวัยเยาว์ การบ่มเพาะยังตื้นเขิน ทว่าภายหลัง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้อีก”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เป็เวลานานจึงนึกขึ้นได้แล้วถาม “เด็กคนนั้นเป็คนของตระกูลใด? ด้วยความสามารถเช่นนี้ เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่มีชื่อเสียงในโลกมนุษย์ ทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็ผู้ใดกัน?”
ซวีอวี่กล่าว “นี่คือปัญหา เขาไม่ได้สังกัดสำนักเต๋าใดในโลกมนุษย์”
เจียงเฉิงเยว่ “เป็ไปไม่ได้! กระบวนท่า? พลังิญญา? อาวุธวิเศษ? มองไม่เห็นอะไรเลยหรือ?”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะ “กระบวนท่านั้นเหมือนกับการหลอมรวมของปรมาจารย์ร้อยสำนัก อาวุธวิเศษก็เป็เพียงดาบิญญาธรรมดาเช่นกัน ไม่มีสะดุดตา...”
“ทำไมยิ่งพูดกลับยิ่งดูลึกลับเสียจริง ยิ่งพูดยิ่งไม่น่าเชื่อถือมากขึ้น!”
“หลายคนคาดเดาว่าผู้ฝึกฝนธรรมดาคนนั้นใช้ที่แห่งนี้เป็สนามฝึกฝนเพื่อพัฒนาการบ่มเพาะของตนเอง”
“หากอิงตามที่เ้าพูดใช่ว่าเป็ไปไม่ได้ เพียงแต่คนผู้นี้...” เขาครุ่นคิดแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “พวกเ้าปล่อยให้เขากำเริบเสิบสานในปรโลกเช่นนี้ ถึงกับไม่มีใครสามารถจัดการเข้าได้อย่างราบคาบเชียวหรือ? หลิวเฟิงเล่า? าาผีพวกนั้นเล่า? แม้แต่สิบยมราชก็ไม่มีใครเอาชนะเขาได้หรือ?”
ซวีอวี่หยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนมองเขาด้วยความลำบากใจ “หากพูดถึงาาผีเ่าั้...” เขาส่ายศีรษะ “าาผีตัวเล็กๆ ธรรมดา เดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา พวกที่มีชื่อเสียงกลางๆ มานานเ่าั้ ในบรรดาพวกเขามีหลายคนที่ไม่เชื่อและจากไป...บางคนพ่ายแพ้ในครั้งแรก แม้ว่าบางคนที่ชนะ ณ ตอนนั้น ยังไม่ทันได้โอ้อวดเพียงสองสามวันกลับพ่ายแพ้ในมือเขาอีก หลังจากนั้นไม่กี่วัน เวลาล่วงเลยผ่านไปจึงล้วนไม่เต็มในที่จะออกหน้า หากออกหน้ายามชนะก็สมเหตุสมผล แต่หากแพ้...ทุกคนเห็นอย่างชัดแจ้งว่าาาผีตนแรกที่ไปท้าทายก่อนลงเอยอย่างไรในตอนนั้น จึงใครไม่ยินยอมที่จะทำเื่เกินกำลังและไม่เป็ผลดีเช่นนี้”
เจียงเฉิงเยว่พลันลิ้นจุกปาก
“่เวลานั้นถึงกับมีข่าวลือว่า อาจมีเพียงสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกที่ลงมือแล้วจะเอาชนะได้อย่างราบคาบ แต่ยามนั้นสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกยังอยู่ในปรโลก...เ้าเมืองจู้ยงจะมีเวลาสนใจเื่นี้ได้อย่างไรจะเป็ไปได้อย่างไรกัน ยามที่กำลังปิดการรับรู้เพื่อเลื่อนขั้น สำหรับสิบยมราช...จะลดสถานะของตนเองได้อย่างไรเล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะ แม้ว่าเขาจะถูกตี้จวินขับไล่ออกจากประโลกมานานแล้ว ทว่ายังถือว่าตนเองมีฐานะเป็าาผีแห่งยมโลก หลังได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียหน้าและอดไม่ได้ที่จะพูด “ช่างน่าอัปยศ ช่างน่าอัปยศยิ่งนัก!”
“ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนที่มาประลองอย่างที่ท่านคาดคิด ไม่ว่าจะผู้ที่เล่นกลเล็กน้อยอย่างไม่สนอะไรก็มีจำนวนไม่น้อย...สุดท้ายแล้วผู้ที่พ่ายแพ้ในมือเขาต่างอับอายจนกลายเป็โกรธแค้น ถึงกับไม่สนใจในศักดิ์ศรีว่าคนจำนวนมากจะรังแกคนน้อยอย่างไร จากนั้นเริ่มจัดตั้งพันธมิตรโดยตรง ไม่ใช่เพียง้าโยนเขาลงมาระเบียงชมกวาง แต่ยัง้าที่จะแยกิญญาของเขาเพื่อให้เขาที่เข้ามาแล้วไม่ได้กลับไป จำต้องอยู่ในตลาดผี”
เจียงเฉิงเยว่ตบต้นขาพลางพูดอย่างเจ็บใจ “คนกลุ่มนี้ช่างไร้ค่า! ช่างไร้เหตุผล! เช่นนี้ไม่น่าอัปยศยิ่งกว่าหรือ?!” เขาครุ่นคิด ทว่าเมื่อครู่ซวีอวี่ไม่ได้บอกว่าผู้ฝึกฝนธรรมดาคนนั้นิญญาแหลกสลาย ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็หายสาบสูญ เมื่อคิดว่าคนเ่าั้ทำไม่สำเร็จอย่างแน่นอน เขาจึงเอ่ยอย่างตื่นตระหนกอีกครั้ง “เ้าอย่าบอกนะว่าผู้ฝึกฝนธรรมดาคนนั้นยังคงเอาชนะมาได้?”
ซวีอวี่นิ่งงัน “ในตอนนั้น ไม่ใช่...”
เจียงเฉิงเยว่พลันสงสัย “หืม?”
“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด...เขาอาจได้รับข่าวคราว จึงไม่ปรากฏตัวเป็เวลาเจ็ดปีติดต่อกัน คนกลุ่มนั้นจึงไม่พบเป้าหมาย”
เจียงเฉิงเยว่เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ก็ยังดี ก็ยังดี คนผู้นี้ต้องมีคนที่คอยประสานอยู่ภายในปรโลกอย่างแน่นอนกระมัง ไม่เช่นนั้นจะรับข่าวสารนี้ได้อย่างไร?”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้...ถึงอย่างไรหลังจากนั้นเจ็ดปี เขาก็หวนคืนกลับมา”
เจียงเฉิงเยว่รีบถาม “แล้วกลุ่มคนพวกนั้น...”
“เมื่อรู้ว่าเขากลับมาแล้วย่อมไปหาในทันที”
“หลังจากนั้นเล่า?”
ซวีอวี่ถอนหายใจอย่างหดหู่ “จากนั้นก็เป็การนำความอัปยศมาสู่ตนเอง”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเยาะออกมา ไม่จำเป็ต้องถามถึงรายละเอียดการนำความอัปยศมาสู่ตนเองอีก หากครุ่นคิดดูแล้วคงดูไม่ดีนัก
ซวีอวี่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “ั้แ่นั้นมาเขาไม่เคยพ่ายแพ้อีกเลย ต่อมากลับยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งไม่มีใครไปกล้าท้าทาย ดังนั้น เขาจึงเหมือนกับ่ที่มาในคราแรก ทุกครั้งที่มาเพียงยืนอย่างเงียบงันอยู่้า สังเกตทุกคนที่สัญจรผ่านไปมาอย่างละเอียด ต่อมากลับไม่มาอีกเลย ภายหลังแม้ว่าจะมีภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เลียนแบบเขาขึ้นไปยังระเบียงชมกวาง ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผู้เก่งกาจออกมาอีก...นับแต่นั้นมาจึงไม่มีผู้ใดขึ้นไปบนระเบียงชมกวาง ขณะเดียวกันหากขึ้นไปบนระเบียงชมกวางก็เทียบเท่ากับขึ้นเวทีประลอง กลายเป็กฎของตลาดผีในเมืองปี่อั้นไปโดยปริยาย”
“ที่แท้เป็เช่นนี้” เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า
หลังจากซวีอวี่อธิบายเสร็จสิ้น ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนาน จากนั้นเจียงเฉิงเยว่นึกอะไรได้จึงพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังไม่ได้ถามเลย ผู้คนต่างมาเตะจนถึงหน้าประตูของเ้าเช่นนี้ เ้าเมืองปี่อั้นอย่างเ้าเคยประมือกับเขาหรือไม่?”
ซวีอวี่พลันมีสีหน้าเศร้าหมอง “เคย”
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม “ผลเป็อย่างไร?”
ซวีอวี่ตอบกลับ “ผู้ที่โยนเขาลงไปคนแรกก็คือข้า”
------------------------
[1] วัยสวมมงกุฎ หมายถึง อายุครบยี่สิบปี
